บทที่ 4
เจติยารู้สึกตัวอีกครั้งในเช้าวันต่อมาพร้อมด้วยอาการมึนหัวอย่างรุนแรง คงเป็นอาการแฮ้งค์จากการดื่มหนักเมื่อคืน และก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่นอนหลับใหลอยู่ข้างตัว
เหตุการณ์เหมือนเดิมไม่มีผิด
นรกชัดๆ!!
ทำไมเราถึงมานอนเปลือยกายภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเขาได้
เจติยาตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อหัวสมองประมวลผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้
หรือว่า...มันไม่ใช่ความฝัน!!
“กรี๊ดดดดดด ตายซะเถอะไอ้บ้า ไอ้คนเลว สองครั้งแล้วนะที่นายบังอาจมาลักหลับฉันตอนฉันเมา”
เจติยากรีดร้องพร้อมกับตรงเข้าประทุษร้ายเขาไม่ยั้ง เธอทั้งหยิกทั้งข่วนเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
คริสพยายามปัดป้องและหลบหลีกสองมือที่ตรงเข้ามาทำร้ายเขา คาดไว้อยู่เหมือนกันว่าอาจจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อเธอไม่หยุดเขาจึงรวบร่างเธอไว้ใต้ร่างของตนเอง พร้อมกับตรึงแขนของเธอไว้เพื่อไม่ให้มาประทุษร้ายเขาได้อีก แล้วก็ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจนีน เป็นอะไรไปถึงได้มาทำร้ายผมแต่เช้าแบบนี้”
“ฉันจะไม่หยุดอยู่แค่การทำร้ายคุณแน่แต่ฉันจะฆ่าคุณด้วย”
“ถ้าคุณยังไม่หยุดผมจะหยุดคุณเอง”
เขาไม่เพียงแค่พูดแต่ยังโน้มใบหน้าลงมาจูบไซ้ซอกคอของเธออีกด้วย
“หยุดนะ ฉันบอกให้หยุด ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
ครั้งนี้เป็นทีของเจติยาบ้างที่เป็นฝ่ายตะโกนสั่งให้เขาหยุดการกระทำที่อุกอาจเหล่านั้น
“ผมจะปล่อยก็ต่อเมื่อคุณมีสติยั้งคิด มีปัญหาอะไรมาคุยกัน ไม่ใช่เอะอะก็มาทำร้ายร่างกายผมแบบนี้”
“ปล่อยฉัน”
“สัญญามาก่อนว่าเราจะคุยกันดีดี”
“ตกลง” เธอสะบัดเสียงตอบด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
คริสยอมปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ ก่อนจะพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “เราต้องคุยกัน”
“เราต้องคุยกันแน่ แต่ฉันขอไปอาบน้ำให้สมองมันโล่งก่อน แล้วฉันจะกลับมาคุยกับคุณ”
พอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ทั้งเธอและเขาต่างก็เปลือยกายอยู่ เธอจึงหันไปสั่งเขา
“หลับตาเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้หลับตา”
คริสยอมทำตามคำขอ เขารู้ว่าเธออายถึงได้สั่งให้เขาทำเช่นนี้
เจติยารีบลุกขึ้นจากเตียงและวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ ปากก็ยังไม่วายสั่ง “ห้ามลืมตามามองนะ”
เธอใช้เวลาอยู่ในนั้นนานกว่าปกติ เพราะต้องการเวลาคิดว่าจะพูดกับเขายังไงกับเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองคราภายในระยะเวลาสองคืนติดกัน เมื่อเจติยาเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบคู่กรณีนั่งพิงหัวเตียงในสภาพที่มีเพียงผ้าห่มปกปิดร่างกายท่อนล่างของเขาเท่านั้น เขาจ้องมองเธอนิ่งนานโดยไม่พูดอะไร สุดท้ายเจติยาจึงต้องเป็นฝ่ายเปิดประเด็นในการสนทนา
“ถึงเวลาที่เราจะต้องมาคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังซะที”
“คุณเสียใจไหมที่เรามีอะไรกัน”
“เสียใจหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถึงฉันร้องไห้ฟูมฟายก็ไม่ได้ทำให้ฉันได้ความบริสุทธิ์กลับคืนมา”
“ผมจะรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“รับผิดชอบ!”
“ใช่”
“ยังไง”
“ด้วยการแต่งงาน”
“กับฉัน!!”
คริสพยักหน้าแทนคำตอบ
“ฉันว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดไป ฉันไม่เคยต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรในตัวฉัน โดยเฉพาะการผูกมัดด้วยการแต่งงานยิ่งแล้วใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้เลย”
คริสค่อนข้างแปลกใจกับคำตอบและท่าทีของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาพอจะรู้มาบ้างว่าผู้หญิงไทยส่วนใหญ่เมื่อเสียพรหมจรรย์ให้ชายใดแล้วละก็ เธอมักจะต้องเรียกร้องความรับผิดชอบจากบุรุษผู้นั้น
แต่ไม่ใช่กับเจนีน...ซึ่งมันแปลก
“บอกผมซิว่าคุณมีเหตุผลอะไรที่จะไม่แต่งงานกับผม”
“ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับคุณ”
“แม้ว่าผมจะเป็นผู้ชายคนแรกของคุณ”
“ใช่ และถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่จะต้องมานั่งฟูมฟาย เสียดายเยื่อพรหมจรรย์ที่ขาดไปเพราะมีเซ็กส์กับผู้ชายแล้วละก็ ขอบอกเลยว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแออย่างนั้น ฉันสตรองกว่าที่คุณคิด”
“แล้วคุณจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“ไม่เห็นต้องทำอะไร เราก็แค่ต่างคนต่างกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง โดยไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก”
เจติยาแสดงออกราวกับว่าเธอไม่แคร์หรือแยแสกับสิ่งที่สูญเสียไป
ทั้งที่จริงแคร์มากกับเรื่องแบบนี้ แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากที่จะแต่งงานกับเขา และไม่ต้องการให้เขามารับชอบอะไร จึงเลือกที่จะผลักใสเขาให้ออกห่างจากตัวเธอ เลิกยุ่งกับเธอโดยเด็ดขาดได้เลยยิ่งดี เจอที่ไหนก็ไม่ต้องมาทัก
คำพูดและการแสดงออกของเจติยาบ่งชัดว่าไม่ต้องการให้เขายุ่งเกี่ยวกับเธออีก
หรือว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย!!
