ตอนที่ 1 เขาหมื่นเซียน   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 1 เขาหมื่นเซียน
ยอดเขาสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่าน ผู้คนเรียกขานนาม “เขาหมื่นเซียน” ดึกสงัดบรรยากาศหาได้เงียบสงบ สายลมพัดกระโชกดังครืนครั่นสนั่นทั่ว สายวิชชุแลบแปลบปลาบน่ากลัว อสนีบาตฟาดเปรี้ยงเสียงดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ห่าฝนกระหน่ำซ้ำซัดสาดเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง   สำนักตำหนักหมื่นเทพ ในค่ำคืนนี้โกลาหลอลหม่าน พ่อบ้านคนรับใช้ต่างเร่งก่อไฟเติมฟืนต้มน้ำจนเดือดพล่าน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดยั้ง ร่างเลือนรางห้าสายวิ่งฝ่าสายฝนอย่างเร่งร้อน พอเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้นซึ่งมีหลังคาปกคลุม ทั้งห้าคนหยุดยืนแลเห็นเป็นสองบุรุษกับสตรีอีกสามนาง   บุรุษหนึ่งแต่งกายคล้ายบัณฑิต บุรุษหนึ่งแต่งกายมิดชิดรัดกุม เพียงมองผ่านคาดคะเนไม่ผิดพลาด ทั้งสองมีวิชาฝีมือติดตัวอายุราวสามสิบเศษ สตรีสามนางวัยกลางคน แต่งกายไม่คล้ายชาวยุทธ์เท่าใดนัก คนรับใช้เห็นเช่นนั้นรีบวิ่งออกมาพร้อมกับชุดใหม่ให้ทั้งหมดผลัดเปลี่ยน   “ท่านหมอทั้งสามผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” บุรุษในชุดใหม่เพิ่งผลัดเปลี่ยน แต่ยังคงไว้ซึ่งบุคลิกภาพของบัณฑิตกล่าวถาม   “เราทั้งสามพร้อมแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะให้เราทั้งสามทำคลอดให้กับผู้ใด?”  หนึ่งในสตรีสามนางเอ่ยถาม   “ฮูหยินทั้งสามบังเอิญเจ็บท้องคลอดพร้อมกันมิได้นัดหมาย เราได้จัดแจงห้องแยกเป็นสามส่วนมิปะปน ท่านหมอทั้งสามติดตามคนของเราไป อุปกรณ์น้ำต้มล้วนเตรียมพร้อมมิตกหล่นขาดเหลือ” บุรุษอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้นกับสตรีทั้งสาม   ที่แท้สตรีกลางคนทั้งสามเป็นหมอตำแย บุรุษทั้งสองลงเขาไปรับตัวมาแต่หัวค่ำ หลังจากทราบแน่ว่าสตรีภายในห้องสามนาง ต่างร้องครวญครางโอดโอยท้องแก่ อีกทั้งยังมีน้ำคร่ำไหลหลั่งมิยั้งหยุดคำนวณแน่ไม่พ้นค่ำคืนนี้ สตรีทั้งสามต้องให้กำเนิดทารกน้อยให้เชยชม   หมอตำแยทั้งสามชำนาญการทำคลอด ไม่ส่งเสียงลอดถามให้มากความ แยกย้ายก้าวเท้าตามติดผู้นำพา เบียดร่างผ่านบานประตูห้องหับเข้าไป ก่อนที่หญิงรับใช้จะปิดประตูลง   ฝนฟ้าไม่เป็นใจดั่งกลั่นแกล้งผู้คน ผ่านมาหลายวันอากาศแห้งแล้งไร้เมฆหมอก ค่ำคืนนี้ไม่มีเค้าลางว่าจะมีพายุฝนเกิดขึ้น จู่ ๆพลันพายุพัดโหมรุนแรงกระหน่ำทั้งสี่ทิศแปดทาง หนำซ้ำฟ้ายังร้องก้องคำรามดั่งโกรธแค้น สายวิชชุสีขาวปนเหลืองแลบแปลบปลาบฉาบทั่วท้องนภาราตรีอันมืดมิด ก่อนที่สายฝนจะสาดเทลงมาโดยมิลืมหูลืมตาอย่างบ้าคลั่ง   ภายในห้องทำคลอดทั้งสาม เสียงร้องโอดโอยของสตรีดังเล็ดลอดออกมามิขาดหู ปานว่าจะขาดใจลงบัดเดี๋ยวนั้น เสียงหมอตำแยส่งเสียงกำชับเอาใจช่วย ดังสลับสับเปลี่ยนกับเสียงร้อง จนยากจำแนกเสียงคนกับเสียงฟ้าฝน   “ออกแรงแบ่งอีกที นั่นแหละใกล้แล้ว ข้าเห็นศีรษะเด็กแล้ว สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆแล้วแบ่ง” เสียงหมอตำแยส่งเสียง ภายนอกห้องทำคลอดบุรุษหลายคนต่างเดินไปมาไม่หยุดนิ่ง บ้างชะเง้อเงี่ยหูสดับรับฟัง ภายในห้องพลันเงียบเสียงลงชั่วขณะ แต่ภายนอกห้องเสียงหัวใจของหลายคนเต้นตูมตามดั่งกลองนับร้อยถูกตีกระหน่ำพร้อม ๆกัน ผู้คนกระสับกระส่ายคล้ายยืนไม่ติดพื้น เดินสวนสลับกันไปมาปานพยัคฆ์ติดกับดักนายพรานปานฉะนั้น   ทันใดนั้นสายอสุนีบาตฟาดทลายเปรี้ยงลงมา จนสว่างจ้าไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิดยามรัตติกาล ภายในห้องที่เงียบสงบพลันดังกึกก้องด้วยเสียงร้องของทารก   “อุแว้ อุแว้ อุแว้” เสียงร้องจ้าดังแข่งพร้อมกันทั้งสามห้อง ผู้ที่ยืนรออยู่ภายนอกตื่นเต้นยินดีจนแทบกระทำสิ่งใดไม่ถูก ผ่านไปเพียงชั่วลัดนิ้วบนฝ่ามือ เสียงภายในห้องทั้งสามพลันค่อย ๆเงียบลงจนสงบ แต่แล้วจู่ ๆห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลางเกิดเสียงร้องลั่นสนั่นจ้าขึ้นอีกครั้งครา เสียงทารกตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฟ้าและพายุฝน จนฟังไม่ได้ศัพท์จับทิศทางจำแนกแยกแยะไม่ออก   ชั่วครู่ให้หลังทุกสรรพสิ่งเงียบงันลงอีกครั้ง ภายในห้องจุดเทียนไขจนสว่างไสว ภายนอกพายุพัดผ่านพ้นเลยไป สายฝนไม่มีร่วงหล่นจากฟ้าแม้แต่เม็ดเดียว ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส อรุโณทัยไขแสงในตอนเช้าของวันนี้ สำนักตำหนักหมื่นเทพจะรีบแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับทารกที่เพิ่งคลอดไปทั่วยุทธภพ ทารกที่เกิดมากับสายฟ้าและพายุลมฝนกระหน่ำ ปรากฏการณ์เช่นนี้คงมิใช่ลางร้ายบอกเหตุเภทภัย   บุรุษที่ยืนคอยอยู่เบื้องนอกใจจดใจจ่อว่าเมื่อใด? หมอตำแยจะอุ้มทารกน้อยออกมาให้เชยชม บ้างอยากทราบว่าทารกที่กำเนิดเกิดมา เป็นทารกเพศชายหรือเพศหญิงกันแน่?   ทันใดนั้นภายในห้องบังเกิดเสียงดังประหลาดขึ้น ฟังคล้ายมีคนทลายช่องหน้าต่างเข้ามาจากด้านหลัง มิรอช้าบุรุษด้านนอกหลายคน พุ่งร่างพังประตูแยกย้ายเข้าไปในห้องทั้งสาม เป็นเวลาเดียวกันกับเงาร่างชุดดำสามคน ทลายช่องหน้าต่างพุ่งร่างออกไปพอดี ท่าร่างช่างรวดเร็วน่ากลัว   “ลูกข้า!! มีคนร้ายขโมยทารกไปแล้ว” เสียงสตรีทั้งสามที่เพิ่งให้กำเนิดทารกร้องขึ้น พร้อมกับยกมือชี้ไปยังช่องหน้าต่างทางด้านหลังห้องที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี    บุรุษในที่นั่นพุ่งร่างติดตามไปทันที เมื่อติดตามมายังเบื้องนอก เงาร่างของคนชุดดำผู้หนึ่งซึ่งเข้ามายังห้องซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีท่าร่างรวดเร็วดุจวิญญาณผีภูตพราย พริบตาเดียวโอบอุ้มทารกน้อยกลืนหายไปกับความมืดมิดจนไม่เห็นเงา   ชายชุดดำอีกสองคนมือข้างหนึ่งโอบอุ้มทารก มืออีกข้างที่ว่างเปล่ายกขึ้นแล้วแผ่พุ่งพลังเข้าใส่ผู้ติดตามคราวเดียวสิบกว่าฝ่ามือ   “ยี่ซือ(ศิษย์พี่รอง)ข้าพเจ้าจะไปตามซือแป๋(อาจารย์)  และศิษย์พี่ทั้งสองมาช่วย พวกท่านล้อมกักพวกมันเอาไว้อย่าให้หนีได้ แล้วข้าพเจ้าจะรีบกลับมาช่วยอีกแรง” ดรุณีวัยยี่สิบห้าปีส่งเสียงขึ้น พร้อมกับพุ่งร่างออกไปดั่งพายุพัดหอบ   เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ผู้ที่ดรุณีเมื่อครู่เรียกหาเป็นศิษย์พี่รอง กับบุรุษแต่งกายคล้ายบัณฑิต และมือดีอีกหลายคน ต่างพากันแยกย้ายกักล้อมร่างชายชุดดำสองคนเอาไว้ มีเพียงชายชุดดำอีกผู้หนึ่งซึ่งหนีไปได้พร้อมกับทารกที่เพิ่งให้กำเนิดเกิดมา   จากนั้นการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน ชุดดำทั้งสองแม้มือข้างหนึ่งโอบอุ้มห่อผ้า ทารกน้อยเพิ่งคลอดห่อหุ้มอยู่ภายใน กระนั้นสภาวะท่าร่างกลับไม่สะดุดติดขัด ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าใช้ออกติดต่อกันสิบห้าฝ่ามือ เท้าที่ก้าวย่างยิ่งไม่สับสนเสียหลักผลักหนึ่งฝ่ามือ คนที่กักล้อมกระเด็นกระดอนไปหนึ่งคน ผลักสองฝ่ามือกระเด็นไปสองคน ชุดดำอีกคนกวาดเท้าในคราวเดียวเกี่ยวผู้คนล้มหงายไปถึงห้าหกคน   แต่ทว่าบุรุษในชุดบัณฑิต กับบุรุษที่ดรุณีนางนั้นเรียกหาเป็นศิษย์พี่รอง มีฝีมือรวดเร็วร้ายกาจ ไม่ตกเป็นรองสองคนชุดดำเท่าใดนัก อีกทั้งยังสองมือที่ว่างเปล่า มิได้โอบอุ้มสิ่งใดไว้ในอ้อมแขน ดังนั้นยิ่งพลิกแพลงสำแดงท่าร่างได้มากกว่า   คนชุดดำสองคนสู้พลางถอยพลาง มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบถูกฝ่ามือของสองบุรุษทำร้าย คนชุดดำทั้งสองยามลนลานสับสน ห่วงตนมากกว่าห่วงทารกในอ้อมแขน ต่างโยนทารกทั้งสองลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ แล้วประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าปะทะกับสองบุรุษ เมื่อปะทะฝ่ามือแล้วร่างต่างแยกจาก ทารกน้อยทั้งสองหมดสภาวะร่างร่วงหล่นตกพื้นชวนหวาดเสียว ในขณะที่ทุกคนยังคงต่อสู้ติดพัน   ทันใดนั้นสตรีนางหนึ่งพุ่งร่างเข้ามา แล้วคว้าหมับรับทารกหนึ่งเอาไว้ได้ ส่วนทารกอีกคนหนึ่ง ชายชุดดำหลังจากต่อยหมัดใส่บุรุษชุดบัณฑิตแล้ว