ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหนำ
1/
ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหนำ
จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร
(
)
已经是第一章了
ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหนำ
จ่านจือกับเฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไป่ชิงเดินทางลงใต้แดนกังหนำ (ตอนล่างของแม่น้ำฮวงโห) เหยียบย่างเข้าวันที่ห้าจึงบรรลุถึงริมทะเลสาบต้งถิงเมืองเยียว์หยังมณฑลหูหนัน หากเป็นมู่เหอกับไป่ชิงลำพังทั้งสองอาจใช้เวลาเดินทางน้อยกว่านี้มากนัก แต่ครั้งนี้มีจ่านจือร่วมเดินทางมาด้วย อาจเป็นเพราะเขาไม่เป็นวรยุทธ์ ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป เมื่อหลายวันก่อนมู่เหอกับไปชิงทั้งสองกำลังเดินทางกลับผา เพื่อไปแจ้งข่าวต่าง ๆที่เกิดขึ้นในบู๊ลิ้ม พร้อมกับแจ้งข่าวของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บุคคลที่เจ้าผาของทั้งสองให้เสาะหานั่นเอง บังเอิญระหว่างทางเดินผ่านหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนั้น พบเห็นจ่านจือกำลังถูกทำร้ายเข้าพอดี สองเฮียม่วยจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ด้วยความเวทนาสงสารยากนิ่งดูดาย เมื่อได้พบกันถือเป็นวาสนา เฟิ่นไป่ชิงเลยคิดว่าหากนางและพี่ชายออกหน้า นำพาจ่านจือไปหาเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน และฝากให้ท่านช่วยอบสั่งสอนท่านคงไม่ปฏิเสธ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเองท่านตัวคนเดียวลำพัง หากรับจ่านจือเอาไว้ช่วยงานคงสามารถแบ่งเบาแรงท่านได้ส่วนหนึ่ง ทั้งสองจึงอาสานำพาจ่านจือมาส่งตามแผนที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทิ้งไว้ให้ก่อนจากกันครั้งก่อนที่เนินเสือดาว เฟิ่นไป่ชิงนางเองแรกพบกับจ่านจือ นางกลับรู้สึกต้องชะตากับเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด หลังจากสนทนากันอยู่หลายคำ ทั้งสองอายุย่างเข้าสิบห้าปีเท่ากันอีกด้วย นางเห็นว่าจ่านจือเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรมและกตัญญูยิ่งนักคิดว่าคงส่งเสริมคนมิผิด หากการลงจากผาครั้งแรกของนาง ได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้วนางคิดเช่นนั้น หุบเขาผีเสื้อตามแผนที่ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเขียนบอกไว้อย่างละเอียด ตั้งอยู่เมืองเส้าหยัง ซึ่งจะต้องเดินทางตัดผ่านเมืองอี้หยัง เมืองโหลวตีจึงจะถึงเมืองเส้าหยัง ทั้งสองคำนวณว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางอีกราวหนึ่งถึงสองวันจึงบรรลุถึง คิดว่าคงเสาะหาที่อยู่ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนไม่ยากเย็นเท่าใดนัก ทั้งสองคิดไว้ว่าเมื่อส่งจ่านจือให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนแล้ว จะรีบเดินทางกลับผาทันที เพราะทั้งสองออกจากผามานานมากแล้วเกรงว่าท่านเจ้าผาจะเป็นห่วง ทั้งหมดเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้วจึงเห็นพ้องว่าควรหาโรงเตี้ยมสั่งอาหารรับประทานและพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางต่อ ทั้งหมดเดินทางมาอีกไม่ไกลเท่าใดนัก พบโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่อีกทั้งผู้คนมิพลุกพล่าน ทั้งหมดจึงตกลงใจเข้าพักที่โรงเตี้ยมแห่งนี้สักคืน หลังจากจับจองห้องพักพร้อมกับสั่งอาหารง่าย ๆไม่กี่อย่างแล้ว ทั้งหมดจึงนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน อีกทั้งยังสนทนาเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังโรงเตี้ยมที่หลบหนีมา ป่านฉะนี้ไม่ทราบว่าผลการประลองระหว่างบุรุษสองคนผลออกมาเป็นเช่นใด? วันนี้ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางมาทั้งวัน