ตอนที่ 3 แม่ชีนิรนามกับอารามอเทวตา   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 3 แม่ชีนิรนามกับอารามอเทวตา
นอกจากวัดเส้าหลิน ถัดไปอีกสามลูกเป็นที่ตั้งของอารามอเทวตา อารามแห่งนี้ไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาแน่ชัด เนื่องจากที่ผ่านมาอารามแห่งนี้เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับบู๊ลิ้ม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักอารามแห่งนี้ ลือกันว่าในอารามมีเพียงแม่ชีเก้านางเท่านั้นเอง แต่ด้านพลังยุทธ์ถือว่าสูงสุดยอดยากตอแย โดยเฉพาะวิชาดรรชนีเทวะกับวิชาเก้าชโลทร (ชโลทร หมายถึงห้วงน้ำ) ที่ผ่านมามีคนฝึกได้เพียงขั้นที่สี่ แต่อานุภาพสูงส่ง หากฝึกสำเร็จถึงขั้นที่เก้า คิดว่าหาคู่มือต่อกรได้ยากยิ่ง อารามอเทวตา แม้อยู่ห่างออกไปจากวัดเส้าหลินเพียงสามลูก แต่ยี่สิบปีมานี้ไม่เคยข้องแวะไปมาหาสู่กันแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม่ชีทุกนางล้วนแต่แต่เก็บตัวอยู่ในอาราม แต่เมื่อสำนักต่าง ๆเริ่มมีการเคลื่อนไหว อารามแห่งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน อารามอเทวตามีแม่ชีอาศัยอยู่ด้วยกันเก้านาง ผู้ก่อตั้งอารามนามชิ้วโส่วฉายานางชีเทวราช ก่อนหน้าที่นางจะปลงผมบวชเป็นชี นางมีอีกฉายาหนึ่งชาวยุทธ์เรียกหาว่าเทพธิดาซินแส ด้วยสาเหตุใดยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกสำนักอาจารย์อเปหิออกจากสำนัก ตั้งแต่บัดนั้นนางจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเดิมเคยเป็นคนที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน รักษาคุณธรรมเป็นที่รักใคร่ของผู้คน นอกจากนั้นนางยังรอบรู้ในเรื่องของการทำนายทายทัก น้อยครั้งที่นางจะพยากรณ์เรื่องราวผิดพลาด อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้นางทำนายเรื่องหนึ่งคลาดเคลื่อน จนเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างศิษย์ในสำนักและบรรดาชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกขับไล่ออกจากสำนักได้ก่อความผิดมหันต์ร้ายแรงอีกครั้ง ด้วยการเข่นฆ่าชาวยุทธ์มากมายตายกลาดเกลื่อน นางถูกชาวยุทธ์ตามล่าอยู่หลายปี จึงเร้นกายบนเขาแห่งนี้และก่อตั้งอารามออกบวชเป็นชี ก่อนปลงผมออกบวชนางลั่นวาจาว่าจะไม่ทำนายทายทักอีก หรือใช้วิชาความรู้เกี่ยวกับการทำนายอีกต่อไป เมื่อออกบวชและก่อตั้งอาราม เพื่อเป็นการระบายความแค้นนางจึงตั้งชื่ออารามแห่งนี้ว่า อเทวตา ซึ่งความจริงแล้วเทวตาหมายถึงเทพหรือเทวดาชาวสวรรค์ซึ่งมีหูทิพย์ตาทิพย์เสวยอาหารทิพย์ แท้จริงแล้วควรตั้งชื่อว่าอารามเทวตาน่าจะเหมาะกว่า ซึ่งจะหมายถึงที่อยู่ของชาวสวรรค์หรือเทพ แต่นางถูกชาวยุทธ์เหยียดหยัน จึงตั้งชื่ออารามของนางว่าไม่ใช่ที่อยู่ของชาวสวรรค์หรือเทพนั่นเอง ในเมื่อชาวยุทธ์ขับไสไล่ส่งนาง กล่าวหาว่านางเป็นมารยุทธภพ ดังนั้นมารกับเทพย่อมไม่อาจอยู่ร่วมกัน หากชาวยุทธ์ทั้งหลายเป็นเทพนางเองย่อมเป็นมาร ดังนั้นสถานที่ที่นางอาศัยย่อมไม่ใช่ที่อยู่ของเทพจึงตั้งชื่ออารามว่า อารามอเทวตา และออกกฎว่าห้ามแม่ชีทุกนางออกจากอารามแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งห้ามมิให้ชาวยุทธ์ทุกคนเหยียบย่างเข้าไปในบริเวณอารามอเทวตาเช่นกัน ที่ผ่านมานางรักษากฎนี้อย่างเคร่งครัด แต่ไม่นานมานี้มีคนของอารามอเทวตาปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพและทำร้ายคน นั่นย่อมแสดงว่านางยอมกลืนน้ำลายตนเองทำลายกฎที่ตนบัญญัติไว้ ด้วยการออกจากอารามที่อยู่บนยอดเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เก็บตัวไม่ออกมายุ่งเกี่ยวถึงยี่สิบปีเต็ม หรือว่าการตายของบรรดาชาวยุทธ์ในครั้งนี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของอารามอเทวตาแล้ว? กล่าวย้อนไปครั้งก่อนที่เฮียม่วยแซ่เฟิ่นประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง ด้วยสาเหตุใดที่นางต้องทำร้ายคนไม่มีผู้ใดทราบ ตอนนั้นเฟิ่นไป่ชิงซึ่งออกมาเดินเล่นพอดีบังเอิญพบเห็นเข้า นางไม่กระจ่างความนัยเห็นว่าคนถูกทำร้าย แถมผู้ที่ลงมือยังเป็นผู้ทรงศีลจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จนเกิดการต่อสู้กันขึ้นกับแม่ชีนิรนามนางนั้น แต่ด้วยพลังฝีมือแล้วเฟิ่นไป่ชิงยังห่างชั้นกว่านางเทียบชั้นไม่ติด แม้ว่าในตอนนั้นแม่ชีนิรนามนางนั้นจะออมมือให้แล้วก็ตาม เมื่อเฟิ่นมู่เหอพี่ชายของนางตามมา เห็นน้องสาวของตนกำลังต่อสู้กับแม่ชีนิรนามนางนั้น จึงรีบเข้าช่วยเหลืออีกแรง แต่กลับสู้แม่ชีนิรนามนางนั้นมิได้เช่นเดียวกัน เหตุการณ์คับขันเฟิ่นไปชิงจึงงัดวิชาก้นหีบออกมาใช้ เป็นอาวุธลับเข็มโปรยบุปผาร่วงเพื่อข่มขวัญแม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงวิชาอาวุธลับนางยังฝึกได้เพียงสามส่วน แต่ได้ผลแม่ชีนางนั้นชะงักและล่าถอยไป และนั่นเป็นการสะกิดความสงสัยให้แก่แม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงแล้วนางไม่ได้จากไปดั่งที่เฮียม่วยแซ่เฟิ่นเข้าใจ แต่นางสะกดรอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆจนค่ำคืนหนึ่งนางติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาถึงเนินเสือดาว และได้ยินการสนทนาระหว่างเฮียม่วยแซ่เฟิ่นกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อทั้งสามจากไปแล้วนางจึงพบว่านอกจากนางแล้ว สถานที่แห่งนั้นยังมีอาคันตุกะชุดดำอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นนางจึงได้ลงมือทดสอบฝีมือของคนชุดดำลึกลับ แต่ด้วยรังสีอำมหิตที่แฝงอยู่ในตัวคนผู้นั้นรุนแรงและดูออกว่าคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือไม่ควรตอแย นางจึงล่าถอยและรีบติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนไป ทางด้านอาคันตุกะชุดดำในค่ำคืนนั้น ทราบแต่เพียงว่าผู้ลงมือใช้วิชาดรรชนีเทวะ ซึ่งเป็นวิชาของอารามอเทวตาแต่ไม่ทราบเป็นแม่ชีนางใด? ชายลึกลับผู้ไม่เปิดเผยใบหน้ารีบติดตามพี่น้องแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆจุดประสงค์ของมันนอกจากเบาะแสเกี่ยวกับคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราแล้ว ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนมอบให้เฟิ่นไป่ชิง มันต้องการได้มาครอบครองเช่นเดียวกัน จากคำสนทนาที่แอบฟัง ได้ยินว่าเป็นยาวิเศษแปลกพิสดารหายากในแผ่นดิน และที่สำคัญยังเป็นส่วนผสมกับดีงูมรกตเก้าหัว ทั้งที่ไม่ทราบว่าดีงูมรกตเก้าหัวคือสิ่งวิเศษใดก็ตาม แต่มีส่วนช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์เท่ากับคนฝึกวรยุทธ์ถึงสามสิบปีอีกด้วย เมื่อติดตามถึงโรงเตี้ยมเห็นเฮียม่วยแซ่เฟิ่นสั่งอาหารรับประทานแล้วเก็บตัวเข้าห้องพัก มันจึงได้จากไปคิดว่าก่อนสางค่อยย้อนมาดูอีกที ทางด้านหมู่ตึกกระเรียนฟ้า วันนี้หลิวซุ่นกงกงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในหมู่ตึกเข้าปรึกษาหารือตั้งแต่เช้า หมู่ตึกกระเรียนฟ้าสร้างเป็นอาคารสองชั้นกินเนื้อที่มากหลาย มีห้าตึกติดกันหากมองเข้าไปจากภายนอก จะเห็นหมู่ตึกทั้งห้าหลังคล้ายนกกระเรียนกำลังกางปีกโบยบิน ด้านหน้าตึกมีเสาไม้ขนาดใหญ่สองต้นแกะสลักเป็นรูปขาของนกกระเรียน ที่ฐานของเสาสองต้นยังแกะสลักเป็นอุ้งกรงเล็บของนกกระเรียน หลังคาด้านหน้าสร้างยื่นออกมาเลียนส่วนหัวและปากของนกกระเรียน ตึกที่อยู่ตรงกลางมีชื่อเรียกว่าตึกเทพปักษา หลิวซุ่นกงกงพำนักอยู่ภายในตัวตึกนี้ ด้านซ้ายสองหลังคือตึกหกหุนกับตึกเมฆา และสองหลังทางด้านขวาคือตึกอินทรีกับตึกคชสีห์ ห้องโถงด้านหลังตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวแปดเชี้ยะกว้างสามเชี้ยะครึ่งสองตัวตั้งต่อติดกัน ปูด้วยผ้าแพรสีแดงเพลิงวางเก้าอี้ไม้จันทน์แดงด้านละสี่ตัว ตรงหัวโต๊ะสองด้านอีกด้านละตัวรวมแล้วสิบตัวไม่ขาดไม่เกิน ตัวที่อยู่หัวโต๊ะทางทิศเหนือของห้องโถง เป็นไม้จันทน์แดงบุด้วยขนเตียวอ่อนนุ่มนิ่ม (เตียว เป็นสัตว์จำพวกหนู ตัวยาวประมาณสองฟุต ขนยาวราวนิ้วครึ่งอ่อนนุ่มปุกปุย อาศัยอยู่ในป่าทางภาคเหนือ) ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยภาพวาดต่าง ๆ หลิวกงกงชื่นชอบภาพวาด พร้อมกันนั้นยังโปรดปรานดนตรีการร่ายรำอีกด้วย เมื่อจัดแจงโต๊ะเก้าอี้และสถานที่เรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้หลายคนทยอยยกอาหารรสเลิศ ลำเลียงป้านสุราซึ่งภายในบรรจุสุราชั้นยอดอายุเกือบร้อยปีออกมา เมื่อจัดวางแล้วล่าถอยออกจากห้องโถงไปยืนอยู่มุมใกล้ ๆกัน หลิวซุ่นกงกงเดินนำหน้าขบวนออกมาแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้หัวโต๊ะที่บุด้วยขนเตียว ด้านขวานั่งด้วยบุคคลสี่คนเรียงจากหลิวกงกงอันได้แก่ หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีต้าถง และหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนตามลำดับ ด้านซ้ายของหลิวกงกงนั่งด้วยบุคคลสี่คนเฉกเช่นเดียวกันเรียงจากหลิวกงกง ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบต ต่อด้วยยอดฝีมือจากเผ่าอุยกูร์นามเล่อต้าเต๋อ ถัดไปเป็นยอดฝีมือจากนอกด่านสองคนเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ที่หัวโต๊ะทางทิศใต้นั่งไว้ด้วยยอดฝีมือจากอู่เยี่ยว์นามเสิ่นซื่อสูอวี้ หลายเดือนมานี้คนของหลิวซุ่นกงกงที่ไปคอยติดตามหาข่าว ได้ส่งข่าวกลับมาเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเฮียม่วยแซ่เฟิ่นกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน และคนของอารามอเทวตา รวมทั้งวลีสี่ประโยคที่ปรากฏในยุทธจักร อีกทั้งข่าวที่มีคนตายภายใต้ฝ่ามือลึกลับในหมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขา บนโต๊ะอาหารต่างปรึกษาหารือถึงเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ได้ข้อสรุปว่าให้ทุกฝ่ายแยกย้ายกันทำงาน ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบตกับเสิ่นซื่อสูอวี้คอยติดตามคนของอารามอเทวตา เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่น หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่นคอยแกะข่าวของวลีสี่ประโยค หัวหน้าตึกที่เหลืออีกสามคนคอยเสริมประสานสอดรับทั้งนอกใน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหลิวซุ่นกงกงจะให้เจ้าสำนักต่าง ๆที่ไม่ได้เชิญมาวันนี้ช่วยเหลืออีกแรง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วต่างแยกย้ายกันทำงานในทันที เชิงเขาทางทิศใต้เป็นที่ราบอันเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านเย้ยอรุณ หมู่บ้านแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ราวสามสิบกว่าหลังคาเรือน หลังจากหลายวันก่อนมีคนแปลกหน้าหลายกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้และออกจากหมู่บ้านไป ช่วงนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้านอีก ชาวบ้านจึงใช้ชีวิตกันตามปกติ มิต้องรีบร้อนปิดประตูหน้าต่างเข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนเมื่อก่อนอีก บ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก ในบ้านอาศัยอยู่เพียงสองคน ป้าหนิวเป็นคนต่างถิ่นอพยพย้ายถิ่นฐานมาเมื่อสิบปีก่อน มาลงหลักปักฐานทำไร่และเลี้ยงสัตว์ที่นี่ ในตอนนั้นป้าหนิวหอบหิ้วเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบปีมาด้วยคนหนึ่ง หลังจากนั้นป้าหนิวกับเด็กน้อยได้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้เรื่อยมา ตอนนี้ป้าหนิวอายุล่วงเลยปาเข้าวัยหกสิบเอ็ดปีแล้ว วันเวลาที่ผ่านไปสิบปี กระทั่งเด็กน้อยเติบใหญ่อายุย่างสิบห้าปีแล้ว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งกำยำทรงพลังแขนขายาวมือหยาบใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายได้รูป คิ้วหนาเข้มดกดำ ดวงตาคมกริบเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้า