ลอยตัวขึ้นคว้าหมับรับห่อผ้าของทารกอีกคนไว้ได้หวุดหวิดหวาดเสียว แล้วพุ่งร่างหลบหนีอย่างรวดเร็ว   ฉับพลันทันใดนั้นสตรีอีกนางหนึ่งไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด? พุ่งร่างติดตามชายชุดดำผู้ซึ่งอุ้มทารกติดมือไป คนอื่น ๆไม่มีเวลาใส่ใจหันไปมอง รีบลงมือจัดการชุดดำที่เหลืออีกผู้หนึ่งซึ่งในขณะนี้ในมือปราศจากทารกน้อย คนชุดดำแม้ฝีมือกล้าแข็งแต่คู่มือมีมากหลาย อีกทั้งหากเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพปรากฏตัว อย่าหมายว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ รีบถีบเท้าพุ่งร่างถอยหลัง อาศัยความมืดกระโดดลอยตัวหนีไป   จังหวะนั้นร่างของชายชราผมขาว สวมชุดยาวพุ่งมาดั่งสายลมหอบหนึ่ง ด้านหลังติดตามด้วยดรุณีหน้าตาหมดจดซึ่งเป็นผู้ไปตามชายชราดังกล่าว เมื่อมาถึงบุรุษสองคนกำลังพุ่งร่างติดตามไปมุ่งตรงยังริมผาฟากหนึ่ง เป็นทิศทางเดียวกับที่คนชุดดำโอบอุ้มทารกหนีไป และมีสตรีอีกหนึ่งนางพุ่งร่างติดตามไปนั่นเอง   ทั้งหมดวิ่งติดตามไปโดยไม่นัดหมาย ริมผาชายชุดดำอุ้มทารกกำลังต่อสู้กับสตรีนางนั้น เสียงสตรีนางนั้นร้องตวาดเสียงดังก้องว่า   “เจ้าคนชั่ว เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? รีบส่งลูกข้ามาเร็วเข้า” ปากส่งเสียงตวาดฝ่ามือฟาดพุ่งออกแย่งชิง เท้าเตะกราดเข้าใส่ข้อเท้าคนผู้นั้น คนชุดดำคล้ายไม่แยแสสนใจ เบี่ยงตัวหลบหลีกซ้ายขวาแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่างสตรีนางนั้นเต็มแรง   “น้องหญิงอันตรายแล้ว!!”  เสียงร้องเตือนของบุรุษชุดบัณฑิตตะโกนออกบอกสตรีนางนั้นให้ระวังตัว   เสียงทึบเมื่อฝ่ามือกระทบร่าง ดั่งว่าวไร้สายปลิดปลิวตามแรงลม ร่างสตรีนางนั้นกระเด็นร่วงหล่นตกหน้าผาไป ทุกคนส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตระหนกตกใจ แต่หาได้ช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน คนชุดดำมิรอช้าพาร่างจากไปกับความมืดมิด โดยไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานแต่อย่างใด   บุรุษในชุดบัณฑิตสีขาว กระโจนสู่ริมผาสองมือไขว่คว้าควานหาร่าง แต่ทว่าริมผาว่างเปล่าไร้ผู้คน ผาซึ่งเต็มไปด้วยโขดหินลื่นเฉอะแฉะ สืบเนื่องจากสายฝนที่เพิ่งตกผ่านพ้นไปได้ไม่นาน อีกทั้งด้านล่างมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใด บุรุษชุดขาวตะโกนก้องร้องเรียกเพรียกหาดั่งคนบ้าคลุ้มคลั่ง ทุกคนรีบเข้ามาช่วยกันค้นหา แต่ไร้ผลมิเห็นคนไม่พบร่างของสตรีนางนั้นแล้ว   ทันใดนั้นบุรุษอีกผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยท่าร่างอันรวดเร็ว เมื่อหยุดเท้าทั้งสองลง ส่งเสียงแจ้งแก่ทุกคนว่า   “แย่แล้ว!! ทุกคนรีบติดตามมาด้านนี้เร็วเข้า” ผู้กล่าววาจาเป็นศิษย์คนโตของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ผู้คนในที่นั้นมิรั้งรอชักช้ารีบพุ่งร่างติดตามไปทันที ยกเว้นเพียงบุรุษชุดบัณฑิตยังคงนั่งแข็งทื่อซึมเซา เมื่อทุกคนมาถึงซึ่งเป็นห้องที่ตั้งอยู่กึ่งกลาง สำหรับใช้สำหรับทำคลอดเมื่อไม่นานมานี้   ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสร้างความตระหนกตกใจแก่เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน ท่านรีบโผพุ่งเข้าไปประคองร่างบุรุษซึ่งนอนหายใจรวยรินจวนสิ้นใจ ข้าง ๆยังนอนอยู่ด้วยสตรีอีกนางหนึ่งสภาพไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพส่งเสียงวุ่นวายถามดังว่า   “เป็นฝีมือผู้ใด? เหวินอี้บอกกล่าวต่อบิดามาอย่าชักช้า ภรรยาเจ้าเล่า? เป็น...เป็นฝีมือของผู้ใด?”   บนพื้นนอนอยู่ด้วยร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษนั้นเป็นบุตรชายเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนนามเหวินอี้ ส่วนสตรีเป็นสะใภ้ท่านนามเพ่ยอิงซึ่งเพิ่งให้กำเนิดทารกนั่นเอง ทั้งสองหายใจรวยรินใกล้สิ้นลม ศิษย์สตรีที่วิ่งติดตามมาตรงเข้าประคองสตรีนางนั้น นางเป็นศิษย์คนที่สามแห่งสำนักตำหนักหมื่นเทพ   “บิดา ข้าพเจ้าไม่เห็นใบหน้า มันแต่งชุดดำปกปิดมิดชิด ท่าร่างรวดเร็วลงมือเพียงสองฝ่ามือ ข้าพเจ้าและเพ่ยอิงคล้ายถูกภูผากดทับบดร่าง บิดาท่าน...