สองเฮียม่วยเกรงว่าจ่านจือไม่มีวรยุทธ์อาจเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป จึงบอกให้จ่านจือรับประทานอาหารให้มาก ๆวันรุ่งขึ้นจะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อ แต่จ่านจือบอกกับทั้งสองว่าเขามิได้เหน็ดเหนื่อยมากมายเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะจ่านจือมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่คราเดียว จ่านจือจึงไม่อ่อนเพลียเสียกำลังมากนัก ทั้งยังเกรงว่าเป็นการรบกวนสองเฮียม่วยจนเกินไป หากมัวแต่ชักช้าเสียเวลาเพียงแค่ทั้งสองยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ช่วยชีวิตของตนไว้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว ทั้งสองกลับมีน้ำใจนำพาเขามาฝากกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนอีก จ่านจือรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก หากมีโอกาสจะต้องตอบแทนบุญคุณทั้งสองอย่างแน่นอน ทั้งสามรับประทานอาหารจนหมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหย โรงเตี้ยมเล็ก ๆแห่งนี้มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่มากนัก ภายในโรงเตี้ยมประกอบด้วยเถ้าแก่อายุไม่เกินสี่สิบปีผู้หนึ่ง พ่อครัวและเสี่ยวเอ้ออีกสองคนเท่านั้น ทั้งสามเลือกห้องพักติดกันสองห้อง แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อนหลับนอน ไป่ชิงพักลำพังห้องหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก ส่วนอีกห้องซึ่งติดกันมู่เหอกับจ่านจืออยู่ร่วมห้องเดียวกันแยกเป็นสองเตียงนอน มู่เหอเองเขารู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย ด้วยเห็นว่าจ่านจือรู้จักวางตัวไม่ถือดีอวดเก่ง เวลาเจรจายังรู้จักใช้ถ้อยคำ แม้บางครั้งจะกล่าววาจาออกมาตรง ๆมิอ้อมค้อม คิดเช่นไรก็กล่าววาจาออกมาเช่นนั้น มู่เหอกลับถือว่านั่นคือการแสดงออกถึงความจริงใจมิได้แสแสร้ง หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ต่างรีบแยกย้ายล้มตัวลงนอน รุ่งสางจะได้รีบออกเดินทาง สองยาม(ประมาณยี่สิบสองนาฬิกา)บริเวณโดยรอบเงียบสงัด สายลมเฉื่อยฉิวพัดเบา ๆยอดไม้ใบหญ้าไหวโอนเอนตามสายลมช้า ๆทุกคนหลับสนิทแล้ว ทันใดนั้นเงาร่างสองสายปรากฏวูบแล้วหายวับไปทางด้านต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แท้จริงแล้วมีคนสะกดรอยตามทั้งสามมาจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ เป็นสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้านั่นเอง ทั้งสองเป็นเฮียตี๋(พี่ชายน้องชาย)กัน อดีตเคยเป็นโจรชั่วปล้นชิงม้าชาวบ้าน อาศัยอยู่นอกด่านหันหู่กวน ด้านเพลงยุทธ์ถือว่าร้ายกาจไม่เบา ทั้งสองใช้อาวุธนอกสารบบประเภทหนึ่ง เป็นกระบองเหล็กครึ่งท่อนยาวสามเชี๊ยะส่วนปลายทู่ โดยรอบกระบองมีเหล็กแหลมคล้ายตะปูโผล่ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก ส่วนปลายแหลมที่ยื่นออกมานี้มีปุ่มกลไกตรงด้ามจับควบคุม เมื่อกดปุ่มกลไกสามารถบังคับให้เหล็กปลายแหลมเหล่านั้น หดเข้าหรือยื่นออกจากตัวกระบองได้ตามต้องการ ทั้งสองสะพายอาวุธไว้กลางหลัง เมื่อเห็นทั้งสามเข้าห้องพักหลับสนิท สองเทวทูตซ้ายขวาล่าถอยออกมาไม่ไกลนัก หลายวันมานี้ออกติดตามทั้งสามมาห่าง ๆทั้งสองอายุไม่ห่างกันเท่าใดนัก เจียฮุยผู้พี่อายุสี่สิบสองปีส่วนเจียจิ้งผู้น้องอายุสี่สิบปี ดังนั้นเวลาเรียกหากันจึงไม่เรียกหาว่าเฮียตี๋เหมือนพี่น้องคู่อื่น ๆ “ดูท่าพวกมันสามคนคงหลับสนิทแล้ว เจ้ากับข้าก็พักผ่อนหลับนอนเอาแรงแถวนี้เถอะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ติดตามพวกมันต่อ หากเกิดผิดพลาดท่านหลิวกงกงจะตำหนิเอาได้” เทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่กล่าว เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องเห็นด้วย กล่าวตอบว่า “เอาเช่นนั้นก็ได้ แต่ข้าสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่มาด้วยกับมันเป็นใครกัน? ลักษณะท่าทางมิใช่ชาวยุทธ์ มีความสัมพันธ์อันใดกับมันสองคนนั่น?” “เอาไว้เราค่อยสืบดูก็แล้วกัน ข้าว่าตอนนี้เรารีบพักผ่อนก่อนดีกว่า อย่ามัวพูดมากอยู่เลย” แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายกันพักผ่อน ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากโรงเตี้ยมมากนัก เช้าตรู่คนทั้งสามจ่านจือกับมู่เหอและไป่ชิง รีบสั่งอาหารเป็นข้าวต้มรับประทานกับผัดผักไม่กี่อย่าง โต๊ะข้างๆห่างไปไม่ไกลนักนั่งอยู่ด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งเคยปรากฏตัวในค่ำคืนที่มีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า และเคยท้าประลองกับบุรุษสวมหน้ากากปีศาจนั่นเอง ทั้งสามมัวแต่เร่งรีบรับประทานอาหารเลยไม่ทันสังเกตเห็น บุรุษหนุ่มหน้าตาหมดจดคิ้วโก่งจมูกเล็กเรียว ริมฝีปากบางใบหน้ารีรูปไข่ เกล้าผมตึงเป็นมวยกลางศีรษะสวมรัดเกล้าสีเงินส่องประกาย ส่วนปลายผมยาวสยายลงมาเลยบ่าไม่กว้างเท่าใดนัก องคาพยพดูไปไม่คล้ายบุรุษไม่คล้ายสตรี เมื่อทั้งสามออกเดินทาง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นได้หายตัวไปก่อนหน้าไม่ถึงครึ่งก้านธูปมอด เมื่อทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จสรรพ เร่งรุดออกเดินทางทันที ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางตลอดทั้งวันโดยมิได้หยุดพัก มีเพียงแวะเติมน้ำดื่มยังลำธารระหว่างทางเท่านั้น เมื่อเวลาบ่ายคล้อยทั้งสามค่อยบรรลุเข้าเขตเมืองเส้าหยัง แนวเขาอู๋หลิ่งซันคือที่ตั้งของหุบเขาผีเสื้อ แนวเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลหูหนัน มีทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่มากมายหลายลูก ตามแผนที่ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเขียนไว้อย่างละเอียด ทั้งสามคิดว่าคงเสาะหาได้ไม่ยากเย็น ทั้งสามเร่งรุดเดินทางเข้าสู่หุบเขาผีเสื้อเพราะเกรงกลัวจะมืดค่ำเสียก่อน แท้ที่จริงบุรุษหนุ่มสำอางผู้ที่นั่งอยู่ในโรงเตี้ยมตอนที่ทั้งสามรับประทานอาหาร มิได้หายตัวไปไหน เพียงแต่ล่วงหน้ามาดักรอคนทั้งสามก่อนเข้าหุบเขาผีเสื้อไม่ไกลมากนัก หลังจากได้ยินทั้งสามสนทนาว่าจะเร่งรุดเดินทางเข้าหุบเขาผีเสื้อ บุรุษหนุ่มผู้นั้นตั้งใจมาดักรอคนทั้งสามมีจุดประสงค์อันใดกันแน่? หรือว่าวันนี้บุรุษหนุ่มผู้นี้คิดจะลงมือต่อทั้งสาม ด้วยฝ่ามืออำมหิตอีกครั้งก็อาจเป็นไปได้? บุรุษหนุ่มคนดังกล่าวล่วงหน้ามาไกลโข เมื่อถึงทางแยกก่อนเข้าหุบเขาผีเสื้อไม่มากนัก เห็นชายสามคนในมือถือกระบี่กำลังมุ่งหน้าตรงมายังตำแหน่งที่ตนดักรอคนทั้งสามคนอยู่พอดี บุรุษหนุ่มผู้นั้นรีบถลันวูบหลบลงข้างทาง อันมีกอหญ้าเขียวรกครึ้มแถบหนึ่งปกคลุม ที่แท้สามคนที่มุ่งตรงมา เป็นมันสามคนที่เข้าไปในหมู่บ้านเย้ยอรุณทำร้ายคน และลงมือฆ่าป้าหนิวแม่บุญธรรมของจ่านจือนั่นเอง อันที่จริงมันทั้งสามเป็นพวกกเฬวรากมีฝีมือติดตัวนิดหน่อย เป็นมิจฉาชีพหากินอยู่ในเมืองลั่วหยาง หลังจากหลิวซุ่นกงกงต้องการสืบหาข่าว จึงว่าจ้างผู้คนมากมายให้หาข่าวให้ โดยให้มือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นผู้ติดต่อว่าจ้าง ข่าวที่หลิวซุ่นกงกงต้องการทราบโดยด่วน มิใช่ข่าวการตายของชาวยุทธ์หรือข่าวของคนลี้ลับที่ปรากฏตัวขึ้นในในบู๊ลิ้มขณะนี้ แต่กลับเป็นข่าวคราวของวลีสี่ประโยคที่ปรากฏขึ้นในยุทธภพ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องนี้คือ หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ยนั่นเอง