นับว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว เสียแต่ว่าอยู่ภายใต้อาภรณ์ที่ค่อนข้างเก่ามีรอยปะชุนอยู่หลายที่ มองดูจนแทบจำสีเดิมของเนื้อผ้ามิได้แล้ว ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยขยันทำงานช่วยป้าหนิวทุกอย่างไม่เกียจคร้านดูดาย ตั้งแต่เด็กป้าหนิวไม่มีเงินทองพอที่จะส่งเด็กน้อยไปร่ำเรียนเขียนหนังสือ แต่ยังนับว่าโชคดีของเด็กน้อยที่ได้เพื่อนบ้านที่พอรู้หนังสืออยู่บ้าง ช่วยสอนให้เขียนอ่านตัวหนังสือต่าง ๆด้วยความมานะผสานกับพรสวรรค์ที่มี เด็กน้อยเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง อีกทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ จวบจนบัดนี้สามารถอ่านเขียนได้คล่องแคล่วไม่ติดขัดแต่อย่างใด ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยเป็นคนกินจุ ป้าหนิวจึงต้องทำอาหารมากกว่าปกติทุกครั้ง ด้วยสาเหตุนี้เองเมื่อเจริญวัยทำให้ร่างกายสูงใหญ่กำยำแข็งแรง ผนวกกับตรากตรำทำงานหนัก ทั้งขุดดิน ตักน้ำ ผ่าฟืน หรือแม้แต่ขึ้นเขาหาของป่าล่าสัตว์ เด็กน้อยล้วนเคยกระทำมาแล้วหมดสิ้น ตอนนี้โพล้เพล้ใกล้ค่ำป้าหนิวส่งเสียงกะโกนเรียกเด็กหนุ่ม หลังจากเข้าครัวปรุงอาหารสามอย่างกับข้าวสวยร้อน ๆพร้อมน้ำแกงที่ป้าหนิวชอบทำให้เด็กน้อยดื่มกินเป็นประจำ \"เซี่ยวจือ(จือน้อย) ล้างมือเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วมากินข้าวเร็วเข้า น้ำแกงกำลังร้อน ๆกินอิ่มแล้วจะได้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตั่วแป๊ะ(ลุงใหญ่)ที่อยู่บ้านหลังสุดท้ายมาบอกแม่ว่า พรุ่งนี้เช้าไหว้วานให้เจ้าไปช่วยซ่อมหลังคาให้ท่านหน่อย นอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า” “ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านแม่ ท่านก็มากินพร้อมกับข้าพเจ้าด้วยสิ” เด็กน้อยมิรอช้าล้างมือล้างไม้ทำความสะอาดใบหน้าเสร็จ รีบวิ่งเข้าครัวปากส่งเสียงเรียกป้าหนิวให้มารับประทานข้าวพร้อมกับตน เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ไม้เก่า ๆป้าหนิวรีบตักข้าวสวยส่งกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมกับควันสีขาวลอยอบอวลชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงาน ป้าหนิวเมื่อตักข้าวสวยให้เด็กน้อยแล้วรีบนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม รับประทานอาหารเย็นตามประสาชาวบ้านชนบท เด็กหนุ่มกินข้าวไปถึงสามชาม หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ไม่ลืมที่จะทบทวนหนังสืออยู่ครู่หนึ่งจึงเป่าตะเกียงน้ำมันสนแล้วรีบล้มตัวลงนอน ก่อนจะหลับใหลอดนึกถึงชีวิตตอนวัยเด็กของตนขึ้นมามิได้ ตอนนั้นทราบเพียงแต่ว่าเกิดสงครามสู้รบ พอจำความได้ว่าตนเองอาศัยอยู่กับขบวนชาวบ้านที่อพยพหลบหนีสงคราม ในแต่ละวันต้องร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย ๆไร้หลักแหล่งแน่นอน จนในที่สุดจากการหนีสงครามสู้รบจึงพลัดหลงกับชาวบ้านขบวนนั้น ตอนนั้นด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบปี ความหิวโหยจำต้องเก็บเศษอาหารกิน บางวันแม้แต่ข้าวสักครึ่งคำยังมิได้ผ่านริมฝีปากซูบซีด น้ำแม้หยดมิได้ไหลผ่านลำคออันแห้งผาก บางครั้งเดินผ่านป่าเขาลำเนาไพรท่องไปตามยถากรรม จนได้มาพบกับป้าหนิวซึ่งอพยพหนีภัยสงครามเช่นเดียวกัน เมื่อป้าหนิวพบเห็นเด็กน้อยตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ด้วยความเวทนาสงสารจึงหอบหิ้วเด็กน้อยมาอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆแห่งนี้ สิ่งของมีค่าที่พอมีติดตัวเหลือเพียงชิ้นเดียว นั่นคือหยกเหินลมชิ้นหนึ่งสลักอักษรคำเดียวเอาไว้ ตอนแรกเด็กน้อยไม่ทราบว่าอักษรที่สลักบนหยกอ่านว่าอะไร เมื่อได้ร่ำเรียนเขียนตัวหนังสือ จึงได้ทราบว่าอักษรที่สลักอยู่บนหยกที่ตนพกติดตัวคือคำว่า “จ้าว” นั่นเอง ตั้งแต่คราแรกที่พบพานกับป้าหนิว ในตอนนั้นเด็กน้อยยังไม่ทราบว่าตนเองมีชื่อแซ่ว่ากระไร? ดังนั้นป้าหนิวจึงตั้งชื่อให้กับเด็กน้อยว่า