ท่านต้องช่วยเหลือลูกข้าพเจ้ากลับมา”   เหวินอี้บุตรชายเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนส่งเสียงแผ่วเบาเลือนราง ยิ่งกล่าววาจาคล้ายยิ่งห่างไกล สองตาเหม่อมองเหลือบแลภรรยารัก ศิษย์สตรีคนที่สามไม่มัวรอช้า ประคองร่างเพ่ยอิงเข้ามาใกล้ ๆให้สามีภรรยาสัมผัสมือเป็นครั้งสุดท้าย นางเองอดหลั่งน้ำตาด้วยความเวทนาสงสารออกมามิได้ ไม่ต่างจากศิษย์อีกสี่คนซึ่งยืนซึมเซาเศร้าโศกกระทำสิ่งใดไม่ถูก   “บิดา...ข้ามีสิ่งหนึ่ง...ที่” เหวินอี้รวบรวมเรี่ยวแรงกล่าวกระซิบริมโสตบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างจะสั่นกระตุกคราหนึ่ง แล้วสิ้นลมหายใจเคียงข้างเพ่ยอิงภรรยาสุดที่รักไป เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนตะโกนก้องร้องลั่นสนั่นทั่วทั้งหุบเขา น้ำตาเจ้าสำนักไหลรินเป็นเส้นสาย สองมือกอดร่างไร้วิญญาณบุตรชายแนบแน่น   อรุโณทัยค่อยฉาบแสงทาบอาบพื้นสำนักตำหนักหมื่นเทพช้า ๆ เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนในยามนี้ยังคงนั่งกอดศพบุตรชายไว้ไม่ไหวติง ค่ำคืนอันแสนหฤโหดของธรรมชาติและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข่าวดีที่จะบอกกล่าวออกไปสู่ชาวยุทธ์เกี่ยวกับการรับขวัญทารกน้อย กลับกลายเป็นข่าวร้ายทำลายขวัญชาวยุทธ์ไป   บุตรชายกับสะใภ้ของสำนักอันดับหนึ่งถูกฝ่ามือสังหารโหดเหี้ยมอำมหิต สำนักตำหนักหมื่นเทพในค่ำคืนเดียวสูญเสียสามชีวิต อีกทั้งทารกน้อยถูกช่วงชิงสูญหายไปถึงสองคน ที่ช่วยเหลือเอาไว้ได้มีเพียงทารกน้อยผู้หนึ่ง นั่นคือทาริกาอ้วนท้วนสมบูรณ์ซึ่งให้กำเนิดจากศิษย์คนที่ห้าของสำนัก นางเป็นผู้ที่รวบรวมเรี่ยวแรงคว้าแย่งร่างลูกน้อยกลับมาได้จากคนชุดดำ   ก่อนหน้านั้นสำนักตำหนักหมื่นเทพเกิดเรื่องราวมากมาย สาเหตุสืบเนื่องมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา อันเป็นที่หมายตาของบรรดาชาวยุทธ์ทั้งแผ่นดิน ภายในคัมภีร์บันทึกเคล็ดวิชาล้ำเลิศ ว่ากันว่าหากผู้ใดได้ฝึกปรือเพียงท่าสองท่าสามารถท่องยุทธภพได้โดยไร้ผู้ต่อต้าน ดังนั้นมีหลายครั้งที่สำนักแห่งนี้ถูกชาวยุทธ์บุกขึ้นมาหมายขโมยคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา   มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ตัดสินใจลี้กายหายตัวจากยุทธภพจนไร้ข่าวคราว ในตอนนั้นทำให้ยุทธภพสงบอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งลวี้ยู่เฉียนหวนคืนกลับสู่ยุทธภพอีกครั้ง พร้อมกับนำพาศิษย์มาด้วยจำนวนห้าคน ครั้งนั้นลวี้ยู่เฉียนเลือกเขาหมื่นเซียนเป็นสถานที่ก่อตั้งสำนัก โดยได้รับการสนับสนุนและเห็นด้วยจากเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินซึ่งท่านเป็นสหายรักกับลวี้ยู่เฉียน มีนามว่าเกี้ยบฉิกใต้ซือฉายาหลวงจีนมรรคฟ้าคุณธรรม   หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น ผ่านไปไม่นานนักสำนักตำหนักหมื่นเทพเกิดความวุ่นวายหลายเรื่องราว ศิษย์ในสำนักต่างแบ่งแยกไม่ลงรอย ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ศิษย์คนที่สามถูกอเปหิออกจากสำนัก ศิษย์คนที่สองและศิษย์คนที่ห้าแอบร่วมมือกับฝ่ายอธรรม เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ หลังจากจัดการเรื่องราวต่าง ๆในสำนักแล้ว เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนตัดสินใจที่จะอำลายุทธภพ เพื่อจบปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆที่เกิดขึ้น   ดังนั้นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ได้ส่งเทียบเชื้อเชิญถึงบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย ให้มาพร้อมกันในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด ซึ่งตรงกับเทศกาลซารทตงชิว ในเทียบเชิญเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพใช้ชื่อว่า “งานอำลาบู๊ลิ้ม