บทที่ 6
“เล่าให้พี่ฟังซิว่าเธอไปพบเขาได้ยังไง แล้วทำอีท่าไหนถึงได้ไปจบกันที่เตียงได้”
“เราเจอกันที่ผับแล้วก็นั่งดื่มด้วยกัน เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน เจนีนดื่มหนักไปหน่อยก็เลยไม่ค่อยมีสติ รู้ตัวอีกทีก็นอนอยู่กับเขาในสภาพเปลือย”
“โอ้แม่เจ้า! รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองคออ่อน ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เท่าไรก็เมา แล้วทำไมไม่ระวัง”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ ใครจะคิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
เมาแล้วรั่วเที่ยวไล่ปล้ำจูบคนนั้นคนนี้
เป็นอาการที่เคยเกิดขึ้นกับเจติยามาแล้วหลายครั้ง มันจะเกิดขึ้นเสมอตอนที่เธอเมา และก็มักจะไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป นัตตี้เคยเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตาของตัวเองมาแล้ว ถึงมีคำสั่งห้ามไม่ให้เธอดื่มเหล้าอีก อยู่ไกลตาทีไรเป็นแบบนี้ทุกที
“เธอคงไม่ได้ไล่ปล้ำเขาใช่ไหมเจนีน” นัตตี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“ใครจะรู้ล่ะพี่นัตตี้ก็บอกแล้วว่าเมา”
“โธ่ ถัง กะละมัง หม้อ เจนีนนะเจนีน เธอทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ถึงไม่อยากทำก็ทำไปแล้ว พี่จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ถ้าบ่นแล้วเจนีนได้ความบริสุทธิ์กลับคืนมาก็ว่าไปอย่าง อันที่จริงเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องแปลกซะหน่อย”
“แต่สำหรับเจติยา ดิษยลักษณ์...เรื่องเสียตัวให้ผู้ชายง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”
“ใครล่ะจะคิดว่ามันจะเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้”
“งามหน้าจริงๆ เมาซะจนได้เสียเป็นเมียผัว นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ละก็จะจับมาหวดก้นซะให้เข็ด” นัตตี้เทศนาเจติยาซึ่งเขารักเหมือนน้องสาวไปหลายกัณฑ์จนอีกฝ่ายต้องเบรก
“พี่นัตตี้จะเทศน์อะไรหนักหนาก็คนมันพลาดไปแล้ว ไว้กลับไปเราค่อยคุยกัน”
เจติตารีบพูดตัดบทและวางสายทันที เพราะไม่อยากฟังอีกฝ่ายเทศนาสั่งสอนยืดยาว โดยที่ไม่รู้เลยว่าคริสได้ยินการสนทนาเหล่านั้นอย่างชัดเจน เขาเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี เพราะเคยคิดที่จะไปทำธุรกิจที่เมืองไทยก็เลยจ้างครูให้มาสอนภาษาไทยให้แก่เขา
หลังจากวันนั้นไม่ว่าเจติยาจะไปทำอะไรที่ไหนก็มักจะเห็นคริสอยู่ในสายตาเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับเธอ แต่สายตาที่จับจ้องมาที่เธอตลอดเวลานั้นมันทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และทำให้ทริปบนเรือสำราญหรูของเจติยาหมดสนุก
เมื่อใดก็ตามที่คริสเห็นผู้ชายมายืนคุยหรือรายล้อมรอบตัวเธอ เขาจะเดินมาแสดงตัวทันที และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวยิ่งหงุดหงิด เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับคริส ซึ่งเธอมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เขาจงใจที่จะสะกดรอยตามเธอ จากนั้นก็เลยตัดสินใจที่จะพักผ่อนอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิด เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบปิดประตูห้องทันที คริสไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้น เขาแทรกตัวเข้ามาในห้องพักของเธอจนได้
“คุณมาที่นี่ทำไม”
“ผมเป็นห่วงคุณ เห็นคุณเก็บตัวอยู่แต่ในห้องก็เลยแวะมาดู เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันจะเป็นอะไรหรือทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันเคยบอกคุณแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เมื่อไรจะเลิกยุ่งกับฉันซะที”
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไงในเมื่อคุณเป็นของผมแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องของที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นของผม และจะไม่ยอมใช้ของร่วมกับใครโดยเฉพาะผู้หญิง ฉะนั้นคุณต้องเลิกหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายได้แล้ว”
“บ้าแล้ว ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย อย่าคิดนะว่าการที่เรามีอะไรกันแค่ครั้งสองครั้ง จะทำให้คุณอ้างสิทธิในตัวฉันได้ ขอบอกว่าเข้าใจผิด”
“ถ้าคุณอยากให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นอะไรกันก็ลองดู”
“ฉันไม่แคร์”
ปากบอกว่าไม่แต่ที่จริงแล้วเธอแคร์เรื่องนี้ที่สุด เพราะเรื่องแบบนี้มันจะทำให้เธอตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน และทำให้ชื่อเสียงของเธอต้องมัวหมอง นอกจากจะปากแข็งแล้วเธอยังกล้าพูดจาสบประมาทเขาอีกด้วย
“คุณทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
“คุณจะทำอะไรฉัน!”
“ก็จะบอกให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมียผม”
“มีหลักฐานไหมล่ะ ถ้ามีแค่คำพูดลอยๆ โดยปราศจากหลักฐานยืนยันแล้วใครเขาจะเชื่อคำพูดของคุณ”
ที่พูดโพล่งออกไปแบบนั้นเพราะมั่นใจว่า เขาไม่น่าจะมีหลักฐานอะไรมายืนยัน คริสยักคิ้วให้เธอ ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ถามหาหลักฐานอย่างนั้นเหรอ!!
ได้เลยเดี๋ยวจัดให้
รอยยิ้มของเขามันทำให้เจติยาเสียวสันหลังยังไงก็ไม่รู้
หรือว่าเขาจะมีหลักฐานจริงๆ
คงไม่หรอก ใครจะบ้าถ่ายคลิปตอนมีเซ็กส์กันเพื่อเก็บไว้ดู นอกจากพวกโรคจิต และหน้าตาเขาก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นพวกโรคจิตสักหน่อย เจติยาได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ
“ฉันต้องการพักผ่อน คุณกลับไปได้แล้ว” เธอเอ่ยปากไล่เขาตรงๆ
“ผมจะไปถ้าคุณรับปากว่าจะไม่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และไปทานอาหารตรงตามเวลา คุณไม่จำเป็นต้องหลบหน้าผม”
“ได้ ฉันรับปากคุณ” เจติยาตอบก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง
“ออกไปได้แล้ว”
ก่อนที่คริสจะเดินออกไปจากห้อง เขาได้พูดกับเธอสั้นๆ ว่า
“หวังว่าคุณจะรักษาคำพูด” จากนั้นก็เดินจากไป
เจติยาปิดประตูพร้อมกับยืนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าเธอจะทำทุกอย่างเหมือนปกติโดยไม่สนใจเขา เพราะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน ฉะนั้นก็ควรจะเที่ยวพักผ่อนให้เต็มที่ จบทริปนี้เมื่อไรก็จะบินกลับเมืองไทยทันที ถึงตอนนั้นคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก เจติยาจึงทำตัวปกติจนกระทั่งการพักผ่อนในครั้งนั้นจบสิ้นลง เธอบินกลับเมืองไทยตามกำหนด