สามมิจฉาชีพได้รับการว่าจ้างจากหัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย เมื่อออกหาข่าวทำอวดโอ่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากรื้อค้นได้สิ่งของมีค่าของชาวบ้านล้วนหยิบฉวยมาเป็นของตนเอง ชาวบ้านที่ต่อสู้ขัดขืนถูกทำร้ายทุบตี มันทั้งสามใช้ชื่อหลิวซุ่นกงกงมาข่มขู่ผู้คนเรื่อยมา หลังจากฆ่าป้าหนิวตายกลัวทางการเอาผิด จึงหลบหนีลงแดนใต้กังหนำ สามคนชั่วปรึกษาหารือกันว่าเอาไว้เรื่องราวเงียบสงบลง แล้วค่อยย้อนกลับไปยังลั่วหยาง บังเอิญตอนนั่งพักระหว่างทางได้ยินสองเทวทูตซ้ายขวาสนทนากัน จึงรู้ว่าเป็นคนของหลิวซุ่นกงกงส่งมา หลังจากปรึกษากันแล้วแสร้งสร้างข่าวเท็จขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง แล้วนำไปแจ้งกับคนของหลิวกงกงทั้งสอง อาจบางทีได้ค่าตอบแทนเป็นเงินทองบ้างจึงได้ติดตามสองเทวทูตซ้ายขวามาห่าง ๆเมื่อเห็นสองเทวทูตซ้ายขวาหยุดพัก ทั้งสามคนจึงได้ล่วงหน้ามาก่อนช่วงหนึ่งเพื่อตั้งหลัก ช่วงเวลานั้นพอดีจ่านจือกับมู่เหอและไป่ชิงเดินทางผ่านมาพอดี พอคนชั่วทั้งสามพบเห็นจดจำได้ในทันที สามคนนั้นรู้แน่แก่ใจว่าไม่อาจต่อกรกับเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ประเมินตัวว่าสู้ทั้งสองมิได้จึงรีบวิ่งหนีจากไป ไป่ชิงมีสายตาปราดเปรียวรวดเร็วยิ่งเหลือบเห็นมันทั้งสามเข้าพอดี จึงส่งเสียงกล่าววาจากับพี่ชายของนางว่าให้รีบติดตามพวกมันไป พร้อมกับบอกกล่าวให้จ่านจือรอนางและมู่เหออยู่ตรงนี้ สั่งกำชับว่าอย่าไปไหนไกลเด็ดขาดให้รอจนกว่านางกับพี่ชายจะกลับมา นางกับมู่เหอจะติดตามไปฆ่าคนทั้งสาม แก้แค้นให้ป้าหนิวและจ่านจือ กล่าวจบทั้งสองทะยานติดตามสามคนชั่วไปไม่รอช้า ทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นติดตามมาได้ระยะหนึ่งเกือบไล่ทัน ไกลออกไปในคลองจักษุปรากฏชุดขาวสองนางสาดร่างพุ่งมาทางนี้พอดี ทั้งไป่ชิงและมู่เหอทั้งสองรีบชะลอฝีเท้าลง พร้อมทิ้งตัวหมอบร่างแนบชิดติดกับเนินเตี้ยใกล้ ๆลูกหนึ่ง ปล่อยให้ชายชั่วสามคนนั้นหลบหนีไปได้ ชุดขาวสองร่างพุ่งปราดเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วดุจวิญญาณผีภูตพราย เมื่อทั้งสองมาถึงทิ้งตัวลงอย่างแผ่วเบา เมื่อเท้าแตะพื้นเผยให้เห็นเป็นนางชีสองนาง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวสำหรับผู้ถือศีล พร้อมประดับประคำสีดำคล้องยาวจรดหน้าอก ทั้งสองกวาดสายตาไปมาสำรวจทั่วบริเวณ แม่ชีคนหน้าอายุไม่เกินหกสิบปี บนศีรษะสวมทับด้วยหมวกสีดำสำหรับผู้ถือศีล ในมือเพิ่มด้ามแส้สีดำสนิทเล่มหนึ่ง ขนแส้อ่อนหยุ่นสีขาวนวลดั่งเส้นไหมพลิ้วไหวไปมา คนหลังแต่งกายเฉกเช่นเดียวกัน อายุราวสี่ห้าสิบปีต่างกันที่ในมือเพิ่มกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง มู่เหอกับไปชิงเคยพบเห็นนางชีคนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง แถมยังเคยประมือกับนางด้วย แต่ที่ทั้งสองเฮียม่วยไม่ทราบนั่นคือ นางชีทั้งสองเป็นใคร? สังกัดค่ายพรรคสำนักใด? แต่ที่รู้แจ้งนางชีคนหน้ามีฝีมือสูงสุดยอด ครั้งนี้ยังเพิ่มแม่ชีหน้าตาดุร้ายมาอีกนางหนึ่ง ท่าร่างที่สาดเหินทะยานมาเมื่อครู่ไม่เป็นรองคนหน้าเท่าใดนัก ทั้งสองเฮียม่วยรีบใช้วิชาลมปราณปิดสกัดกั้นลมหายใจ พร้อมกับหยีดวงตาทั้งสองลงเป็นเส้นตรงแคบเก็บประกาย คอยดูแม่ชีสองนางโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ได้ยินนางชีทั้งสองสนทนากันว่า “มันอันตรธานไปแล้วซือไท่ ดูวิชาตัวเบาของมันสูงส่งยอดเยี่ยม ขนาดเราทั้งสองทุ่มเทฝีเท้าไล่ติดตามมาไม่ห่าง ยังสามารถหลบหนีหายไปจนได้” แม่ชีนางที่ถือกระบี่กล่าวต่อนางชีคนหน้า อีกทั้งเรียกหานางว่าซือไท่ “ดูท่าแล้วมันคงหนีไปได้ไม่ไกล นึกไม่ถึงติดตามมาจากนอกด่านเมืองลั่วหยาง