ทำลายคัมภีร์ยุทธ์” พอข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป วันนี้จึงมีบรรดาชาวยุทธ์จากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน อันเป็นที่ตั้งของสำนักตำหนักหมื่นเทพ   “อามิตพุทธ ในเมื่อประสกยู่เฉียนคิดจะกระทำเช่นนี้อาตมาก็จะส่งเสริม”   เกี้ยบฉิกไต้ซือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ยกมือข้างขวานิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน พร้อมกับคล้องพวงประคำสีดำสนิทเส้นหนึ่งอยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ปลายนิ้วยกจรดชิดติดปลายคาง เอ๋ยคำจำเริญไม่ขาดปาก   ด้านตรงกันข้ามยืนไว้ด้วยชายชราร่างสูงโปร่ง สามอาภรณ์สีดำตัดขาวชุดยาวสะบัดพลิ้วไหวต้านแรงลม แต่ทว่ายืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว ทั้งสองมีอายุล่วงเลยเข้าวัยเก้าสิบห้าปีแล้ว หากว่าเกี้ยบฉิกไต้ซือดูค่อนข้างจะชรากว่าเล็กน้อยทั้งที่อายุไม่ต่างกัน แต่ดวงตาของทั้งสองกลับเจิดจ้าดุจอินทรีจับจ้องเหยื่อ   เหนือดวงตาของทั้งคู่ประดับด้วยคิ้วยาวสีขาวนวล ยามต้องลมกลับพลิ้วสะบัดท้าทายสายลมอยู่ไปมา หนวดเคราสีขาวเหนือริมฝีปากยาวย้อยลงมาถึงหน้าอก แต่กระนั้นยังมิอาจปกปิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้แม้น้อยนิด จะต่างกันตรงที่บนศีรษะของเกี้ยบฉิกไต้ซือไม่มีเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว ส่วนประสกที่ถูกเรียกหาว่าประสกยู่เฉียน ล้วนปกคลุมด้วยเส้นผมสีขาวประดุจเส้นไหมเงินกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองเป็นปรมาจารย์แห่งยุค เกี้ยบฉิกไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน และลวี้ยู่เฉียนเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ   \"อาตมาคิดว่าผลบุญกุศลครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก ประสกยู่เฉียนคิดจะยุติเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในยุทธภพ อันเกิดมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ชาวยุทธ์ต่างแก่งแย่งช่วงชิงคัมภีร์เล่มนี้มากว่าสี่สิบปีแล้ว มิหนำซ้ำศิษย์ทั้งห้าของประสกต่างไม่เห็นแก่สำนักตน แบ่งแยกเป็นหลายฝ่ายทำร้ายกันเอง ด้านพรรคมารกลับกล้าแข็งยุทธภพลุกเป็นไฟ ฝ่ายธัมมะกลับกลายเป็นอธรรมคิดเข่นฆ่ากันเองเพียงเพื่อคัมภีร์ยุทธ์ คิดแล้วช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก\"   “ถูกต้องแล้วท่านไต้ซือ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไตร่ตรองดีแล้ว จึงจะทำลายสำนักตำหนักหมื่นเทพเสีย พร้อมกับทำลายคัมภีร์เล่มนี้ไปพร้อมกับร่างของข้าพเจ้า”   ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงชันมองไม่เห็นก้นหุบเหว เห็นแต่เพียงหมอกสีขาวปกคลุมล่องลอยอยู่ไปมา ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใดสามารถลงไปถึงก้นหุบเหวแม้แต่ผู้เดียว หากผลัดตกลงไปรับรองได้ว่าร่างต้องแหลกเหลวละเอียดเป็นผุยผง ต่อให้มีเทพยดาฟ้าดินคุ้มครอง ยังต้องขาดอากาศหายใจอยู่ดี   ลานกว้างยืนไว้ด้วยชาวยุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างทราบข่าวว่าวันนี้เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน จะฝังร่างตนเองพร้อมคัมภีร์ยุทธ์สุดยอดวิชาลงใต้ผาเทพนิรันดร์แห่งนี้ แรกทีเดียวเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนจะทำลายสำนักและสิ่งปลูกสร้างไปด้วย แต่เกี้ยบฉิกไต้ซือได้ขอร้องเอาไว้ เพื่อเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงเรื่องราว จะได้ไม่เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก   ดวงตะวันลอยตระหง่านส่องแสงเปล่งรัศมีอันแรงกล้า พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ไปตรงหน้า แต่ทว่าธรรมชาติยังสร้างความสมดุล ยังมีจันทราที่ส่องแสงนวลผ่องอำพันข่มแสงสุริยันอันร้อนแรง สองสิ่งต่างสะกดและส่งเสริมกันอย่างลงตัว   เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับล้วงคัมภีร์ออกมาจากอกเสื้อ ก้าวเท้าช้า ๆเข้าหาหน้าผาอันสูงชัน แล้วฉีกคัมภีร์ในมือออกเป็นสองส่วน  ส่งเสียงหัวร่ออย่างสบอารมณ์ ก่อนจะกระโดดทิ้งร่างลงสู่หุบเหวเบื้องล่างจบสิ้นทุกเรื่องราว   ร่างสองสายทะยานลิ่วดุจวิญญาณผีภูตพรายมาจากต่างทิศ พุ่งเข้าหาร่างของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนที่กำลังร่วงหล่นสู่ก้นหุบเหว...   