ตอนที่ 2 เจ้าโอสถสายรุ้ง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 2 เจ้าโอสถสายรุ้ง
นครหลวงลั่วหยางมณฑลเหอหนาน ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งด้านทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโหติดกับแม่น้ำลั่วสุ่ย ทิศเหนือพิงภูเขาหมางซาน ทิศตะวันออกใกล้กับเมืองหู่เหลา ทิศตะวันตกเป็นด่านหันหู่กวน รอบด้านเป็นภูเขาโอบล้อม มณฑลเหอหนานทิศเหนือติดกับมณฑลซานซีและเหอเป่ย ทิศใต้ติดกับมณฑลหูเป่ย ทิศตะวันออกติดกับมณฑลซานตงและอันฮุย ทิศตะวันตกติดกับมณฑลส่านซี ตรอกแคบทางทิศตะวันออกของนครหลวงลั่วหยาง เวลานี้เป็นยามซิง(ประมาณสิบหกนาฬิกา) ผู้คนพลุกพล่านเนื่องด้วยมีร้านรวงเปิดกิจการร้านค้า ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ บ้างเปิดร้านขายภาพเขียนตัวหนังสือต่าง ๆบ้างขายผ้าแพรพรรณหลากหลายสีสัน รวมถึงโคมไฟหลากหลายชนิด อีกทั้งร้านขายยาสมุนไพรเปิดอยู่เรียงรายหลายร้านด้วยกันมองดูคึกคักอักโข ก่อนหน้านั้นเมื่อหลายปีก่อนแถบนี้เกือบกลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์ ต่างถูกทางการเกณฑ์ไปเป็นทหาร บ้างถูกบังคับไปใช้แรงงาน ส่วนชาวบ้านที่เป็นหญิงที่มีร่างกายแข็งแรงก็ถูกนำไปใช้แรงงานไม่ต่างกัน หากเป็นชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอและคนชรารวมถึงเด็กต่างถูกทอดทิ้งให้อยู่กับบ้านเรือน คนชรากับเด็กและชาวบ้านที่เป็นหญิงอ่อนแอต้องอยู่กันอย่างขวัญผวา ด้วยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ออกปล้นชิงวิ่งราวฉุดคร่าหญิงชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็ถูกปล้นชิงไป ทางการไม่มีเวลามาดูแลปราบปราบเพราะต้องไปทำสงครามสู้รบ ชาวบ้านที่ทนไม่ไหวต่างอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองอื่น ภายหลังการรวมแผ่นดินของราชวงศ์สุย สภาพบ้านเมืองโดยรวมได้รับการฟื้นฟูจากภาวะสงคราม มีการเติบโตด้านการผลิตและการค้าขาย เกิดความสงบสุขอยู่ระยะหนึ่ง สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ขณะนั้นได้ดำเนินการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ โดยยุบรวมเขตปกครองในท้องถิ่น ลดขนาดองค์กรบริหารรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฮ่องเต้กุมอำนาจเด็ดขาดทั้งทางทหารและการปกครอง โดยมีขุนนางเป็นเพียงผู้ช่วยในการบริหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแก่งแย่งอำนาจและเป็นการลิดรอนอำนาจนั่นเอง สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงนับถือพระพุทธศาสนา โปรดการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายประหยัด ตลอดรัชสมัยมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ขณะที่รัชทายาทหยางหย่งกลับเลี้ยงดูสนมนางระบำไว้มากมาย สุยเหวินตี้จึงทรงปลดรัชทายาทหยางย่ง แต่งตั้งราชโอรสองค์รองหยางกว่างขึ้นแทน ต่อมาหยางกว่างร่วมมือกับอวี้เหวินซู่และหยางซู่ วางแผนแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์กะทันหัน หยางกว่างสืบราชบัลลังก์ต่อมา มีพระนามว่าสุยหยางตี้ฮ่องเต้ สุยหยางตี้ฮ่องเต้ เมื่อขึ้นครองราชย์กลับลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกณฑ์แรงงานชาวบ้านนับล้านสร้างนครหลวงตะวันออกแห่งใหม่ที่ลั่วหยาง และอุทยานตะวันตกที่มีอาณาบริเวณกว่าสามร้อยลี้ ซ่อมและสร้างกำแพงหมื่นลี้ นอกจากนี้ยังขุดคลองต้าอวิ้นเหอ เพื่อการท่องเที่ยวแดนเจียงหนัน(กังหนำ) และเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือและใต้ เชื่อมบรรจบแม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกัน ทำให้ลั่วหยางกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ชาวบ้านอดอยากได้ยาก มีชาวบ้านที่หลบหนีการเกณฑ์ทหารและแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆบ้างกลายเป็นคนจรหมอนหมิ่นไร้ที่อยู่อาศัย แต่เมื่อวันเวลาล่วงผ่านเลยไป ปรากฏว่าคลองต้าอวิ้นเหอที่ขุดเชื่อมต่อดินแดนตอนเหนือและใต้ เชื่อมบรรจบแม่น้ำห้าสายเข้าด้วยกันนั้น กลับทำให้เมืองลั่วหยางกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม มีสินค้าจากทั่วสารทิศบรรทุกมากับเรือสินค้าเดินทางมายังลั่วหยาง ทำให้ทั้งเมืองคึกคักไปด้วยพ่อค้าวาณิชย์ และชาวบ้านนำสินค้ามาวางขายและเปิดร้านรวงกันอยู่เนืองแน่น ดังนั้นแม้แต่ตรอกแคบเล็ก ๆแห่งนี้ยังคึกคักไปด้วยพ่อค้าวาณิชย์ ต่างกอบโกยกำไรจากการค้าขาย บ้างเปิดโรงเตี้ยม ในตรอกแห่งนี้มีโรงเตี้ยมอยู่หลายแห่งด้วยกัน ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดน่าจะเป็นโรงเตี้ยมชื่อต้าเหอชุน เจ้าของเดิมขายกิจการให้กับอดีตหัวหน้าคุ้มกันภัยที่นอกด่าน ก่อนอพยพหนีสงครามไปอยู่เมืองอื่น โรงเตี้ยมแห่งนี้จึงได้ปรับปรุงมีอยู่ด้วยกันสองชั้น ด้านล่างตั้งเป็นโต๊ะไม้และม้านั่งสำหรับนั่งรับประทานอาหาร มีอยู่ด้วยกันราวยี่สิบโต๊ะ ชั้นสองยังมีโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับแขกคนพิเศษอีกห้าโต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้หกคน นอกนั้นจัดเป็นห้องพักสิบกว่าห้อง ในแต่ละวันมีแขกเหรื่อเข้าใช้บริการคับคั่ง ยามนี้ความมืดของราตรีกาลเริ่มปกคลุม แขกเหรื่อที่มารับประทานอาหารต่างทยอยออกจากร้าน จะเหลือเพียงแขกที่เข้าจองห้องพักเท่านั้น หน้าโรงเตี้ยมจุดโคมไฟสว่างไสวเรืองรอง มองไปมุมหนึ่งของสถานที่ ซึ่งสร้างเป็นระเบียงยื่นออกไปยังสระน้ำ ยังคงนั่งอยู่ด้วยชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงประมาณหกถึงเจ็ดเชี๊ยะ คนผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาเข้ม บนศีรษะสวมทับด้วยหมวกเล่ยปีกกว้าง โดยรอบของขอบหมวกปล่อยผ้าแพรเบาบางสีดำปิดห้อยลงมาจนถึงเหนือริมฝีปาก เผยให้เห็นเพียงหนวดเครายาวและรีมฝีปากค่อนข้างหนาเท่านั้น แม้ว่าอาหารบนโต๊ะจะหมดทุกจานแล้ว แต่ดูเหมือนชายคนดังกล่าวยังคงนั่งนิ่งสงบ เหมือนกำลังรอคอยผู้คนอยู่ สายลมยามค่ำคืนผนวกกับสายน้ำในสระ ทำให้บรรยากาศยามนี้ดูเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก ทันใดนั้นเสียงวัตถุชนิดหนึ่งแหวกพุ่งฝ่าอากาศมายังทิศทางที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน เสียงวัตถุนั้นแม้กระทบโสตชายคนดังกล่าวหาสนใจไม่ ยังคงนั่งนิ่งสงบ พอวัตถุนั้นพุ่งเข้ามาใกล้ห่างไม่ถึงหนึ่งคืบ ค่อยสะบัดฝ่ามือขวับใช้สองนิ้วคีบจับวัตถุนั้นไว้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว พร้อมกันนั้นไกลออกไปเพียงไม่กี่วา แลเห็นเงาหลังสองร่างพุ่งกายหายเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง ชายคนที่นั่งอยู่รีบล้วงเงินในอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเร่งฝีเท้าติดตามไปอย่างรวดเร็ว ดูจากฝีเท้าแผ่วเบาไร้น้ำหนัก นับว่าเป็นยอดคนผู้หนึ่งในบู๊ลิ้ม เมื่อออกจากตรอกขวางทะลุสู่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งมุ่งไปยังนอกเมือง เงาร่างสองสายปรากฏแล้วก็หายไปในความมืดสลัว ที่แท้วัตถุนั้นคือแผ่นกระดาษเล็ก ๆเขียนด้วยหมึกสีดำว่า เนินเสือดาว ห่อหุ้มใส่ก้อนหินซัดขว้างอย่างแม่นยำ ความแรงและความเร็วในการซัดขว้างแฝงกำลังภายในถึงสี่ส่วน หากเป็นคนทั่วไปมิได้ฝึกยุทธ์ หรือพลังฝีมือไม่สูงส่งพอ อาจถูกพลังลมปราณที่บรรจุแฝงมา กระแทกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสแล้ว เนินเสือดาวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกราวสิบลี้ ชายคนดังกล่าวทุ่มเทท่าร่างวิ่งตะบึง พริบตาเดียวไล่เงาร่างสองสายทันก่อนถึงเนินเสือดาวไม่มากนัก เมื่อติดตามถึงถาโถมเข้าหาคนทั้งสองพร้อมแยกย้ายฝ่ามือซ้ายขวา แผ่พุ่งพลังจู่โจมเข้าหาคนทั้งสองด้วยความเร็วปานสายฟ้า ที่แท้คนทั้งสองคือเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั่นเอง ค่ำคืนนี้ทั้งสองอยู่ในชุดอำพรางสีดำรัดกุมคลุมหน้ามิดชิดเช่นกัน เสียงเพี้ยะผะฝ่ามือซ้ายปะทะกับฝ่ามือขวาของเฟิ่นไป่ชิ่ง ส่วนมือขวาปะทะกับมือขวาของเฟิ่นมู่เหอ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นถอยร่นไปสองก้าวก่อนตั้งหลัก แล้วทะยานเข้าหาชายคนดังกล่าวอีกครั้ง ชายผู้นั้นย่อตัวลงเล็กน้อยพลางหมุนร่างคว้างเป็นรูปครึ่งวงกลม เท้าซ้ายเกี่ยววูบเข้าหาข้อพับของเฟิ่นมู่เหอ อีกทั้งสะบัดฝ่ามือต้านรับท่าจู่โจมจากด้านข้างของเฟิ่นไป่ชิง เฟิ่นมู่เหอสะกิดปลายเท้าพลิกร่างหงายไปด้านหลัง รอดพ้นจากท่าเตะของชายคนดังกล่าว แต่กระนั้นยังรับรู้ถึงสภาวะที่เกรี้ยวกราดของพลังที่ม้วนทะลักแผ่พุ่งมา เมื่อชายคลุมหน้ารับท่าจู่โจมจากเฟิ่นไป่ชิงแล้ว รีบพุ่งตัวตามติดต่อยหมัดขวาใส่ด้านข้างของเฟิ่นมู่เหอ ช่วงจังหวะนั้นเฟิ่นไป่ชิงหมุนตัวหนึ่งรอบพร้อมกับเตะใส่หัวไหล่ด้านซ้ายของชายผู้นั้นอย่างเร่งร้อน ชายคลุมหน้ามิลนลาน ย่อตัวลงพร้อมกับหมัดขวาพุ่งออกต่อยโดนสีข้างของเฟิ่นมู่เหอไม่รุนแรงนัก ชายคนดังกล่าวเมื่อหมัดสัมผัสร่างเฟิ่นมู่เหอ เขารับรู้ถึงพลังที่กล้าแข็งยืดหยุ่นที่ต้านรับหมัดของตน ทางด้านเฟิ่นไป่ชิงเมื่อเตะพลาดรีบสะกิดเท้าตีลังกากลางอากาศ ร่างลอยอยู่เหนือศีรษะของชายคลุมหน้า แล้วพุ่งสองฝ่ามือลงมายังกลางกระหม่อมของชายผู้นั้น ด้วยท่วงท่าสวยงามหมดจดไร้ที่ติ ชายคนดังกล่าวเพียงยกฝ่ามือข้างเดียวขึ้นต้านรับสองฝ่ามือของเฟิ่นไป่ชิง เขาใช้พลังเพียงสามส่วนในการต้านรับกับสองฝ่ามือ พอฝ่ามือของทั้งสองปะทะกระแสพลังม้วนทะลักแตกกระจายออกด้านข้าง เฟิ่นไป่ชิงเมื่อปะทะฝ่ามือกับชายคลุมหน้าแล้ว ตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบ ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างหมดจดสดใส นางเมื่อลงมือไม่ประสบผลสำเร็จเป็นครั้งที่สาม จึงย่อกายลงพร้อมกับประสานมือทั้งสอง แล้วกล่าววาจาต่อชายคนดังกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิง คารวะอาวุโส” ทางด้านเฟิ่นมู่เหอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะเขาได้ใช้พลังคุ้มครองกายสลายพลังที่ชายคลุมหน้าต่อยหมัดโดนสีข้างด้านซ้าย ผนวกกับหมัดที่ต่อยมาไม่รุนแรงนัก เฟิ่นมู่เหอก้าวเท้ามาหยุดยืนเคียงข้างเฟิ่นไป่ชิง พร้อมกับโน้มตัวยกสองมือประสานต่อหน้าชายคลุมหน้า แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเฟิ่นมู่เหอคารวะอาวุโส ส่วนนางเป็นม่วยม่วยของข้าพเจ้า” \"วิเศษ วิเศษ เจ้าเฒ่าแม้ชรากลับอบรมสั่งสอนศิษย์ได้ดี ไม่นึกเลยว่าเจ้าทั้งสองจะรับมือขเราได้หลายกระบวนท่า ไม่เลวไม่เลว ฮา ๆ\" ชายคลุมหน้ากล่าววาจาพลางถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ดูจากใบหน้ามีร่องรอยเหี่ยวย่นของวัยประมาณเจ็ดสิบปี คิ้วขาวประปรายดวงตาดุจอีนทรี ไว้หนวดยาวเลยมุมปากทั้งสอง ทิ้งลงมารวมกับเคราไม่บางไม่หนาตรงปลายคาง เส้นผมบนศีรษะมีสีขาวแซมสลับดำถูกผูกมัดเป็นเกล้าด้วยเศษผ้าสีเข้มรวบไว้กลางศีรษะปล่อยปลายผมยาวเลยไหล่อันกว้างผึ่งผาย ไหล่ทั้งสองยกเชิดขึ้นเล็กน้อย “เราเฮียม่วยได้รับคำสั่งท่านเจ้าผาให้เสาะหาอาวุโส แต่วันก่อนเกิดเรื่องเสียก่อนด้วยมีคนชุดดำสองคน ติดตามเราเฮียม่วยไปยังชายป่าที่หมู่บ้านกลางหุบเขา ข้าพเจ้าจึงทิ้งเครื่องหมายนัดท่านที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุน ต้องขออภัยอาวุโสที่ทำให้ท่านต้องล่าช้าเสียเวลา” เฟิ่นมู่เหออธิบายถึงสาเหตุที่เกิดความผิดพลาด พร้อมกับเล่าให้ฟังว่าได้ประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง วิชากล้าแข็งลึกล้ำ และไม่ลืมเล่าถึงเหตุการณ์ที่มีคนชุดดำสองคน ติดตามเขากับน้องสาวที่หมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขาเมื่อวันก่อน “อาวุโสสบายดี? ต้องลำบากท่านมากหลายแล้ว” เฟิ่นไป่ชิงกล่าวถามขึ้นบ้าง “อย่าได้เรียกหาเราว่าอาวุโสเช่นนั้นอาวุโสเช่นนี้เลย เรียกเราว่าเจ้าโอสถสายรุ้งจะดีกว่าเรายังไม่อยากชราถึงปานนั้น เราสบายดีมิลำบากแม้แต่น้อยเจ้าทั้งสองอย่ากล่าววาจาเกรงอกเกรงใจจนเกินไป ว่าแต่เจ้าเฒ่าชราสบายดีหรือไม่?” ชายคนที่เรียกตนเองว่าเจ้าโอสถสายรุ้ง กล่าวตอบคำถามของเฟิ่นไป่ชิง พร้อมกับถามถึงเจ้าผาของทั้งสองที่ไม่ได้พบกันมาราวสิบกว่าปี