บทที่ 3 : ความรู้สึกของคนถูกทรยศ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 3 : ความรู้สึกของคนถูกทรยศ
พชรกลับมาถึงคอนโดในเวลาค่อนข้างเย็น การพบคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดทำให้หัวใจอันแข็งกระด้างของเขาเจ็บหน่วงขึ้นมา พชรคิดว่าบาดแผลนั้นมันจะหายสนิทแล้ว แต่เปล่าเลย... ความเจ็บปวดมันยังคงอยู่ ร่างสูงมองดูสัญญาว่าจ้างสามฉบับที่โรงพยาบาลสามแห่งเสนอให้เขาทันทีที่รู้ว่าเขากลับมาที่ประเทศไทย เขาสุ่มหยิบมาหนึ่งฉบับ มันเป็นข้อเสนอของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ทันคิดพิจารณาอะไรพชรก็ต่อสายถึงคนประสานงานทันที แม้ว่าเขาจะทำใจกลับมาอยู่ที่ไทยได้แล้ว แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากทนเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น รวมถึง... น้องชายที่ทรยศเขาด้วย . . . “อะไรกัน แม่ไม่ให้เราไปหรอกนะพีร์” คุณหญิงบุษบาโวยวายขึ้นทันทีที่ลูกชายมาแจ้งความประสงค์ว่าจะขอไปทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ “เราน่ะเพิ่งกลับมาได้วันเดียวเองนะ จะไปอีกแล้วเหรอ” “แล้วคุณแม่จะให้ผมอยู่ที่นี่หรือครับ” เมื่อถูกลูกชายถามตรงๆพร้อมกับมองด้วยสายตาเรียบนิ่งคนเป็นแม่ก็พูดไม่ออก “ผมตัดสินใจแล้ว และผมจะขอไถ่โทษด้วยการดูแลกิจการของบ้านเราทางเหนือเอง คุณแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” พชรพูดเสียงเรียบ แววตาแสดงความมุ่งมั่นแบบที่ทำให้คนมองไม่อาจพูดอะไรคัดค้านได้ บุษบามองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าชายตรงหน้าไม่ใช่ลูกชายที่น่ารักอ่อนโยนของเธออีกต่อไปแล้ว จะว่าไปก็อาจพูดได้ว่าตัวตนของพชรได้ตายไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน นับตั้งแต่ที่เขาถูกคนที่รักมากถึงสองคนทำร้ายพร้อมๆกัน “พีร์ ลูกจะให้อภัยน้องไม่ได้เลยเหรอลูก” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หากแต่อีกฝ่ายกลับตอบรับด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะขยับพูดคำที่ทำร้ายจิตใจคนเป็นแม่ที่สุด “ผม... ไม่มีน้อง” “ตาพีร์!” “ผมขอตัวนะครับ ต้องเดินทางพรุ่งนี้ ผมเช็คกับอาหมอแล้ว มะรืนคุณแม่ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ไว้ผมจะกลับมาเยี่ยมใหม่” พชรตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขายกมือไหว้ลามารดาแล้วหมุนตัวออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของคนเป็นแม่เลยแม้แต่น้อย “อ๊ะ! พี่...” ปลายตะวันที่เดินสวนเข้ามาพอดีผงะอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างสูงตีหน้านิ่งประหนึ่งหินสลักเดินผ่านหน้าไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ร้องทัก ขายาวๆของอีกฝ่ายก็ก้าวฉับๆจากไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใจแป้วอีกหน หัวใจดวงน้อยหดฟีบเหมือนลูกโป่งที่ถูกสูบลมออก เขาทำเหมือนมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ ปลายตะวันเดินคอตกเข้าห้องผู้ป่วยไป หวังว่าการได้คุยกับคนป่วยที่เธอรักเหมือนแม่แท้ๆจะทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวของเธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อภาพแรกที่เธอเห็นคือบุษบาที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง “เกิดอะไรขึ้นคะคุณป้า” “ตาพีร์ ตาพีร์จะหนีป้าไปอีกแล้ว” “อะไรนะคะ!?!” “ป้าว่าเขาคงทำใจไม่ได้ เขาอาจจะเกลียดป้าไปด้วยที่ป้าเข้าข้างกัญจน์” ได้ยินแค่นั้นปลายตะวันก็วางของเยี่ยมไว้ที่โซฟารับแขกก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปด้วยอารมณ์โกรธอยู่ลึกๆ ถึงแม้ว่าเธอจะเห็นใจพชรที่ถูกหักหลัง หากแต่เธอที่สนิทสนมกับกัญจน์เป็นอย่างดีรู้เสมอว่ากัญจน์คงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพี่ชายตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่บางครั้ง... เรื่องบางเรื่องก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจ บางทีความรักก็ทำให้คนเราหน้ามืดตามัวและกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวได้... แต่นี่ก็ผ่านไปตั้งห้าปีแล้ว... พชรไม่ได้แค่ทรมานกัญจน์ที่เฝ้าโทษว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกมาโดยตลอดเท่านั้น แต่เขายังทรมานทุกคน... โดยเฉพาะคนเป็นแม่อย่างบุษบา ซึ่งครั้งนี้เธอกลับคิดว่าเขานั่นแหละ ที่เป็นคนเห็นแก่ตัว “ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะพี่พีร์” หญิงสาววิ่งตามทันคนตัวสูงเมื่อเขาหยุดรอลิฟต์อยู่ พชรเพียงปรายตาหันมามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเมินราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ “คุณป้าป่วยขนาดนี้พี่พีร์ทำใจทิ้งคุณป้าลงได้ยังไง” “...” ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นทำให้ปลายตะวันรู้สึกอึดอัด เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่ากำลังคุยอยู่กับอิฐกับปูน ใบหน้าของเขายังคงเรียบ นิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆแม้จะถูกเธอต่อว่า และสุดท้ายก็เป็นคนตัวเล็กที่ทนไม่ไหว โพล่งประโยคที่แสนเจ็บแสบออกมาเผื่อว่าจะทำให้คนเย็นชาอย่างเขารู้สึกรู้สาเสียบ้าง “หรือพี่พีร์ทำใจไม่ได้ที่ต้องเจอหน้าคุณเพียงฟ้า พี่รับไม่ได้ใช่มั้ยคะถึงได้เอาแต่หนีแบบนี้...” “...” “เหอะ! ขี้ขลาด” “เธอมันจะไปรู้อะไร!?!” มันได้ผลเมื่อพชรตวาดขึ้นพร้อมกับตวัดสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธมองกลับมา ดูท่าว่าเรื่องของกัญจน์กับเพียงฟ้าจะมีอิทธิพลต่อเขามาก หญิงสาวรู้สึกเจ็บแปลบในอก ที่เขาโกรธขนาดนี้ ก็แปลว่าเขาอาจจะยัง ‘รัก’ เพียงฟ้าอยู่งั้นหรือ? “ค่ะ! ตะวันไม่รู้ ตะวันไม่รู้เลยว่าพี่พีร์จะเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ความทุกข์ของตัวเอง ไม่สนใจแม่แท้ๆของตัวเองแบบนี้” “นี่...” “เสียดายที่ตะวัน...ไม่สิ คุณป้าอุตส่าห์รอ ถ้ารู้ว่ากลับมาแล้วจะมาทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้ ก็อยู่อเมริกาจนแก่ตายไปเลยเถอะค่ะ!” พูดจบก็เดินกระทืบเท้าปึงปังกลับห้องผู้ป่วยไป ทิ้งให้คนที่ถูก ‘เด็ก’ ต่อว่าใส่หมาดๆยืนคว้างอยู่คนเดียว พชรกำมือแน่น นึกสงสัยตัวเองว่าเหตุใดถึงไม่เถียงไม่ตอบโต้อะไรออกไปบ้าง ทำไมถึงได้ปล่อยให้เด็กอย่างนั้นมาตะโกนใส่หน้าปาวๆ แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปตอบโต้ เธอคนนั้นไม่ได้สำคัญพอที่เขาจะไปเถียงด้วย อยากเข้าใจอะไรก็ปล่อยให้เข้าใจไป เพราะคนไม่เคยถูกทรยศ... ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาหรอก... . . . หลังจากไประบายอารมณ์ใส่อดีตพี่ชายข้างบ้านจนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเหวอไปแล้ว ปลายตะวันก็มายืนทำอารมณ์ให้เย็นที่สวนบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล นี่น่ะเหรอคนที่เธอเฝ้ารอ? นี่น่ะหรือคนที่เธอเทิดทูน? หญิงสาวได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง คนที่เธอแอบรักมาตั้งแต่จำความได้ ผู้ชายอบอุ่นคนนั้นทำไมถึงได้กลายเป็นคนอารมณ์ตายด้าน จิตใจเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งได้ขนาดนี้? “คนงี่เง่าเอ๊ย!!!” เธออยากจะตะโกนให้สุดเสียงกว่านี้ แต่ก็เกรงใจสถานที่ จึงได้แต่โวยวายแบบเด็กๆ ทำลายข้าวของเช่นโต๊ะ เก้าอี้ที่วางประดับสวนจนมันล้มระเนระนาด “ทำลายข้าวของของโรงพยาบาลแบบนี้ ผิดกฎหมายนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้คนที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงชะงัก ขาเรียวสวยที่กำลังถีบๆเก้าอี้ผู้โชคร้ายถูกเก็บกลับเข้าที่อย่างเรียบร้อย “ขอโทษค่ะ!” เธอหันมายกมือไหว้คนเตือนเร็วๆโดยไม่ทันมองหน้าผู้มาใหม่ด้วยซ้ำ ก่อนจะรีบหันกลับไปเก้าอี้ที่ล้มไปคนละทิศคนละทางขึ้นตั้งเหมือนเดิม อีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆก่อนจะเอ่ย “มา ผมช่วย” แล้วเงาของร่างหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆของเขาทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่สวยตะลึงค้างไปพักหนึ่งเพราะถูกรอยยิ้มของคนตรงหน้าสะกดไว้... เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่มีผิวขาวละเอียด ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลาชนิดที่ว่าดาราบางคนยังเทียบไม่ติด ดวงตาดูสดใสราวกับตาของเด็ก เขามีรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา และดูจากเสื้อกาวน์ที่เขาสวมอยู่พร้อมกับชื่อตรงหน้าอก ‘นายแพทย์คณิน เลิศเกียรติวรกุล’ ทำให้ปลายตะวันรู้ว่าเขาเป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ “ปกติเป็นคนอารมณ์รุนแรงแบบนี้รึเปล่าครับ” คุณหมอหนุ่มแซวขณะที่จัดการเก็บเก้าอี้ตัวสุดท้ายเข้าที่ ปลายตะวันรู้สึกอายจนอยากจะหายตัวไปเสียตรงนั้น เธอค้อมศีรษะขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอีกครั้ง “ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” “โห ถ้าตั้งใจผมว่าสวนอาจจะพัง” คณินว่า และก็ไม่ได้เกินจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะกะๆดูแล้วแรงของหญิงสาวตรงหน้าคงมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้แน่ “คุณหมอก็พูดเกินไป ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉัน... ฉันขอตัวนะคะ” พูดจบสาวเจ้าก็วิ่งปรู๊ดออกไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ทิ้งให้คุณหมอหนุ่มยืนคว้างอยู่คนเดียว ‘คณิน’ หรือที่คนในโรงพยาบาลมักเรียก ‘หมอธาม’ ยิ้มอย่างขำๆก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ยาวประจำตำแหน่ง นายแพทย์หนุ่มแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อกะจะมาพักเหนื่อยหลังจากถูกจับแช่อยู่ในห้องผ่าตัดมาหลายชั่วโมง แต่เขากลับพบว่าสวนสวยๆที่อุตส่าห์พูดอ้อนวอนให้บิดาที่เป็นประธานใหญ่ของโรงพยาบาลสร้างให้กำลังถูกหญิงสาวร่างเล็กที่หน้าตาสะสวยราวกับนางฟ้าประทุษร้ายอยู่ ใจจริงเขาก็อยากเข้าไปเตือนเธอให้เลิกทำลายสวนของเขาทันที แต่ดวงตาแสนรั้นคู่นั้นก็ทำให้เขาต้องหยุดมองอยู่นาน กระทั่งสาวเจ้าเตรียมจะเตะเก้าอี้ตัวโปรดของเขานั่นแหละ เขาถึงได้สติเข้าไปห้าม สวยมาก ถึงแม้จะเคยชมบรรดาหมอๆและพยาบาลสาวๆว่าสวยอยู่บ่อยๆตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ แต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่สวยจนยากจะละสายตาและทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้ขนาดนี้มาก่อน เสียงโทรศัพท์ที่แผดลั่นขัดจังหวะความคิดของคุณหมอหนุ่ม คณินแยกเขี้ยวให้กับเบอร์อันแสนคุ้นก่อนจะกดรับ “สวัสดีครับท่านพ่อ” เขาพูดอย่างกวนๆ ปลายสายพ่นลมอย่างเหนื่อยหน่าย “ไอ้ลูกคนนี้นี่... มาหาพ่อหน่อยสิ มีเรื่องจะคุยด้วย” “เรื่องนั้นอีกแล้วเหรอครับ ทำไมคุณพ่อถึงชอบผลักไสผมจัง” คุณหมอหนุ่มบ่น ใบหน้าหล่อเหลายับยู่ยี่เพราะพอจะเดาได้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าเรียกตนไปพบด้วยเรื่องอะไร ก็เรื่องเดิมๆ “ถ้ามันไม่จำเป็นฉันก็ไม่อยากเข็นไอ้ลูกชายขี้เกียจๆอย่างแกให้ไปเป็นผอ.โรงพยาบาลหรอกนะ” “นั่นสิ เพราะฉะนั้นคุณพ่อให้คนอื่นไปเถอะ ผมขอเกาะคุณพ่อกินอยู่ที่นี่ดีกว่า” เสียงกระเง้ากระงอดของลูกชายคนเดียวทำเอาคนเป็นพ่อที่คิดว่าตัดสินใจดีแล้วถึงกับลังเล ลูกชายของเขาแม้จะเข้าสามสิบแล้วมันก็ยังทำตัวเด็กอยู่ดี “เดี๋ยวฉันจะตัดหางแกปล่อยวัด เลิกเล่นแล้วมาหาพ่อได้แล้ว!” เป็นอันว่าสุดท้ายเขาก็ต้องเดินคอตกไปหาบิดาผู้ซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เขารับผิดชอบดูแลกิจการของโรงพยาบาลสาขาที่เชียงใหม่จนได้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการรับตำแหน่งผู้บริหารหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาต้องจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพที่เต็มไปด้วยของสวยๆงามๆที่เขาชอบนี่สิ แต่จะไปคัดค้านพ่อก็ไม่ได้ เพราะดูจากนิสัยแล้ว ไอ้ประโยค ‘ตัดหางปล่อยวัด’ นั่น ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นคำขู่ซะทีเดียว . . . “อ้าว สวัสดีค่ะพี่ดนัย” ปลายตะวันที่เดินหนีความอับอายเข้ามาในห้องผู้ป่วยชะงักเมื่อพบว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่กับบุษบาด้วย หญิงสาวยกมือไหว้เลขาของบุษบาที่อาจเรียกได้ว่าเป็นพี่ชายอีกคนของเธอ เพราะเขาถูกครอบครัวของบุษบาอุปการะมาตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่ที่คุณพ่อของเขาเสียไปพร้อมๆกับเกียรติโกเมนทร์สามีของคุณหญิงในอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ทำให้ ‘ดนัย’ กลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านวัชรธีรากุล และเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันกับเธอและกัญจน์ แต่คนที่เลขาหนุ่มสนิทมากที่สุดนั้นคือพชรที่อายุพอๆกัน อาจเรียกได้ว่าเขาคือเพื่อนสนิท เพื่อนตาย และเป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถติดต่อพชรได้ในช่วงที่เจ้าตัวอยู่เมืองนอกไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง “ไงเรา ไม่ได้ผลล่ะสิ หน้าบูดกลับมาเชียว” ดนัยยิ้มอย่างรู้ทัน เขาฟังเรื่องราวคร่าวๆจากคุณหญิงมาแล้ว “ไม่ต้องมาล้อตะวันเลย พี่ไปว่าเพื่อนตัวแสบของพี่โน่น คนอะไร ไร้หัวใจที่สุด” “อ้าว พี่คิดว่าไอ้บ้านั่นมีหัวใจของตะวันอยู่ด้วยซะอีก” “พี่ดนัย!” เธอแหวขึ้น หน้าแดงจัดราวกับลูกตำลึงสุก ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็รู้ทั้งนั้นว่าสาวสวยนาม ปลายตะวัน คนนี้ชื่นชอบและชื่นชมพชรเสียยิ่งกว่าอะไรมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าชื่นชมเข้าขั้นเทิดทูนบูชา นี่ถ้าพชรเป็นรูปหล่อรูปสลัก เจ้าตัวคงอันเชิญขึ้นหิ้งแล้วกราบเช้ากราบเย็นเป็นแน่ “คุณป้าขา คุณป้าดูสิ พี่ดนัยเค้าแกล้งตะวัน” เธอฟ้องคนที่อาวุโสที่สุดในห้อง “เอ้า หรือไม่จริงหือ?” “ตะวันไม่พูดกับพี่ดนัยแล้ว!” เธอหันไปค้อนใส่ร่างสูงแล้วมาอ้อนบุษบาแทน “คุณป้าไม่ต้องเสียใจนะคะ ถึงอีตาพี่พีร์กับพี่กัญจน์ไม่อยู่ แต่ตะวันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าเอง” “ว้า มีคนโปรดมาอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้แล้วเห็นทีผมคงหมดประโยชน์แล้วสิ” ดนัยแสร้งทำหน้าเศร้า “รู้ตัวก็ดีแล้วนี่คะ พี่ดนัยน่ะกลับไปเลย ชิ่วๆๆ” “ไม่ต้องมาไล่พี่เลยยัยแคระเอ๊ย” “เอ๊ะ! ตะวันไม่ได้แคระนะ” “เหรอ อีกนิดก็ตัวเท่าลูกหมาแล้ว สมน้ำหน้าตอนเด็กๆพี่บอกให้กินนมก็ไม่กิน ตัวสั้นเลยเห็นมั้ย” ปลายตะวันหน้างอเข้าไปอีกเมื่อถูกโจมตีจุดอ่อน แต่ถึงเธอจะเตี้ยส่วนสูงไม่ถึงร้อยหกสิบ แต่เธอก็เตี้ยน่ารักน่าทะนุถนอมล่ะนะ ไม่งั้นคงไม่รั้งตำแหน่งดาว มหา’ลัยได้หรอก ดนัยยิ่งหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้างอนตุ๊บป่องของเธอ เขายกมือบีบแก้มของเธอเบาๆ “โอ๋เอ๋ ไม่งอนนะจ๊ะ” “ไม่ต้องมาจับเค้าเลย!” “โอ๊ย ถูกงอนแล้วมั้งฉัน” ดนัยบ่นไม่จริงจังนักก่อนจะยกมือดูนาฬิกา แล้วหันมาบอกบุษบา “ผมต้องไปแล้วล่ะครับคุณท่าน ไม่งั้นคงตกเครื่อง” “เรื่องที่ฉันฝากน่ะ...” “ไม่ต้องห่วงครับ คุณท่านพักผ่อนให้สบายเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ปลายตะวันมองคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน “งั้นผมขอตัวนะครับ พี่ไปล่ะนะ ’แคระ’ ” “ไอ้พี่ดนัย!” . . . “ทำไมผู้ชายรอบๆตัวตะวันถึงได้เป็นแบบนี้กันหมดนะคะคุณป้า หาดีๆไม่มีเลย” หญิงสาวบ่นเมื่อดนัยเดินพ้นประตูไปแล้ว ใบหน้าสวยหวานยังคงง้ำงอ “พอมีดีๆหนูก็ไม่เอานี่จ๊ะ” คุณหญิงแซว หลานสาวสุดที่รักของเธอเป็นถึงดาวมหา’ลัย ย่อมมีคนมาขายขนมจีบมากมายไม่ขาด แต่สาวเจ้าก็ปฏิเสธหมด และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอาทิตย์คนพ่อนั้นหวงลูกสาวยิ่งกว่าอะไรต่อให้ลูกสาวไม่ปฏิเสธแต่ถ้าคนเป็นพ่อเห็นมนุษย์ผู้ชายคนไหนนอกจากคนของบ้านเธอเข้าใกล้ปลายตะวัน ก็เป็นอันต้องขู่ต้องไล่ตะเพิดจนคนพวกนั้นกระเจิดกระเจิงกันไปหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสาวสวยอย่างปลายตะวันถึงยังไม่เคยมีคนรักมาเลยจวบจนอายุยี่สิบสองปี “ก็ไม่ดีน่ะสิคะตะวันถึงไม่เอา” “เอ... ไม่ใช่ว่ารอใครอยู่เหรอจ๊ะ” “ตะวันไปเอาสาลี่ของโปรดคุณป้ามาให้ทานดีกว่า” เธอจงใจเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตารู้ทันของคุณหญิง “หนูตะวัน ป้าขอถามจริงๆเลยนะ” น้ำเสียงจริงจังของคนที่เธอดังดุจมารดาทำให้คนที่กังปอกสาลี่ชะงัก “คะ?” “หนูน่ะ... ชอบตาพีร์มากๆเลยใช่มั้ยลูก”
已经是最新一章了
加载中