สุดท้ายหลุดรอดสายตาไปจนได้ น่าเจ็บใจจริง ๆอย่ามัวรอช้าแยกย้ายกันดูให้ทั่ว แล้วไปพบกันที่ริมทะเลสาบต้งถิง” แม่ชีซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่ออกคำสั่ง พร้อมกับแยกย้ายจากไปดูท่าทางสองนางชีคงกำลังไล่ติดตามผู้ใดอยู่ เมื่อทั้งสองนางจากไปแล้วสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น รีบออกจากเนินเตี้ยที่ใช้ซ่อนตัวทันที “พี่ชาย นางคือแม่ชีนิรนามคนที่ข้าพเจ้าประมือด้วยในเมืองลั่วหยาง นางมาทำอะไรที่กังหนำกันนะ? ดูท่าทางไม่น่าไว้วางใจคงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน แถมครั้งนี้ยังเพิ่มแม่ชีท่าทางดุร้ายมาอีกนางหนึ่ง ลำพังนางชีนิรนามนางนั้นผู้เดียวนับว่าร้ายกาจมากแล้ว นี่ยังเพิ่มมาอีกหนึ่งนางดูแล้วช่างน่ากลัวนัก สามคนชั่วนั่นมันหนีไปไกลแล้ว เห็นทีเราแก้แค้นให้ท่านป้าหนิวกับจ่านจือไม่สำเร็จ” เฟิ่นมู่เหอกล่าวตอบว่า คงมิใช่เรื่องดีแน่ที่นางชีสองนางเดินทางมากังหนำ แล้วใครกัน? ที่แม่ชีสองนางติดตามมา ทั้งสองคิดว่าทิ้งจ่านจือมานานโขแล้ว จึงได้ชักชวนกันกลับไปหาเขาที่รอคอยอยู่ ทางด้านจ่านจือหลังจากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นคล้อยหลังไม่เท่าไหร่ สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งเดินทางมาถึงทางแยกพอดี พอพบเห็นจ่านจืออยู่ลำพังคนเดียวทั้งสองหันสบตากัน ใช่แล้วนี่เป็นโอกาสเหมาะมากหากจัดการจ่านจือไป เท่ากับหมดปัญหาไปอีกหนึ่งสิ่ง ที่สำคัญเด็กหนุ่มไร้วรยุทธ์เช่นเขาไม่มีราคาค่างวดอะไร เก็บไว้รังจะเป็นตัวยุ่งยากสร้างปัญหาทำเสียการใหญ่ เทวทูตซ้ายเจียฮุยจึงย่างสามขุมเข้าหาเด็กหนุ่มทางด้านหน้า จริง ๆแล้วเพียงฝ่ามือเดียวคงเพียงพอสำหรับการฆ่าเขา แต่ทว่าเทวทูตขวาเจียจิ้งอาศัยอยู่แต่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า มิได้ลงมือมาช้านานจึงอยากร่วมสนุกด้วย ดังนั้นจึงเดินเข้าหาจ่านจือทางด้านหลัง ทั้งสองเทวทูตไม่เร่งรีบ เมื่อเดินเข้าหาห่างไม่ถึงสามก้าว ทั้งสองกวาดสายตาสำรวจเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พลางคิดว่าน่าเสียดายบุคลิกภาพเด็กน้อยผู้นี้ไม่เลว องคาพยพเหมาะกับการฝึกวรยุทธ์ยิ่งนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้แล้วในเมื่อสวรรค์ไม่ต้องการนรกใยจะไม่ต้อนรับ จากนั้นส่งเสียงฮิฮะในลำคอ เทวทูตซ้ายเจียฮุยส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือว่า “อย่าได้ตกอกตกใจไปทารกน้อยอันน่ารัก เดี๋ยวบิดาทั้งสองจะช่วยสงเคราะห์ส่งทารกโสโครกเยี่ยงเจ้า ไปทัศนาปรโลกล่วงหน้าก่อนสักหลายปี ฮา ๆ” กล่าวพลางส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทางด้านเทวทูตขวาเจียจิ้งที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของจ่านจือ กล่าวโต้ตอบกลับมาว่า “แต่มีคนบอกข้าว่าปรโลกทั้งเหน็บหนาวทรมาน ทั้งมืดมิดมีอันใดน่าพิสมัย หรือว่าเจ้าจะให้ทารกน้อยอันประเสริฐผู้นี้ ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อคอยต้อนรับพวกเรา ตอนที่เจ้ากับข้าติดตามไปอีกหลายปีข้างหน้า ฮา ๆ” เทวทูตซ้ายเจียฮุยหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ ในคำพูดของเทวทูตขวาเจียจิ้ง มันรีบกล่าวเสริมเติมต่อว่า “แต่เอาเถอะเจ้าอย่าได้กังวลไป บิดาทั้งสองรับปากว่าจะหาคนส่งไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักหลายคน เจ้าจะได้ไม่อ้างว้างเดียวดายจนเกินไป” ทั้งสองเห็นว่าการฆ่าคนไร้เรื่องราว เห็นชีวิตคนเหมือนผักปลา ที่ผ่านมามีคนตายในน้ำมือมันทั้งสองนับไม่ถ้วน เมื่อสิ้นสงครามทางการได้หันมาปราบปรามโจรผู้ร้าย ทั้งสองเลยถูกหลิวซุ่นกงกงชักชวนให้ช่วยทำงาน