จ่านจือ แต่ส่วนใหญ่แล้วป้าหนิวจะติดปากเรียกหาเขาว่าจือน้อยเสียมากกว่า ภายหลังเมื่อทราบว่าบนหยกสลักคำว่าจ้าวเอาไว้ ป้าหนิวจึงคิดว่าอักษรคำนั้นน่าจะมีความสำคัญกับเด็กน้อยจึงใช้ตั้งเป็นแซ่ให้กับเขา ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้เด็กน้อยจึงใช้ชื่อจ้าวจ่านจือมาโดยตลอด ส่วนหยกเหินลมชิ้นนั้นเก็บไว้ไม่ห่างตัว ผ่านไปไม่เท่าใดนักเด็กน้อยผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว หมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขาวันนี้มีชายแปลกหน้าพกพากระบี่เข้ามาสามคน ดูท่าทางพวกมันไม่ใช่คนดีอะไรนัก ทั้งสามคนเหมือนกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านต่างรื้อค้นตามซอกมุมต่าง ๆคอกสัตว์รวมทั้งบ้านทุกหลังของชาวบ้าน ใครขัดขวางก็ทุบตีทำร้าย ชาวบ้านหลายคนถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ ป้าหนิวเห็นเพื่อนบ้านถูกทำร้ายรีบเข้าไปหมายช่วยเหลือ จนกระทั่งถูกคนหนึ่งในสามคนใช้หมัดต่อยเข้าใส่ที่ท้องน้อยจนล้มไปกองอยู่กับพื้น ช่วงเวลานั้นจ่านจือกลับมาจากไปช่วยซ่อมหลังคาให้เพื่อนบ้านพอดี ระหว่างทางเขายังแวะเก็บฟืนติดไม้ติดมือมาให้ป้าหนิวใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับทำกับข้าวอีกด้วย เมื่อเห็นป้าหนิวแม่บุญธรรมถูกทำร้ายกองอยู่กับพื้น เขารีบโยนมัดฟืนทิ้งโดยพลันกระโจนเข้าประคองร่างป้าหนิวด้วยความเป็นห่วง คนที่ต่อยป้าหนิวเมื่อครู่เห็นเช่นนั้น ตรงเข้ามาพร้อมกับยกเท้าขวาเตะประเคนเข้าใส่ร่างจ่านจือเต็มแรง เสียงทึบดังหนัก ๆเมื่อเท้าของคนผู้นั้นเตะโดนที่สีข้างของจ่านจือ ส่งผลให้ร่างของเขาเซถลากระเด็นไปตามแรง รู้สึกเจ็บแสบปวดร้อนตรงตำแหน่งที่โดนเตะเมื่อครู่ จ่านจือถึงแม้เจ็บปวดเพียงใด กลับไม่ยอมปล่อยให้ป้าหนิวถูกทำร้ายอีก พุ่งตรงเข้าไปใช้สองแขนกอดป้าหนิวเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับใช้ร่างของตนเองปิดป้องกั้นร่างของป้าหนิวเอาไว้ ชายคนเดิมเตะซ้ำเข้ามาอีกสองเท้าติดกัน จ่านจือรีบเบี่ยงตัวเอาร่างรับสองเท้าเอาไว้ กลัวว่าจะโดนป้าหนิวแม่บุญธรรม มาตรว่ารู้สึกเจ็บแสบปวดร้อนสักเพียงไหน จ่านจือมิยอมเปล่งเสียงร้องออกจากปากแม้ครึ่งคำ เพียงกัดฟัดกรอดข่มความเจ็บปวดเอาไว้ คิดเพียงอย่างเดียวว่าป้าหนิวแม่บุญธรรมเป็นญาติสนิทเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ ที่ผ่านมาเรื่องราวเล็กน้อยหรือใหญ่โตปานใด ป้าหนิวมิเคยดุด่าตนแม้แต่น้อย ท่านทั้งรักทั้งเอ็นดูตนดั่งลูกแท้ ๆตอนที่มองเห็นคนผู้นั้นต่อยป้าหนิวล้มลง หัวใจของจ่านจือคล้ายถูกคมมีดกรีดใส่รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ ตนยอมตายเสียยังดีกว่าที่จะยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายแม่บุญธรรม ป้าหนิวร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ท่านเห็นจ่านจือเอาร่างรับเท้าของคนผู้นั้นเอาไว้เพื่อมิให้ตนเองถูกทำร้าย ความกตัญญูรู้คุณที่จ่านจือแสดงออกมาทำให้ท่านลืมความเจ็บปวดที่ท้องน้อยจนหมดสิ้น รู้สึกปลาบปลื้มยินดีและตื้นตันใจเหลือประมาณ มิเสียแรงที่เลี้ยงดูจ่านจือมาสิบกว่าปี เพียงแค่นี้ป้าหนิวรับรู้ถึงความรักความกตัญญูของเขาที่มีต่อตน ป้าหนิวเองรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจไม่แตกต่างจากจ่านจือเมื่อเห็นเขาถูกทำร้าย ตั้งแต่เล็กมาท่านไม่เคยตีจ่านจือแม้เพียงครั้ง ทุกคราที่ท่านเห็นเด็กน้อยออกไปเล่นซุกซนได้บาดแผลกลับมา ป้าหนิวจะรีบหาหยูกยามาทารักษาบาดแผลให้โดยไม่เคยดุด่าว่ากล่าว สองคนที่อยู่ห่างออกไปเดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือไปมา หนึ่งในสองคนที่เดินเข้ามาใหม่กล่าวกับคนที่ลงมือเตะจ่านจือว่า “เจ้าโง่ มัวแต่ชักช้าเสียเวลารีบจัดการเจ้าโสโครกนั่นเร็วเข้า ส่วนอีกคนเป็นแค่หญิงชาวบ้านคิดอะไรให้มากความ ยังมีอีกหลายหลังที่เรายังมิได้ค้นหา