วันเวลาผ่านไป สิบห้าปีผ่านพ้น ยุทธภพสงบปราศจากความวุ่นวาย มารอธรรมลี้กายหายหน้าไม่ปรากฏ สร้างความผาสุกสันติให้กับยุทธภพอันวุ่นวายสับสนมาช้านาน เปรียบดั่งสายน้ำไหลไม่อาจย้อนคืน เกรงแต่เพียงจะมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้นมาสร้างความวุ่นวายอีกครั้งเท่านั้นเอง ดินแดนจงหยวนนครหลวงลั่วหยาง ปีนี้อากาศหนาวเย็นกว่าทุก ๆปีที่ผ่านมา สายลมแห่งฤดูเหมันต์ พัดโชยเอื้อยอิ่งพากิ่งหลิวโอนเอนลู่สายลมอยู่ไปมา บางกิ่งทิ้งปลายยอดทอดใบย้อยระเรี่ยพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนดุจปุยนุ่นบางเบา บางกิ่งก้านโอบอุ้มอิ่มเอมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสดใสวาววับสะอาดตา   ห่างออกไปเหมยฮัวสีเหลืองสดกำลังผลิดอกแบ่งบานสะพรั่งต้อนรับสายลมอันหนาวเหน็บ เสียงสายลมพัดดังหวีดหวิวเป็นระยะไม่ขาดหาย ฟังคล้ายห้วงทำนองของเครื่องดนตรีหลายสิบชิ้นที่กำลังบรรเลงเพลงขับกล่อมชวนเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง โดยมีนักร่ายรำโยกไหวกิ่งก้านใบไปตามท่วงทำนอง กลิ่นอายของดอกเหมยฮัวผสมผสานกับสายลมอันเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง   ดวงตะวันค่อย ๆลาลับขอบฟ้าสีทองอ่อนจางทางทิศปัจฉิม(ตะวันตก) แสงสุดท้ายแห่งทิวาค่อย ๆลาจากคืบคลานห่างออกไปแล้วหายวับไปกับเส้นขอบฟ้า ไม่นานนักทิวเขาที่อยู่ถัดไป เหนือยอดไม้ทะมึนทางบูรพาทิศ(ตะวันออก) จันทราครึ่งเสี้ยวค่อย ๆเผยแสงสลัวรำไรแห่งราตรีกาลคืนแรม บนนภาสกาวสุกใสประดับดวงไฟระยิบระยับวับแวมแห่งดวงดารากลาดเกลื่อนอยู่ถ้วนทั่ว   ภายใต้แสงจันทร์คืนแรมมองออกไป แลเห็นเหล่าวิหคสกุณาหากินกลางคืนบินโฉบถลาหาเหยื่ออยู่ไปมา บ้างส่งเสียงร้องก้องระงมดังเซ็งแซ่ ไกลออกไปเสียงสุนัขป่าส่งเสียงเห่าหอนเรียกหากัน ฟังแล้วชวนวังเวงขึ้นมาจับใจ   สายลมเย็นยะเยียบพัดมาหอบหนึ่ง รู้สึกหนาวเหน็บจนแทบเสียดเข้าไปในเลือดเนื้อกระดูก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างดับไฟตะเกียงเข้านอนหลับใหลกันหมดแล้ว บางครั้งมีเสียงหายใจคราดครืดของสัตว์เลี้ยงในคอกของชาวบ้านดังมาทำลายบรรยากาศความเงียบสงัดยามค่ำคืน   ริมต้นไม้ใหญ่ภายใต้แสงจันทร์รำไรกลับมีอาคันตุกะ สวมอาภรณ์สีดำรัดกุมคลุมหน้าผู้หนึ่ง สะพายกระบี่ยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว หาได้ใส่ใจบรรยากาศรอบข้างและสรรพสิ่งรอบกาย หรือเกรงกลัวต่อความหนาวเหน็บไม่ ลักษณะท่าทางเหมือนกำลังรอคอยผู้คน ดูองคาพยพแข็งแรงกำยำร่างสูงราวเจ็ดเชี๊ยะไม่สามารถคาดเดาอายุอานามได้ แสงจันทร์สลัวสาดแสงส่องกระทบด้ามกระบี่สีเงินยวงวาววับเป็นประกาย แต่ที่สามารถคาดเดาได้อาจมิใช่คนดีอะไรนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่มายืนทำลับ ๆล่อ ๆยามค่ำคืน   หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่าเย้ยอรุณ ตั้งอยู่บนที่ราบกลางหุบเขาสลับซับซ้อนห่างไกลผู้คน ด้วยแถบนี้มีภูเขาเรียงรายติดกันอยู่หลายลูก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ประกอบไปด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวนเจ็ดสิบสองยอด กลุ่มเขาเส้าซื่อมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามสิบหกยอด อีกสามสิบหกยอดคือกลุ่มเขาไท่ซื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ตั้งอยู่ในอำเภอเติงเฟิงเมืองเจิ้งโจวมณฑลเหอหนาน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง บนยอดเขาสูงลูกหนึ่งในจำนวนหลายลูก เป็นที่ตั้งของวัดเสี้ยวลิ่มยี่(วัดป่าบนเขาเส้าซื่อ) หรือเรียกว่าวัดเส้าหลินนั่นเอง