มิเช่นนั้นจะต้องรับโทษทัณฑ์ที่เคยก่อเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาเทวทูตซ้ายขวาจึงสวามิภักดิ์ต่อหลิวซุ่นกงกง คอยทำงานให้หลิวกงกงและเก็บตัวอยู่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเรื่อยมา จนกระทั่งครั้งนี้ได้รับมอบหมายให้ทั้งสองคอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั่นเอง เมื่อกล่าววาจาจนสนุกเพียงพอแล้วทั้งสองพร้อมลงมือทันที คิดว่าขอซัดคนละหนึ่งฝ่ามือคงเพียงพอแล้ว ด้านบุรุษหนุ่มหน้าแฉล้มท่าทางสำรวยสำอาง ที่หลบซ่อนตัวอยู่หลังกอหญ้าข้างทางห่างไปไม่เท่าใดนัก ได้ยินคำพูดและเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงดีดกายออกจากที่ซ่อนกระโดดคราเดียวทิ้งตัวลงระหว่างคนทั้งสาม จากนั้นส่งเสียงดังสดใสว่า “แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับพวกท่านทั้งสองเท่าใดนัก จะด้วยวัยท่านทั้งสองนับว่าอาวุโสกว่าเด็กน้อยนั่น ประสบการณ์ท่านย่อมมีมากกว่าเด็กน้อยนั่น ข้าพเจ้าคิดว่าในปรโลกคงยินดีต้อนรับท่านสองคนมากกว่ากระมัง? แทนที่ท่านสองคนจะหาคนไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อยนั่น ข้าพเจ้าว่าท่านทั้งสองมิต้องลำบากออกแรงเสาะหาให้เหน็ดเหนื่อย ดูท่านสองคนสนิทสนมกันดี ข้าพเจ้าว่าท่านทั้งสองคนสมควรล่วงหน้าไปก่อนเด็กน้อยนั่นจะเหมาะกว่า ถือว่าให้เกียรติท่านทั้งสองที่อาวุโสคงอีกไม่กี่ปีล้วนต้องลาโลกนี้ไปอยู่ดีเดี๋ยวผู้เป็นตั่วกงกง(ปู่ใหญ่)เช่นข้าพเจ้า จะช่วยออกค่าเดินทางไปปรโลกให้ท่านทั้งสองสักหลายอีแปะดีหรือไม่?” บุรุษหนุ่มผู้นั้นกล่าววาจายียวนกวนโทสะ สองเทวทูตซ้ายขวาผาดโผนในยุทธจักรมา ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้วาจาล่วงเกินขนาดนี้มาก่อน แถมครั้งนี้คนที่กล่าววาจายังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหย่านมมารดาไม่เท่าไหร่อีกด้วย ทั้งสองแสดงอาการโกรธจนลมออกหู สองตาแดงก่ำจนเส้นเลือดฝอยในดวงตาแทบระเบิด ทั้งมิได้นัดแนะดึงกระบองที่กลางหลังออกมาถือไว้มั่น แล้วแยกย้ายเข้าหาบุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นกับจ่านจือโดยพร้อมเพรียงกัน เทวทูตขวาเจียจิ้งปากส่งเสียงตวาดว่า “ทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล่าววาจายอกย้อนวันนี้หากข้าทั้งสองไม่เอาชีวิตพวกเจ้าข้าไม่ขอเป็นคน เจียฮุยเจ้าจัดการเด็กนั่น ทารกน้อยฝีปากกล้าผู้นี้ข้าจัดการมันเอง” กล่าวจบเจียจิ้งเกร็งลมปราณใส่ตัวกระบอง พร้อมกับฟาดเฉียง ๆใส่ตำแหน่งหัวไหล่ของบุรุษหนุ่มสำอางด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน บุรุษหนุ่มเอียงตัววูบหลบพ้นสภาวะกระบองที่เกรี้ยวกราดดุดัน เมื่อกระบองฟาดผ่านศีรษะไปฝ่ามือข้างขวาบุรุษสำอางพลางยกขึ้น พร้อมกับสะบัดข้อมือปาดวูบเหนือข้อศอกของเทวทูตขวาเจียจิ้งประมาณสองนิ้ว เทวทูตขวาเจียจิ้งรู้สึกชาวูบตั้งแต่หัวไหล่จรดปลายนิ้ว แทบปล่อยกระบองหลุดจากมือ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวฝ่ามือที่สองของบุรุษหนุ่มสำอางตามติดมา ฝ่ามือกระแทกใส่กลางหลังอย่างถนัดถนี่ พร้อมกับพลังประหลาดแผ่พุ่งผ่านฝ่ามือเข้ามา เทวทูตขวาเจียจิ้งรู้สึกหายใจติดขัดรีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกาย พร้อมกับทิ้งตัวกลิ้งลงกับพื้นไปสามวาเศษ ในใจพลันคิดว่าเด็กน้อยนี่เป็นใครกัน? ฝีมือช่างร้ายกาจนักตั้งแต่ท่องยุทธภพมายังไม่เคยประมือกับพลังวิชาที่ร้ายกาจแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นหลังจากซัดฝ่ามือที่สองแล้ว หันกลับไปทางด้านจ่านจือ เห็นเขาถูกเทวทูตซ้ายเจียฮุยฟาดไปหนึ่งฝ่ามือร่างเซถลาถอยไปสองก้าว เทวทูตซ้ายเจียฮุยไม่ทันเหลียวกลับมาดูว่า เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องหมดท่าลุกไม่ขึ้น