เจ้าจัดการหญิงเฒ่าผู้นั้น เดี๋ยวข้าสองคนจัดการเด็กน้อยโสโครกนี่เอง” กล่าวจบคนผู้นั้นตรงเข้าคว้าตัวป้าหนิวเอาไว้ อีกสองคนตรงเข้าคว้าจับแขนสองข้างของจ่านจือที่โอบกอดป้าหนิวอยู่มิยอมปล่อย เมื่อเห็นเขามิยอมปล่อยมือที่กอดร่างป้าหนิวเอาไว้ หนึ่งในสองคนจึงใช้หมัดขวาต่อยเข้าใส่ใบหน้าของจ่านจือเต็มแรง และเป็นช่วงจังหวะที่อีกคนหนึ่งออกแรงกระชากแขนของเขา ทำให้ร่างของจ่านจือกับป้าหนิวแยกออกจากกันในทันที คนผู้นั้นเมื่อกระชากร่างจ่านจือมามิรอช้ายกเข่ากระทุ้งเข้าใส่ที่ท้องน้อยของเขา เสียงทึบหนัก ๆเมื่อเข่าของคนผู้นั้นสัมผัสกับท้องน้อยของเขา จ่านจืองอร่างลงตามแรงกระทุ้ง มีความรู้สึกว่าอาหารและน้ำย่อยในกระเพาะและลำไส้จะพุ่งทะลักย้อนกลับออกมาก็มิปาน แต่ถึงจะเจ็บปวดสักปานใดจ่านจือกลับไม่สนใจ เป็นห่วงเพียงแต่ป้าหนิวแม่บุญธรรมเท่านั้น คนที่ดึงร่างของป้าหนิวไปยกฝ่ามือซ้ายที่ไม่มีกระบี่ตบเข้าที่กกหูของป้าหนิวดังเพี๊ยะ จนร่างของป้าหนิวเซถลาไปด้านข้าง จ่านจือเห็นเช่นนั้นรู้สึกปวดร้าวใจสุดทนทาน ในช่วงเวลานั้นไม่คิดอะไรอีกนอกจากจะช่วยแม่บุญธรรม จึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดสลัดหลุดจากคนทั้งสอง พุ่งร่างเข้าหาคนที่ใช้ฝ่ามือตบป้าหนิว แล้วใช้สองมือผลักคนผู้นั้นจนร่างมันเซถอยไปสองสามก้าว “เด็กน้อยโสโครกสมควรตาย เจ้าอย่าอยู่เลย!!” คนผู้ที่ถูกจ่านจือใช้สองฝ่ามือผลักเซไปเมื่อครู่ตะโกนขึ้น พร้อมกับเสือกกระบี่ในมือแทงพุ่งตรงเข้าใส่ร่างเขา เวลานั้นจ่านจือเองทำอะไรไม่ถูก ปลายกระบี่อยู่พ้นร่างห่างไม่ถึงสามฝ่ามือ “สวบ โอ๊ย!!” เสียงคมกระบี่ชำแรกผ่านผิวเนื้อพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยากบรรยาย ปลายกระบี่จมลึกทะลุเข้าไปเหนือลิ้นปี่เกือบครึ่งเล่ม โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดสวนทางคมกระบี่ออกมา ร่างของผู้ที่ถูกแทงสั่นระริกรัวค่อย ๆทรุดตัวลงกับพื้นปากพยายามส่งเสียง “เซี่ยวจือรีบหนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่ หนีไปเร็วเข้าลูกแม่” เป็นเสียงของป้าหนิวท่านบอกให้จ่านจือรีบหนีไป ในจังหวะที่คนผู้นั้นแทงกระบี่ใส่ร่างของเขา เมื่อท่านเห็นจ่านจือยืนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ปลายกระบี่จะบรรลุถึงร่างของเขา ท่านอาศัยพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดพุ่งตรงไปใช้สองมือผลักร่างจ่านจือห่างออกมา พร้อมกับใช้ร่างของตนเองเข้ารับกระบี่แทน จ่านจือเห็นร่างป้าหนิวทรุดลงกับพื้นพร้อมกับโลหิตไหลทะลักออกมาดั่งน้ำพุ น้ำตาลูกผู้ชายแตกพรั่งพรูจนนองใบหน้า แทนที่จ่านจือจะวิ่งหนีไปตามคำบอกของป้าหนิว เขากลับวิ่งเข้าไปหาป้าหนิว ปากส่งเสียงร่ำร้องวุ่นวาย “ท่านแม่ ข้าพเจ้าไม่หนี ท่านแม่อย่าตายนะ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านแม่ หากต้องตายข้าพเจ้าขอตายพร้อมกับท่านแม่” คนที่ใช้กระบี่แทงป้าหนิวเมื่อครู่เงื้อกระบี่ตรงเข้าหาจ่านจืออีกครั้ง ป้าหนิวรวบรวมกำลังคว้าสองขาของคนผู้นั้นไว้ พร้อมกะโกนต่อจ่านจือด้วยน้ำตาว่า “เซี่ยวจือหนีไป อย่าได้ห่วงแม่ มารดาแก่แล้วตายไปไม่เสียดาย เจ้าหนีไปเร็วเข้า” ป้าหนิวเลี้ยงจ่านจือมา รักและเอ็นดูทะนุถนอมเหมือนลูกในไส้ ครั้งนี้รู้แน่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ปากส่งเสียงให้เขารีบหนีไป เด็กหนุ่มน้ำตาไหลหลั่งเป็นทางด้วยความสงสารป้าหนิว ปากก็ส่งเสียงต่อป้าหนิวว่า “ท่านแม่ข้าพเจ้าจะไม่ไปไหน ข้าพเจ้าจะตายกับท่านแม่ ไม่มีท่านแม่แล้วข้าพเจ้าจะอยู่ได้เช่นไร?” ทั้งน้ำตานองหน้าโผเข้าหาร่างที่ชุ่มไปด้วยโลหิตของแม่บุญธรรม คนผู้นั้นถูกป้าหนิวใช้สองมือคว้าจับสองขาไว้ขยับมิได้ จึงเงื้อกระบี่ในมือฟันฉับเข้ากลางหลังป้าหนิวซึ่งนอนอยู่ที่พื้นเต็มแรง โลหิตคำโตพุ่งกระฉูดออกจากปากป้าหนิวสายตาเพ่งจับจ้องยังใบหน้าเขา สองมือพยายามไขว่คว้าอากาศวุ่นวาย