ท่านเจ้าผาของทั้งสองหลังจากหันหลังให้กับยุทธภพ ไม่เคยลงจากเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นท่านจึงไม่เคยพบหน้าสหายคนใดเลยตลอดสิบกว่าปีที่เก็บตัว หากมีอะไรต้องกระทำท่านจะมอบหมายให้เฟิ่นมู่เหอ เป็นผู้ลงจากผามาทำธุระให้กับท่าน ดั่งเช่นครั้งนี้เพียงแต่ท่านได้อนุญาตให้เฟิ่นไป่ชิงติดตามเฟิ่นมู่เหอมาด้วย “ท่านเจ้าผาสบายดีที่ผ่านมาท่านมัวแต่เก็บตัวฝึกวิชา ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของยุทธภพ ยิ่งสถานที่ที่ท่านพำนักอยู่อากาศดียิ่ง อีกทั้งยังสงบและเพลิดเพลินด้วยธรรมชาติ ทั้งให้ความสดชื่นปลอดโปร่งโล่งสบาย ทำให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงยิ่ง ทางด้านพลังฝีมือยังรุดหน้าอีกหลายขั้น” “เช่นนั้นเราก็หมดห่วง นึกไม่ถึงผ่านไปไม่เท่าไหร่ล่วงเลยมาถึงสิบห้าปีแล้ว” เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวพลางสำรวจใบหน้าของเฟิ่นไป่ชิง ซึ่งตอนนี้นางและพี่ชายของนาง ได้ดึงผ้าคลุมหน้าออกจึงเผยให้เห็นใบหน้าของทั้งสองในระยะใกล้ ๆคืนนี้นางแต่งกายเยี่ยงบุรุษ แต่กระนั้นยังดูออกว่าเป็นอิสสตรีที่สะคราญโฉมนางหนึ่ง ด้วยรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร รูปโฉมโนมพรรณที่งดงามปานเทพธิดามาจุติ วงพักตร์รีดั่งไข่หงส์ที่ประดับไปด้วยคิ้วเรียวโก่งประหนึ่งคันศร ดวงตาดับขลับประดุจนิล ปากนิดจมูกหน่อยแต่แฝงความดื้อรั้นอยู่ในที “เราเส้าเยี๊ยะเทียนฉายาเจ้าโอสถสายรุ้ง หลายปีมานี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพเช่นกัน ได้แต่หาสมุนไพรปรุงยามีเวลาว่างมักเขียนตำรับตำรายาสมุนไพรต่าง ๆบ้างบัญญัติวิชาฝ่ามือขึ้นมาใหม่หลายชุด หลายปีมานี้อยู่ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก หากมีเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงเจ้ามาเป็นบุตรีน่าจะดีไม่น้อย” เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวด้วยความเอ็นดู จนเฟิ่นไป่ชิงรีบปฏิเสธด้วยความเอียงอายขวยเขิน ยิ่งขับเสริมความงดงามของดรุณีแรกรุ่นออกมา “ท่านเจ้าโอสถชมข้าพเจ้ามากไปแล้ว พี่ชายชอบหาว่าข้าพเจ้าซุกซน ไม่มีความเป็นอิสสตรี ขืนท่านมีบุตรีเยี่ยงข้าพเจ้า คงอกแตกตายก่อนวัยชราเป็นแน่” เจ้าโอสถสายรุ้งยิ้มพลางล้วงเข้าในอกเสื้อ หยิบฉวยขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กสีขาว ปากขวดเคลือบปิดด้วยจุกผ้าสีแดงสดออกมา ยื่นส่งให้เฟิ่นไป่ชิงพร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่เราเพิ่งคิดค้นได้ ในใต้หล้ามีเพียงสิบเม็ด ภายในขวดนี้บรรจุตัวยาหกเม็ดด้วยกัน ประกอบด้วยเม็ดยาสีแดงจำนวนสามเม็ด และเม็ดยาสีดำจำนวนสามเม็ด เราขอมอบให้กับเจ้าเป็นของขวัญแรกพบเจอกัน อันเนื่องจากเราเองรู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก” เฟิ่นไป่ชิงยื่นมือรับขวดยามาพิศดูพลางถามเจ้าโอสถสายรุ้งว่า “ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ชื่อน่ากลัวขนาดนั้น มันเป็นยาพิษชนิดใดกัน? ท่านเจ้าโอสถ” เจ้าโอสถสายรุ้งเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอีกมือยกขึ้นลูบเครายาว พลางอธิบายว่า “มันเป็นยาที่เราปรุงจากพิษสิบแปดชนิดต่างกัน ซึ่งพิษแต่ละชนิดต้านพิษด้วยกันเอง ตัวยาเม็ดสีแดงเรียกว่าเก้าพิษโหยหวน เม็ดยาสีดำเรียกว่าเก้าพิษดับโลกันตร์ หากใช้ผิดวิธีต่างเป็นยาพิษที่เขย่าขวัญสั่นวิญญาณเลยทีเดียว ถ้ารับประทานเม็ดยาสีหนึ่งสีใดลำพังเพียงเม็ดเดียว มันจะเป็นยาพิษที่จะคร่าวิญญาณให้โหยหวนลงโลกันตร์เพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่หากรับประทานพร้อมกันสองเม็ดต่างสีจะเป็นยารักษาพิษสารพัดชนิด” เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวถึงตรงนี้ เฟิ่นมู่เหอจึงกล่าวถามขึ้นบ้างว่า “ในเมื่อตัวยาปรุงมาจากพิษสิบแปดชนิด ไฉนจึงเรียกว่ายาเก้าพิษกร่อนวิญญาณละ? ท่านเจ้าโอสถ” เจ้าโอสถสายรุ้งลูบหนวดเคราอยู่ไปมา แล้วกล่าวตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “ถูกต้องตัวยาปรุงจากพิษสิบแปดชนิด