มันเงื้อกระบองตามติดฟาดใส่กลางศีรษะของจ่านจือ บุรุษหนุ่มสำอางจึงได้กระจ่างว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์ ไม่รอช้ารีบสะกิดเท้าคราวเดียวบรรลุถึงคนทั้งสอง พร้อมกับจ่อจี้ประกบนิ้วชี้กับนิ้วกลางแต่ไกลใส่ตำแหน่งชายโครงของเทวทูตซ้ายเจียฮุย แม้จะผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แต่ครานี้บุรุษหนุ่มสำอางลงมือรวดเร็วปานเทพยดา เทวทูตซ้ายเจียฮุยยามร้อนรนรีบวกกระบองกลับมาต้านทานป้องกัน แต่ไม่ทันการเมื่อสองนิ้วจี้ปราดถึงตำแหน่งชายโครงพร้อมกับพลังประหลาดสายหนึ่งบัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวเย็นแผ่พุ่งเข้ามา เทวทูติซ้ายเจียฮุยรู้สึกอึดอัดขัดข้องเลือดลมพลุกพล่าน พลังลมปราณในร่างแตกกระสานซ่านเซ็น บุรุษหนุ่มสำอางนั่นดึงมือกลับพร้อมกับยกเท้าขวาเตะโครมเข้าที่หัวไหล่ซ้ายของมัน จนร่างของเทวทูตซ้ายเจียฮุยกระเด็นมาชนกับเทวทูตขวาเจียจิ้งที่เพิ่งลุกขึ้นยืนมาได้ ทำเอาทั้งสองล้มโครมลงก้นกระแทกพื้นดังครืนใหญ่ ทั้งสองนึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมาพ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวนให้กับเด็กน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบ ทั้งสองรีบก้มเก็บกระบองแล้วรวบรวมกำลังเหินข้ามพุ่มไม้เตี้ยหนีไปอย่างรวดเร็ว บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นไม่คิดจะติดตามมันทั้งสองไป ก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือที่ครึ่งนั่งครึ่งยืน เอามือกุมหัวไหล่แต่ไม่บาดเจ็บอะไรมากนัก แล้วกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าทึ่ม? ดูท่าทางท่านคงไม่เป็นยุทธ์สินะ? ช่างกล้าดีไม่เจียมตัวไม่เป็นวรยุทธ์ยังคิดออกมาผาดโผนยุทธภพ ท่านคงเบื่อการมีชีวิตแล้วกระมัง? เจ้าทึ่มท่านมีชื่อเรียกหาว่ากระไร? รีบบอกกล่าวข้าพเจ้ามา” บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นตะคอกถามจ่านจือซึ่งยังยืนทำอะไรไม่ถูกด้วยความตกใจ ถึงแม้นจะถูกบุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นเรียกตนว่าเจ้าทึ่มหาได้โกรธเคืองไม่ เพียงแค่บุรุษหนุ่มคนนั้นยื่นมือเข้าขัดขวางสองเทวทูตซ้ายขวา และขับไล่มันทั้งสองไปถือว่าให้ความช่วยเหลือเขามากแล้ว ต่อให้ถูกเรียกหาว่าตัวโง่งมบัดซบยังมิคิดโกรธเคือง เมื่อลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว จ่านจือละล่ำละลักตอบไปตามตรงว่า “ข้าพเจ้าแซ่จ้าวชื่อจ่านจือ ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือ ข้าพเจ้ามาจากเมืองลั่วหยางกับสหายสองท่าน ครั้งก่อนจากมาโดยมิได้บอกกล่าวต้องขออภัย ใช่แล้วข้าพเจ้าไม่เป็นยุทธ์จึงถูกสองคนนั่นทำร้ายทุบตี ดีที่ท่านจอมยุทธ์ช่วยเหลือข้าพเจ้า เอ่อ..มิทราบว่าท่านจอมยุทธ์ละมีนามว่ากระไร?” จ่านจือถามกลับบ้าง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นแสดงท่าทางค้อนเขาวงหนึ่ง แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยจะโกรธหรือยินดียากคาดเดา บุรุษหนุ่มคนนั้นเดินสำรวจรอบ ๆตัวจ่านจือและคิดในใจว่า ที่แท้เป็นแค่เด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา จึงไม่คิดจะกล่าววาจาด้วยต่อไป หันกลับมาถลึงตาใส่จ่านจือ พร้อมกับกล่าวว่า “ชื่อของข้าพเจ้าคู่ควรให้ท่านเรียกหาหรืออย่างไร? ที่ผ่านมาคนที่รู้ชื่อของข้าพเจ้าล้วนต้องตาย ข้าพเจ้าเกลียดชังยิ่งนักกับคนที่ไม่เจียมตัว แต่เอาเถอะวันนี้ข้าพเจ้าอารมณ์ดีจะไม่ฆ่าคน ยิ่งทึ่ม ๆเยี่ยงท่านด้วยแล้วไม่คู่ควร ออ แล้วไม่ต้องมาขอบคุณข้าพเจ้า ความจริงข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจจะช่วยท่านสักหน่อย ข้าพเจ้าเพียงอยากสนุกสนานหาความสำราญกับมันสองคนนั่นมากกว่า