ก่อนที่จะสิ้นใจอยู่กับพื้นตรงนั้นโดยที่สองตายังคงเบิกโพลงจับจ้องมายังร่างของจ่านจือด้วยความเป็นห่วง จ่านจือไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสามคนนั่น พุ่งร่างเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด สองหมัดต่อยสะเปะสะปะวุ่นวายไม่จำแนกแยกแยะทิศทาง คนผู้นั้นยกเท้าข้างหนึ่งถีบเข้ามาเต็มแรงจนร่างของเด็กหนุ่มกระเด็นล้มตึงลงกับพื้น “เด็กโสโครกเบื่อการมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่? พวกเรารุมสับร่างมันเป็นชิ้น ๆ” กล่าวจบกระบี่สามเล่ม แยกย้ายจู่โจมใส่ยังร่างเด็กหนุ่มที่กองอยู่กับพื้นพร้อมเพรียงกันโดยมิต้องนัดหมาย “ซี่ ซี่ ซี่” เสียงซี่พอดังกระบี่สามเล่มกระเด็นกระดอนหลุดจากมือของคนทั้งสาม เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร้อมกับซัดก้อนหินสามก้อนกระแทกกระบี่ทั้งสามเล่มปลิวกระเด็น กระบวนท่าที่ใช้ทั้งรวดเร็วทั้งแม่นยำดั่งจับวาง เฟิ่นไป่ชิงเป็นนางเองพี่ชายของนางเฟิ่นมู่เหอก็มาด้วย ทั้งสามคนเห็นเช่นนั้นรู้ว่าเป็นยอดฝีมือ รีบก้มลงเก็บกระบี่แล้วพากันกระโจนหนีกันสุดกำลัง จ่านจือมิรอช้าตรงเข้ากอดร่างไร้วิญญาณของป้าหนิวเอาไว้ พร้อมกับร่ำให้คร่ำครวญน้ำตาไหลนองหน้าเปียกชุ่ม เฮียม่วยแซ่เฟิ่นเห็นแล้วเวทนาสงสารเป็นที่สุด รีบตรงเข้าไปประคองช่วยเหลือ หลังจากจัดการฝังศพป้าหนิวแล้ว จ่านจือนั่งซึมเซาเศร้าโศกไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่เป็นเวลานาน ญาติสนิทคนสุดท้ายที่มีมาตายจากเด็กน้อยไม่เหลือใครอีกแล้ว หลังจากเฮียม่วยแซ่เฟิ่นปรึกษาหารือกันเห็นว่าน่าจะช่วยเหลือเขาสักครั้ง หากปล่อยทิ้งไปสามคนชั่วนั่นย้อนกลับมาเขาคงต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน จึงเห็นพ้องกันว่าจะพาเขาไปฝากให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนช่วยดูแล หลังจากนั้นอีกสองวันคนทั้งสามจึงออกเดินทางไปยังสถานที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทิ้งไว้ให้ ออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณเป็นเวลาครึ่งวัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นพาจ่านจือตัดผ่านเส้นทางที่มุ่งตรงสู่เมืองหลวงลั่วหยาง ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเหยียบย่างออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ ดังนั้นจึงไม่รู้จักเส้นทางที่กำลังก้าวเดิน เห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเดินพลางสนทนากันไป จ่านจือมิกล้าชักช้ารีบก้าวเท้าติดตามไป เดินทางมาอีกระยะหนึ่ง จ่านจือเห็นผู้คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดสะอ้าน อีกทั้งใบหน้าของทุกคนยังดูหมดจดสดใส บางคนขี่ม้าควบขับเหยาะย่างวิ่งผ่านไป จ่านจืออดมิได้ที่จะเหลียวหลังมองผู้คนเหล่านั้น บางขบวนมีจำนวนหลายคน บางครั้งเห็นคนแบกหามเกี้ยวดูหรูหราผ่านไปอีกหลายขบวน บางคนพกพากระบี่จ่านจือคาดเดาว่าคนเหล่านั้นหากมิใช่ชาวยุทธ์ล้วนเป็นอันธพาล ชีวิตของคนในเมืองช่างดูสับสนวุ่นวายเสียนี่กระไรจ่านจือบอกกับตัวเอง ใกล้มืดค่ำสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจึงมุ่งตรงสู่ตัวเมืองแห่งหนึ่งเพื่อหาโรงเตี้ยมพักแรม ไม่นานเท่าใดนักแลเห็นโรงเตี้ยมที่หนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ทั้งสามจึงตรงเข้าไปติดต่อเถ้าแก่เพื่อจองห้องพัก แต่ได้รับคำตอบจากเถ้าแก่โรงเตี้ยมว่า “ค่ำคืนนี้มีคนจองห้องพักเต็มหมดแล้วทุกห้อง รบกวนท่านทั้งสามเสาะหาสถานที่อื่นเถอะ” “จองเต็มหมดทุกห้องเชียวรึ? ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีคนพักอาศัยอยู่สักกี่คน เถ้าแก่ท่านล้อเล่นกับพวกเราใช่หรือไม่?” เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวถามขึ้น เมื่อมองเข้าไปภายในโรงเตี้ยมแห่งนั้นเงียบเชียบไร้ผู้คน จะมีเพียงไม่กี่คนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง “ข้าพเจ้ามิได้ล้อเล่น ทุกห้องถูกจับจองไว้เต็มแล้วจริง ๆพวกท่านเดินทางห่างจากที่นี่ไปทางตะวันตกราวครึ่งลี้มีโรงเตี้ยมอีกที่หนึ่ง พวกท่านไปพักยังที่นั่นเถอะ” เถ้าแก่โรงเตี้ยมส่งเสียงกล่าวยืนยัน พร้อมกับแนะนำให้ทั้งสามไปหาโรงเตี้ยมอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันตกอีกครึ่งลี้ “เถ้าแก่ แต่ข้าพเจ้ายังสงสัยว่าโรงเตี้ยมของท่านถูกจองเต็มแล้ว แต่ไฉนจึงไม่เห็นมีคนอยู่ภายในโรงเตี้ยมเลย มีเพียงไม่กี่คนที่นั่งรับประทานอาหารเท่านั้นเอง” เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นบ้างด้วยความสงสัย เถ้าแก่โรงเตี้ยมมองซ้ายแลขวาทำท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนที่จะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าขอเรียนตามตรง ถูกแล้วในโรงเตี้ยมไม่มีคนพักอาศัยอยู่แม้แต่ผู้เดียว แต่ทุกห้องถูกจับจองเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย ผู้ที่มาจับจองได้จ่ายค่าห้องไว้เรียบร้อยแล้วแถมยังกำชับไว้อีกว่า ห้ามมิให้แขกผู้อื่นเข้าพักอาศัยเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วจะถล่มโรงเตี้ยมของข้าพเจ้าให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง” สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหันสบตากัน ต่างสงสัยว่าผู้ที่เถ้าแก่กล่าวถึงเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนจึงเหมาโรงเตี้ยมทั้งหลังโดยห้ามมิให้แขกอื่นเข้าพักอาศัย จ่านจือเองสงสัยด้วยเช่นกันแต่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะเขายังไม่ทราบว่าในยุทธภพมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย เขาเองอาศัยอยู่แต่หมู่บ้านเชิงเขาจึงไม่ทราบว่ายุทธภพมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น “เถ้าแก่ ท่านพอจะบอกได้หรือไม่? ผู้ใดที่เหมาโรงเตี้ยมของท่าน” เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวถามเถ้าแก่โรงเตี้ยม “ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด? ทราบแต่เพียงมีดรุณีอ่อนวัยสองนางเป็นผู้มาติดต่อ นางทั้งสองกล่าวว่านายน้อยของพวกนางเป็นผู้ให้มาติดต่อ แถมก่อนจากไปพวกนางทั้งสองยังซัดอาวุธลับเป็นรูปหัวกะโหลกปีศาจปักไว้ตรงด้านหน้าโรงเตี้ยมอีกด้วย หากไม่เชื่อพวกท่านลองเดินไปดูให้เห็นกับตาเถิด” เถ้าแก่โรงเตี้ยมบอกกล่าวเรื่องราวจบ พลางชี้มือไปยังเสาต้นหนึ่งด้านหน้าโรงเตี้ยม บอกให้ทั้งสามเดินไปดูอาวุธลับที่ดรุณีสองนางซัดขว้างปักเอาไว้ ทั้งสามจึงรีบวิ่งไปยังทิศทางที่เถ้าแก่โรงเตี้ยมกล่าวบอก เมื่อไปถึงทั้งสามกลับไม่เห็นอาวุธลับแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ใกล้ ๆกันบนม้านั่งตัวหนึ่งนั่งอยู่ด้วยบุคคลผู้หนึ่ง คนผู้นั้นนั่งหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งจึงมองไม่เห็นใบหน้า ก่อนที่ทั้งสามจะคิดทำประการใด บุคคลผู้นั้นชูมือข้างหนึ่งขึ้นในมือถือวัตถุสองชิ้น พร้อมกับส่งเสียงกล่าวโดยไม่หันหน้ามามองว่า “พวกท่านกำลังมองหาอาวุธลับสองชิ้นนี้ใช่หรือไม่?” คนผู้นั้นส่งเสียงห้าวหาญฟังแล้วทราบได้ว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เถ้าแก่โรงเตี้ยมได้ยินเช่นนั้นรีบวิ่งตรงมาแล้วส่งเสียงละล่ำละลักต่อบุคคลผู้นั้นว่า “ท่าน ท่านเป็นใคร? ทราบหรือไม่ว่าท่านสร้างความเดือดร้อนให้กับข้าพเจ้าแล้ว อาวุธลับสองชิ้นในมือท่าน ผู้ที่จับจองโรงเตี้ยมกำชับว่าห้ามมิให้ผู้ใดดึงออก หากข้าพเจ้าดูแลไม่ดีมีคนดึงออกมาศีรษะข้าพเจ้าจะหลุดจากบ่า ท่านรีบนำกลับไปปักไว้ที่เดิมเร็วเข้า” “เถ้าแก่ ดูท่านหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ฟังจากที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ผู้ที่จับจองโรงเตี้ยมเป็นเพียงดรุณีอ่อนเยาว์สองนาง โรงเตี้ยมของท่านออกจะกว้างใหญ่มีห้องหับมากมายหลายห้อง ข้าพเจ้าเองเดินทางผ่านมาเหน็ดเหนื่อยต้องการพั
已经是最新一章了
加载中