แต่พิษแต่ละชนิดข่มพิษด้วยกันเอง ดังนั้นหากรับประทานตัวยาเม็ดสีหนึ่งสีใดลำพัง มันจึงเป็นพิษเพียงเก้าชนิดที่รุนแรง วิธีแก้จะต้องรับประทานตัวยาเม็ดสีต่างกันเท่านั้นจึงจะรักษาได้ ในใต้หล้าไม่มีตัวยาใดที่จะแก้พิษของเราได้อีกแล้ว” “ถ้าเป็นเช่นนั้นหากรับประทานพร้อมกันสองเม็ดต่างกัน มันก็ไม่มีพิษสงอันใดหลงเหลืออยู่เลยถูกต้องหรือไม่? ท่านเจ้าโอสถ” เฟิ่นไป่ชิงกล่าวถามขึ้นทันที เจ้าโอสถสายรุ้งพยักหน้า พร้อมกล่าวว่า “ถูกต้องเจ้าเข้าใจมิผิด หากรับประทานเม็ดยาต่างสีสองเม็ดพร้อมกัน ด้วยพิษสิบแปดชนิดจะข่มพิษด้วยกันเองจนหมดสิ้น หากผู้ใดต้องพิษไม่ว่าจะรุนแรงร้ายกาจสักเพียงใดจะขจัดสิ้นไม่เหลือซาก พร้อมกันนั้นหากนำตัวยาสองชนิดไปบดผสม หรือรับประทานพร้อมกับดีงูมรกตเก้าหัว จะทำให้เพิ่มพลังวัตรได้เท่ากับคนฝึกยุทธ์สามสิบปีเลยทีเดียว” “ดีงูมรกตเก้าหัวมันคือสิ่งวิเศษชนิดใดกัน? มันมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ? ท่านเจ้าโอสถ เกิดมาข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก” เฟิ่นมู่เหอชิงถามขึ้นด้วยความสงสัย หากดีงูมรกตเก้าหัวมีสรรพคุณวิเศษเช่นนั้น ถ้ามีอยู่จริงในโลกหล้า ชาวยุทธ์คงแย่งชิงเพื่อครอบครองของวิเศษชิ้นนี้เป็นแน่แท้ เจ้าโอสถสายรุ้งทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เล่าขานกันว่าเป็นดีงูเทพเจ้า ร้อยปีจะมีปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะได้พบพานและครอบครองดีงูวิเศษ ในอดีตมีผู้ได้ครอบครองดีงูวิเศษนี้ แต่ลำพังดีงูวิเศษเพียงอย่างเดียวช่วยให้เพิ่มพลังยุทธ์ได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น หากนำมาผสมกับตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณของเราที่คิดค้นได้ จะทำให้เพิ่มพลังยุทธ์ได้อีกเท่าตัว เท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ถึงสามสิบปี” “แล้วใครกันที่เป็นผู้ครอบครองดีงูวิเศษที่ท่านกล่าวถึง? รบกวนท่านเจ้าโอสถ ช่วยเล่าเรื่องราวต่อข้าพเจ้ากับพี่ชายได้รับทราบจะได้หรือไม่?” เฟิ่นไป่ชิงรีบกล่าวถามทันที พร้อมกับซุกขวดยาไว้ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง “เป็นซือโจว(ปรมาจารย์)ท่านหนึ่งยากที่จะเอ่ยนาม เมื่อท่านได้รับประทานดีงูวิเศษทำให้สำเร็จวิชาสูงส่ง และต่อมาได้รจนาคัมภีร์ยุทธ์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เรียกว่าคัมภีร์สุริยันจันทรา ซึ่งภายในบรรจุกระบวนท่าและเคล็ดวิชาที่สยบไปทั่วภพจบแดน หากแม้นใครได้ฝึกจะกลายเป็นยอดคนเป็นเจ้ายุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน ภายหลังคัมภีร์ถูกแยกออกเป็นสองส่วน คัมภีร์สุริยันภายในบรรจุกระบวนท่าวิชาที่ลึกล้ำพิสดาร ส่วนคัมภีร์จันทราภายในบรรจุเคล็ดวิชาลมปราณอีกทั้งวิชาดรรชนีแขนงหนึ่ง แต่น่าเสียดายไม่มีผู้ใดได้พบเห็น เมื่อมันได้หายสาบสูญไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน” เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับเฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไป่ชิง ทั้งสามสนทนาพลางก้าวเท้าเดินไปช้า ๆ ทำให้เพิ่มความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เจ้าโอสถสายรุ้งเล่าเหตุการณ์ต่อ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจดจ่อรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ตอนนั้นปรมาจารย์ท่านนั้นมีอายุราวสี่สิบปี ตอนที่ท่านได้พบพานกับดีงูมรกตเก้าหัว ส่วนสถานที่นั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นที่ใด? และไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านได้ดีงูวิเศษมาด้วยวิธีการใด? หลังจากท่านได้ของวิเศษมาและได้กลืนกินมันลงไป จริงเท็จมิอาจไขข้อกังขา เชื่อว่าท่านได้หมดลมหายใจไปเป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยวัน แต่สังขารกลับมิเน่าสลาย มิหนำซ้ำทั่วทั้งร่างยังเปล่งประกายสุกใส มีผู้รู้หลายท่านบอกว่าท่านคล้ายดั่งกบจำศีลอยู่ใต้พื้นพิภพ เหมือนทารกน้อยในครรภ์มารดา เชื่อกันว่านั่นคือวิถีทางแห่งการบำเพ็ญเพียรแห่งเต๋า เป็นการฝึกลมปราณก่อนกำเนิด ดูดซับเอาพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แม้จมูกไม่หายใจแต่ท่านได้หายใจทางท้องขณะท่านนอนจำศีลภายในเกิดการโคจรพลังลมปราณรอบแล้วรอบเล่าต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทำให้โลหิตไหลเวียนไปทั่วร่าง จุดชีพจรต่าง ๆได้ถูกทะลวงจนหมดสิ้น ผ่านไปร้อยวันท่านกลับฟื้นคืนมา พร้อมกับสำเร็จสุดยอดวิชาโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นท่านได้คิดค้นวิชาแขนงต่างๆ จนแตกฉานเป็นยอดคน ผ่านไปจนท่านอายุได้หกสิบปี ท่านได้รจนาคัมภีร์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ภายในบรรจุสุดยอดวิชาแขนงต่าง ๆไว้ ต่อมาภายหลังท่านได้ลี้กายหายจากยุทธภพ เนื่องจากมีสำนักต่าง ๆคิดแย่งชิงคัมภีร์สุดยอดวิชาที่ท่านบัญญัติขึ้นหวังเป็นเจ้ายุทธภพ ท่านหายไปจากยุทธภพนานถึงสามสิบปีโดยไร้วี่แวว มาทราบข่าวอีกทีตอนท่านกลับคืนสู่จงหยวน และนำศิษย์ที่ท่านรับไว้กลับมาด้วยห้าคน ตัวท่านเองมีความสนิทสนมกับท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินขณะนั้น เมื่อท่านกลับมาได้พบปะกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ปรึกษากับเจ้าอาวาสว่าท่านจะเปิดสำนักเป็นหลักแหล่งเสียที พร้อมกับจะอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งห้าให้ผดุงคุณธรรม ถ่ายทอดวิชาของท่านให้กับศิษย์ทั้งห้าคนเพื่อช่วยเหลือชาวยุทธ์ ท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านเห็นด้วย ดังนั้นท่านจึงเสาะหายอดเขาลูกหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเส้าหลินมากนัก ยอดเขาลูกนี้เส้นทางขึ้นแสนลำบากยิ่ง ทั้งสูงชันทั้งเต็มไปด้วยหุบผา ยอดเขาลูกนี้มีความสูงเสียดฟ้า จึงเรียกหายอดเขาลูกนี้ว่ายอดเขาหมื่นเซียน ด้วยเชื่อว่าเทพเซียนทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ ต่างใช้ยอดเขานี้เป็นเส้นทางจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ ในที่สุดท่านได้เลือกสถานที่ราบด้านหนึ่งของยอดเขาหมื่นเซียน ก่อตั้งสำนักขึ้นมาโดยมีศิษย์ห้าคนเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่ง ท่านทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งห้าคนตามความถนัด นอกเหนือจากวิทยายุทธ์แล้ว ท่านยังถ่ายทอดศาสตร์วิชาทั้งห้าให้ศิษย์แต่ละคนต่างกันอันได้แก่ ศาสตร์โหราพยากรณ์ บทกลอนกวี ดนตรีศิลปะ ตำรับยาโอสถ และอาวุธลับค่ายกล อีกห้าปีต่อมาในดินแดนจงหยวนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เหล่ามารครองยุทธภพ แม้แต่ฝ่ายธัมมะเองยังคิดแย่งชิงคัมภีร์สุริยันจันทรา สมบัติล้ำค่าสุดยอดวิชาของแดนดิน ในที่สุดท่านแบ่งคัมภีร์ออกเป็นสองเล่มเรียกว่าคัมภีร์สุริยันและจันทรา หลังจากนั้นท่านปรมาจารย์และคัมภีร์ทั้งสองเล่มได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพสิบห้าปีมาแล้ว จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อนกลับปรากฏข้อความเป็นวลีสี่ประโยคว่า “หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งคัมภีร์เคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปฐพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล” ดังนั้นสำนักต่าง ๆทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม ต่างมีการเคลื่อนไหวเมื่อปรากฏเบาะแสของสุดยอดคัมภีร์ยุทธ์ ตั้งแต่ปรากฏวลีสี่ประโยคมีคนตายแล้วสิบกว่าคน แต่ละคนต่างถูกฝ่ามือกระแทกทำลายอวัยวะภายในแหลกละเอียดเสียชีวิตภายใต้ฝ่ามือนี้ สำนักต่าง ๆสันนิษฐานว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุรุษอายุเยาว์ ที่ปรากฏตัวในงานวันครบรอบวันเกิดของเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง เจ้าโอสถสายรุ้งเล่าถึงตอนนี้ ท่านทอดถอนใจขึ้นมาเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “นับจากวันนี้ไปอีกห้าปีกับหกเดือน