และยังมีอีกหลายสำนักยังมิได้กล่าวถึง ล้วนมีความเป็นมาอันใหญ่หลวง   เมื่อหลายวันก่อนมีคนถูกฆ่าตายในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ติดต่อกันหลายคน จนทำให้ชาวบ้านร้านถิ่นไม่กล้าออกไปไหนมาไหนในเวลาค่ำคืน พอมืดค่ำต่างรีบร้อนเร่งนำสัตว์เลี้ยงเก็บเข้าคอก รับประทานข้าวเย็นแล้วปิดประตูหน้าต่างเข้านอนกันแต่หัวค่ำ สองวันมานี้ยังมีคนแปลกหน้าแต่งกายต่างกันสามกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านอีกด้วย   กลุ่มแรกประกอบไปด้วยบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยชุดรัดกุมสะพายห่อผ้าพกพาอาวุธ มีด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน เข้าอาศัยในบ้านร้างหลังหนึ่งทางทิศอุดร(เหนือ)ของหมู่บ้าน กลุ่มที่สองเป็นสองบุรุษกับอีกหนึ่งสตรีพกพาอาวุธเฉกเช่นเดียวกัน กลุ่มนี้พักอยู่ที่ศาลเจ้าทางทิศทักษิณ(ใต้)ของหมู่บ้าน กลุ่มที่เข้ามาหลังสุดมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นสามคน เป็นบุรุษหนึ่งและสตรีอีกสองนาง พักอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน   ทั้งสามกลุ่มหลังจากเข้ามาในหมู่บ้าน ต่างเก็บตัวซ่อนกายไม่เป็นที่เปิดเผยต่อผู้คน คล้ายกำลังติดตามผู้คนหรือสืบสาวเรื่องราวใดอยู่กระนั้น ทั้งหมดกอปรด้วยสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ อันได้แก่พรรคไผ่หลิวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองลั่วหยาง สำนักหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งทางทิศตะวันตก และสำนักเมฆฟ้าพิรุณตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก   หมู่บ้านเย้ยอรุณเงียบสงบไร้เรื่องราวมาหลายชั่วอายุคน ชาวบ้านต่างอาศัยอยู่ด้วยความสงบเนื่องด้วยอยู่ห่างไกลผู้คน อาจเรียกว่าไม่เคยข้องแวะกับเรื่องราวของยุทธภพเลยนับว่าได้   เมื่อครึ่งเดือนก่อนมีบุรุษหนุ่มเยาว์วัยลึกลับปรากฏตัวขึ้น และมีชาวยุทธ์ถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ใกล้กับนครหลวงลั่วหยาง หมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นที่พำนักของขันทีหลิวซุ่นกงกงมหาเสนาบดีแห่งราชสำนัก ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าล้วนชุมนุมไปด้วยมือดีมากมายจากทั่วสารทิศ ทั้งจากที่เชื้อเชิญมาจากมณฑลต่างๆ จากนอกด่านและจากถู่ฟาน(ทิเบต)   หลิวซุ่นกงกงฝึกวิชาเก้ากระเรียนเบิกฟ้า ร่ำลือกันว่าร้ายกาจดุดัน ยามลงมือคล้ายดั่งฝูงนกกระเรียนกางปีกฉีกเล็บละลานครอบคลุมเต็มท้องฟ้า ยากหลุดรอดจากการลงมือจู่โจม แม้ว่าฝึกยังไม่บรรลุถึงขั้นที่เก้า แต่ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดรู้แน่ถึงพลังฝีมืออันแท้จริง นั่นเป็นเพียงคำร่ำลือ   ครั้งนั้นหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้ส่งเทียบเชื้อเชิญเจ้าสำนักต่าง ๆ และบรรดาชาวยุทธ์ มาร่วมงานอวยพรท่านหลิวกงกงที่มีอายุครบรอบหกสิบปี ในวันนั้นมีชาวยุทธ์มากมายเข้าร่วมอวยพรให้กับเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า   ที่พอจำได้ก็มีหลวงจีนต้าทงใต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน ท่านนำศิษย์ในสำนักมาร่วมอวยพร มู่ชิวป้าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวเดินทางมาพร้อมกับมือดีร่วมสิบคน เฉิงปู้กงหัวหน้าพรรคไผ่หลิวนำศิษย์และคนในพรรคมาร่วมอวยพรเป็นจำนวนมาก ยังมีเหิงปี้ไป่เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณนำพาศิษย์มาอวยพรคับคั่ง นอกจากนั้นมีชาวยุทธ์อีกหลายสำนักต่างหลั่งไหลมาอวยพรท่านหลิวกงกงให้มีอายุมั่นขวัญยืนกันอย่างเนืองแน่น   แต่แล้วปรากฏบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ไม่ได้เทียบเชิญปรากฏกายขึ้น โดยมิมีผู้ใดกระจ่างแจ้งว่าเป็นคนของสำนักใด และในคืนนั้นเองในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามีคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมรวมทั้งสิ้นถึงเจ็ดคนด้วยกัน