เขากำลังจะโดนผู้หญิงทิ้งเป็นครั้งที่สอง ทั้งที่ในครั้งนี้เธอตกเป็นของเขาแล้ว
“ผมยังยืนยันคำเดิม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“คุณฟังฉันให้ดีนะ ฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณ และไม่ต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรฉันทั้งนั้น”
“แต่ผมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในทุกการกระทำและคำพูดของตัวเองเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน”
ให้ตายสิ!! ทำไมเขาถึงเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ
“ฉันไม่มีวันที่จะแต่งงานกับคุณ เชิญคุณบ้าไปคนเดียวเถอะ”
เจติยาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองติดจะหาเรื่องตวาด เพราะเธอเริ่มที่จะหมดความอดทน
“ถึงไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง ผมจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของผมต้องมัวหมองเพราะคุณเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องแต่งงานกับผม”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันจะทำให้ชื่อเสียงของคุณมัวหมอง อธิบายให้เข้าใจหน่อยซิ”
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีประวัติเสียเรื่องผู้หญิง และไม่อยากให้ใครมาพูดใส่หน้าได้ว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ ฟันแล้วทิ้ง เราถึงต้องแต่งงานกันไง”
“นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ...ฉันไม่แต่ง...หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่แต่ง”
“ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องแต่งงานกับผม”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่แต่ง คุณจะทำอะไรฉันได้ คุณบังคับฉันไม่ได้หรอก”
“ผมจะไม่บังคับคุณหรอกเจนีน แต่ผมมีวิธีที่จะทำให้คุณต้องยอมแต่งงานกับผม”
“ไม่มีวัน! เลิกฝันไปได้เลย เพราะฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว ตอนนี้เรากำลังคบหาดูใจกันอยู่ ฉะนั้นขอร้องล่ะเลิกยุ่งกับฉันซะที ได้โปรดออกไปจากชีวิตฉัน เจอกันก็ไม่ต้องทัก ทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันได้ยิ่งดี”
“ผมจะไม่ทำแบบนั้นหรอกเจนีน เพราะไม่อยากให้ใครมาครหาได้ว่า ผมเป็นผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ”
“ใครจะรู้เรื่องนี้ถ้าเราสองคนไม่พูด แต่ถึงจะรู้แล้วเขาอยากจะพูดยังไงก็ช่างเขา ปล่อยให้เขาพูดไป คุณจะไปใส่ใจทำไมกับลมปากของคน”
“คุณเป็นฝ่ายเสียหายนะเจนีน”
“ช่างมัน ฉันไม่แคร์”
“แต่ผมแคร์”
“มายุ่งอะไรกับเรื่องของฉัน”
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ตอนนี้เรื่องของคุณก็คือเรื่องของผม”
“ทำไมคุณถึงเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้”
“คุณต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจ”
“ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ระหว่างเราจบกันเพียงแค่นี้ เข้าใจนะ”
แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยก็ทำให้เธอตะโกนใส่หน้าเขา
“ไปซะ ออกไปจากชีวิตของฉัน คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าประตูอยู่ทางไหน”
คริสยุติการมีปากเสียงกับเจติยา เพราะรู้ดีว่าถึงพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงลุกจากเตียงด้วยเนื้อตัวเปล่าเปลือยต่อหน้าเธอโดยไม่รู้สึกอาย ก่อนก้มลงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่อย่างช้าๆ
“กรี๊ดดดด อีตาบ้า น่าไม่อาย แก้ผ้าโทงๆ แบบนี้ก็ได้ด้วย”
หญิงสาวหวีดร้องเมื่อเห็นสรีระของเขาอย่างชัดเจน หน้าของเธอร้อนผ่าว แต่ก็แปลกที่มิอาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้
ก่อนที่คริสจะเดินออกจากห้องไปเขาได้หันกลับมาพูดอะไรบางอย่างกับเธอ
“เมื่อคืนตอนที่คุณหลับคุณนัตตี้โทรหาคุณ และฝากบอกว่าวันนี้เขาจะโทรกลับมาหาคุณอีกครั้ง”
เจติยาตาโตเท่าไข่ห่าน “ทำไมคุณถึงรับโทรศัพท์ของคนอื่นโดยพลการ”
“เพราะผมไม่อยากให้เสียงโทรศัพท์รบกวนการนอนของคุณ” พูดจบก็เดินออกจากห้องไป
“บอกอะไรพี่นัตตี้ไปบ้างก็ไม่รู้ มีหวังต้องฟังพี่นัตตี้เทศน์ยาวแน่เลย”
เจติยาถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะเตือนตัวเองว่าต่อไปนี้จะต้องอยู่ให้ห่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาดซะที ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ช้ำรอยเดิม
โดยหารู้ไม่ว่าแม้ไม่แตะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังคงย้อนกลับมาเกิดขึ้นกับเธออีกอยู่ดี