บรรดาชาวยุทธ์ในบู๊ลิ้มต่างนัดชุมนุมกันที่วัดเส้าหลิน เพื่อทำการคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ มิเช่นนั้นแล้วเหล่ามารทั้งหลายที่เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวคงก่อความวุ่นวายขึ้น จะต้องมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายต้องมารับเคราะห์กรรมครั้งนี้ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์มาทำหน้าที่คลี่คลายปมการตายปริศนา ซึ่งเป็นคนของสำนักต่าง ๆดูเค้าลางเภทภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงยากคลี่คลาย” “อีกห้าปีกับหกเดือน นับไปเลยเทศกาลสารทง่วนเซียวไปห้าวัน น่าจะตรงกับวันแรมห้าค่ำเดือนยี่ใช่หรือไม่พี่ชาย?” เฟิ่นไป่ชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนับนิ้วในมือ พี่ชายของนางพยักหน้าบ่งบอกว่าถูกต้อง สาเหตุที่นางแสดงท่าทางตื่นเต้น เพราะพี่ชายของนางรับปากเอาไว้ว่าทุกปีต่อจากนี้ จะพานางมาท่องเที่ยวแดนจงหยวนในเทศกาลสารทง่วนเซียว ง่วน(แรก) เซียว(กลางคืน) เทศกาลสารทง่วนเซียว จึงหมายถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย ในวันนี้ทุกบ้านจะนิยมกินขนมบัวลอยกันในครอบครัว และออกจากบ้านมาชมการประดับโคมไฟ เพื่อความเป็นสิริมงคล เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวต่อหลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ตอนนี้ทั้งหมดพักหยุดจากการเดินสนทนา เปลี่ยนมาเป็นการยืนสนทนาอยู่กับที่แทน ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของเนินเสือดาว มีต้นไม้และต้นหญ้าขึ้นอยู่สูงเลยเอว “ในวันนั้นจะมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายเดินทางมาร่วมชุมนุม เจ้าทั้งสองรีบเดินทางกลับสำนัก นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นและบอกกล่าวเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ให้เจ้าผาของเจ้าได้รับทราบ อืมม์ แต่เราสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าทั้งสองถึงเรียกเจ้าเฒ่าชราว่าเจ้าผา? แทนที่จะเรียกซือแป๋” “เรื่องนี้ข้าพเจ้าเฮียม่วยต่างค้างคาใจแต่ไม่กล้าซักถาม ท่านเจ้าผาบอกว่าในชีวิตท่านไม่คิดรับศิษย์ แต่ที่สอนวรยุทธ์ให้เราเฮียม่วยเพียงเพื่อให้ช่วยงานในสำนัก ดังนั้นท่านจึงสั่งให้ทุกคนในผาเรียกหาท่านว่าเจ้าผา” เฟิ่นมู่เหออธิบายให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า เขาและคนในผาต่างไม่ทราบเหตุผล เพราะเหตุใดเจ้าผาของพวกเขามิให้เรียกหาว่าอาจารย์ “เอาเถอะเรื่องนี้เจ้าเฒ่าย่อมมีเหตุผล สักวันคงกระจ่างเจ้าเองอย่าให้สร้างความลำบากใจให้แก่ท่าน นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้าทั้งสองรีบกลับโรงเตี้ยมพักผ่อน ขืนอยู่แถวนี้นานไปอาจมีคนสะกิดความสงสัย เราเองจะเดินทางไปนอกด่านทำงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ แล้วเราจะส่งข่าวให้เจ้าผาของเจ้าได้รับทราบ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงรีบส่งข่าวไปตามที่อยู่ซึ่งเราได้ให้ไว้” หลังจากทั้งสามสนทนากันราวครึ่งชั่วยาม เจ้าโอสถสายรุ้งบอกให้เฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไปชิงกลับโรงเตี้ยม ตัวท่านเองจะเดินทางออกนอกด่านไปกระทำเรื่องราวเรื่องหนึ่ง อีกอย่างหากอยู่เนิ่นนานเกินไปจะเป็นที่สงสัยของผู้คน “เช่นนั้นข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิงขออำลา ขอบคุณท่านเจ้าโอสถสำหรับของขวัญยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่มอบให้ข้าพเจ้า ท่านเจ้าโอสถโปรดถนอมตัวแล้วค่อยพบเจอกันใหม่” เฟิ่นไป่ชิงกล่าวอำลาและขอบคุณเจ้าโอสถสายรุ้ง เมื่อเห็นว่าต้องแยกย้ายจากกัน “ข้าพเจ้าเฟิ่นมู่เหอต้องขออำลาด้วยเช่นกัน ท่านเจ้าโอสถอย่าได้ห่วง ข้าพเจ้าและไป่ชิงจะรีบเดินทางกลับผา พร้อมกับนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปบอกกล่าวต่อท่านเจ้าผา หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าจะแจ้งไปตามที่อยู่ของท่าน