เป็นคนของสี่สำนักใหญ่สี่คน และคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าสามคน แต่ละคนที่ถูกฆ่าตายล้วนเป็นมือดี ในสามสิบกระบวนท่ายากทำร้ายได้ แต่ถูกสังหารตายอนาถภายใต้ฝ่ามือเดียว   สภาพศพไร้ร่องรอยบาดแผล แต่อวัยวะภายในแหลกเหลว คาดว่าผู้ลงมือต้องมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมเป็นที่น่าตระหนก หลิวกงกงและมือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า รวมทั้งเจ้าสำนักต่างๆ พร้อมทั้งบรรดาชาวยุทธ์ที่มาร่วมงานต่างออกค้นหาคนร้ายแต่ไร้ร่องรอยหลักฐาน ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ บุคคลที่หายไปคือบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ลึกลับ ทุกฝ่ายจึงลงความเห็นว่าบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้นั้น มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากับสี่สำนักใหญ่อย่างแน่นอน   การฆ่าคนถือว่าเป็นความผิดอุกฤษฏ์ยากให้อภัย กฎของชาวยุทธ์มีไว้ว่าท่านฆ่าหนึ่งชีวิตต้องชดใช้หนึ่งชีวิต ดังนั้นหลิวกงกงและเจ้าสำนักต่าง ๆ จึงร่วมมือกันติดตามเสาะหาตัวคนร้าย โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผู้นั้นคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเวลานี้   หลังจากนั้นมีคนพบร่องรอยของบุรุษหนุ่มผู้นั้นแถบหมู่บ้านเย้ยอรุณแล้วหายไป จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันมานี้เกิดมีคนตายในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นคนของสำนักใด ลักษณะเฉกเช่นเดียวกันคือไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่อวัยวะภายในแหลกละเอียด ดังนั้นหลิวกงกงจึงให้คนส่งข่าวถึงสำนักน้อยใหญ่ เพื่อร่วมมือกันจับตัวคนร้าย คืนนี้สามสำนักใหญ่จึงแยกย้ายกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆในหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ แต่หลายคืนมาแล้วยังไม่ปรากฏบุคคลที่น่าสงสัย   บรรยากาศยิ่งมายิ่งวังเวง เสียงสุนัขป่ายังคงเห่าหอนมิขาดหาย นกแสกตัวหนึ่งส่งเสียงร้องแสบแก้วหูแล้วบินโฉบเฉี่ยวผ่านไป ยามสามแล้ว(ประมาณเที่ยงคืน)ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะยานดุจเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง มุ่งมายังตำแหน่งที่ชายชุดดำยืนอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ ดูจากลักษณะท่าร่างที่สาดมาคิดว่าวิชาตัวเบามิใช่ชั่ว เมื่อบรรลุถึงห่างไม่ถึงสี่ก้าวสะกิดปลายเท้าคราหนึ่งพลิ้วร่างลงตรงหน้าชายชุดดำด้วยท่วงท่าสง่าสวยงาม   “ไม่เจอกันครึ่งปี คิดไม่ถึงวิชาตัวเบาและกำลังภายในของเจ้าจะรุดหน้าไปมากมายถึงเพียงนี้ คาดว่าผู้ที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าคงสำเร็จไปอีกขั้นแล้วเช่นกันซินะ?”   ชายชุดดำคลุมหน้าแต่งกายรัดกุม กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักกังวาน แฝงพลังลึกลับประเภทหนึ่ง ประกายตาที่ลอดผ่านช่องผ้าคลุมหน้าออกมาเจิดจ้าบ่งบอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อพิศดูใกล้ ๆกลางหลังสะพายกระบี่ยาวประมาณสองเชี๊ยะสิบนิ้ว ด้ามกระบี่สีเงินวาววับส่องประกายในยามค่ำคืน   “ขอบคุณอาวุโส กล่าวชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว ผู้ที่อาวุโสกล่าวถึงท่านสบายดี มิผิดท่านสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง พร้อมกับเคี่ยวกรำข้าพเจ้าให้ฝึกปรืออย่างหนักหน่วง ช่วงนี้ท่านมีงานสำคัญรัดตัว เลยให้ข้าพเจ้ามาพบกับอาวุโสแทน ท่านฝากคำพูดมาแต่เพียงว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนการ อาวุโสท่านสบายดีหรือไม่?”   บุคคลผู้ที่มาอยู่ในชุดรัดกุมสีดำปกปิดใบหน้าอำพรางเช่นเดียวกัน กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ฟังคล้ายเป็นเสียงของอิสตรี แต่บุคลิกภาพคล่องแคล่วห้าวหาญเยี่ยงบุรุษ   “เจ้าลงเขามาพบข้ามีสิ
已经是最新一章了
加载中