ท่านเจ้าโอสถโปรดถนอมตัว” หลังจากล่ำลากันอยู่หลายคำทั้งสามต่างแยกจากกัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นพลิ้วกายมุ่งหน้ากลับโรงเตี้ยมต้าเหอชุน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กระโดดขึ้นลงไม่กี่คราหายวับไปกับราตรีกาลดุจควันเบาบางกลุ่มหนึ่ง ห่างออกไปไม่ไกลนักหลังเนินเตี้ยลูกเล็ก ๆซุ่มดูอยู่ด้วยชายชุดดำที่เคยปรากฏกายท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณหลายคืนก่อน การสนทนาของทั้งสามได้ยินไม่หมดสิ้น แต่พอจับใจความได้หลายประโยค เมื่อทั้งสามจากไปออกจากตำแหน่งที่ซ่อนตัว “คัมภีร์สุริยันจันทรา ไม่เสียแรงที่เสาะหาเบาะแสในที่สุดได้ร่องรอย อีกไม่นานยุทธภพนี้ต้องตกเป็นของข้า ฮา ๆ” ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวร่อของอาคันตุกะชุดดำ เสียงหัวร่ออีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “ฮา ๆ คิดจะเป็นเจ้ายุทธ์ปกครองบู๊ลิ้ม แม้แต่หน้าตายังไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้คนได้พบเห็น น่าขัน ช่างน่าขันนัก สุนัขผายลมยังน่าฟังกว่าคำพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล เจ้ามีคุณสมบัติอะไรปกครองยุทธภพ?” สิ้นเสียงพลังเย็นเยียบสายหนึ่ง แผ่พุ่งแหวกฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วจนแทบตระหนก อาคันตุกะชุดดำใจหายวาบรีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกายพลางพุ่งร่างเฉียง ๆไปด้านข้างหนึ่งวา แล้วกระโดดหมุนตัวตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบ พอเท้าแตะพื้นเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ตำแหน่งที่ตนเองยืนเมื่อครู่หักโค่นล้มครืนลง “ดรรชนีเทวะ!! เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับอารามอเทวตา? (เทวตา หมายถึงชาวสวรรค์ผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ เสวยอาหารทิพย์) เมื่อมาแล้วใยไม่ปรากฏตัว?” เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังแล้วค่อยจางหายห่างออกไปกับความมืด แท้จริงแล้วเจ้าของเสียงจากไปหลายลี้แล้ว เพียงแต่โคจรพลังบังคับเส้นเสียงด้วยลมปราณโต้ตอบกลับมาด้วยวิชาบังคับคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้ “อารามอเทวตายินดีต้อนรับ มีปัญญาเชิญมาถามไถ่ได้ทุกเมื่อ ค่ำคืนนี้ข้ามีธุระไม่มีเวลามาสนุกกับเจ้า จงซุกหัวซ่อนหางของเจ้าให้มิดชิดเถอะ ฮา ๆ” คนชุดดำแม้ใจใคร่ติดตามเจ้าของเสียงไป แต่มิอาจกระทำตามใจปรารถนา อีกประการในตอนนี้ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวให้เป็นที่สงสัยแก่ผู้คน ดังนั้นจึงจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังเพื่อมิให้เสียงานใหญ่ ดังนั้นจึงพุ่งร่างออกจากสถานที่แห่งนั้นมุ่งหน้าตามทิศทางซึ่งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมุ่งหน้าไปนั่นเอง ยุทธภพในเวลานี้แม้เงียบสงบไร้เรื่องราว แต่เหล่ามารอธรรมใช่ว่าจะไม่มีออกมาก่อกวน หากจะกล่าวถึงสำนักมารที่มีชื่อเสียงและมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมแล้วละก็พอจะจำแนกแจกแจงได้ดังนี้ “สำนักอสรพิษดำ ผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นสองสามีภรรยา ชาวยุทธ์ต่างหลีกหนีเมื่อทั้งสองปรากฏตัว นอกจากพลังฝีมือไม่รวบรัดธรรมดาแล้ว ด้านความร้ายกาจของวิชาพิษนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียว ในตอนนี้ทั้งสองน่าจะมีอายุล่วงเลยเหยียบร้อยปีแล้วเห็นจะได้ ฝ่ายสามีมีฉายาตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ภรรยาได้รับฉายายายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว” สำนักฝ่ามือโลหิต เจ้าสำนักมีฉายาว่าหัตถ์อมตะนามหลี่ปู้เหว่ย ด้านพลังฝีมือร้ายกาจสูงส่ง ยามลงมือจะเห็นฝ่ามือของคนผู้นี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายดั่งโลหิต ยุทธภพต่างทราบกันดีว่าฝ่ามือนี้เรียกว่าฝ่ามือโลหิต โหดเหี้ยมและอำมหิต
已经是最新一章了
加载中