จริง ๆแล้วข้าพเจ้าคิดจะฆ่าท่านเสียด้วยซ้ำแต่ดูท่านทึ่ม ๆโง่ ๆลงมือไปหาได้สนุกสนานไม่ อีกอย่างข้าพเจ้ากลัวจะเสียการใหญ่ สหายสองคนของท่านกำลังมาข้าพเจ้าไปก่อน” แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นก่อนจะผละจากไป กลับกล่าววาจาอีกหนึ่งประโยคว่า “เรียกข้าพเจ้าว่าอาผิงจำไว้เจ้าทึ่ม” กล่าวจบพลิ้วร่างข้ามเนินเตี้ยไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้จ่านจือยืนทำท่าทางมึนงงอยู่เพียงลำพัง เขาเองไม่เข้าใจบุรุษหนุ่มผู้นั้นกล่าววาจาว่าจะฆ่าเขา แต่สีหน้าท่าทางและสายตาที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม จ่านจือเองรู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นช่างดูแปลก ๆไปสักหน่อย เหมือนมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับทำให้จ่านจือรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้นเงาร่างของบุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นจะลับหายไปนานแล้ว แต่ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นคล้ายยังจับจ้องมองเขาอยู่ก็มิปาน จ่านจือรีบสะบัดศีรษะสลัดความคิดฟุ้งซ่าน เมื่อได้ยินเสียงของมู่เหอดังขึ้น “จ่านจือ!! เกิดอะไรขึ้นทำไม่เจ้าถึงถูกทำร้าย เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?” เมื่อมู่เหอและไปชิงมาถึง ทั้งสองเห็นสภาพโดยรอบทราบได้ทันทีว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น เห็นจ่านจือบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ เมื่อสอบถามเรื่องราวจ่านจือบอกไปไม่ปิดบัง ไป่ชิงตรวจดูไม่มีบาดแผลร้ายแรงเพียงปรากฏรอยฟกช้ำนิดหน่อยไม่เป็นอะไรมากทายาครั้งสองครั้งคงหาย ทั้งหมดจึงรีบมุ่งหน้าสู่หุบเขาผีเสื้อทันที ขณะที่เดินทางไป่ชิงกับมู่เหอเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ ที่ทั้งสองติดตามคนชั่วทั้งสามคนไปเพื่อแก้แค้นให้จ่านจือ แต่บังเอิญพบเห็นแม่ชีสองนางที่เคยประมือที่ลั่วหยางให้เขาฟัง เป็นเหตุให้คนชั่วสามคนหลบหนีไปได้ จ่านจือไม่กล่าวโทษเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แค่ทั้งสองคิดจะแก้แค้นแทนเขาเพียงนี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว พร้อมกันนั้นไป่ชิงยังบอกให้จ่านจือระวังตัวหากเจอะเจอแม่ชีสองนางนั่น หากพบเจอที่ไหนให้รีบหลบหนีไปให้ไกลอย่าได้ไปตอแยกับนาง หุบเขาผีเสื้อเป็นเขาสองลูกตั้งชนกัน ดูไปคล้ายกับผีเสื้อกำลังจะโบยบิน ตรงกลางระหว่างช่องเขามีทางเดินแคบ ๆวกวนคดเคี้ยวไปมาคล้ายดั่งเขาวงกต หากไม่มีแผนที่คิดว่าคงหาทางเข้าไม่เจอ แต่ดูเหมือนสองเฮียม่วยตระกูลเฟิ่นจะชำนาญเรื่องแผนที่เป็นพิเศษ เพียงดูจากลายเส้นซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนวาดเอาไว้ให้ ก็เดินคดเคี้ยวตามตำแหน่งบนลายเส้นไม่นานทั้งสามผ่านช่องเขาเข้ามามายังด้านในหุบเขา จ่านจือเองนับว่าเป็นคนหัวไวยังดูลายเส้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก บ่ายคล้อยมากแล้วทั้งหมดเดินมาถึงลำธารน้ำใสแห่งหนึ่ง ข้ามลำธารแล้วเดินอ้อมไปประมาณสิบลี้เป็นพื้นราบ บ้านหลังหนึ่งปลูกสร้างจากไม้ไผ่แข็งแรงตั้งตระหง่าน กินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเดินเข้าใกล้ได้กลิ่นฉุนแตะจมูกจึงรู้แน่ว่ามาไม่ผิด ทั้งหมดจึงนั่งพักลงตรงนอกชานซึ่งเป็นแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งพักผ่อน ภายในบ้านเงียบสงบไร้ผู้คน มู่เหอลุกขึ้นเดินสำรวจดูรอบ ๆปรากฏไม่พบเห็นท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน คิดว่าคงออกไปทำธุระหรือไม่ก็ออกไปหาสมุนไพรในป่าเขา ทันใดนั้นพื้นดินใต้แคร่ไม้ไผ่มีเสียงผิดปกติดังกุกกัก ทั้งจ่านจือและไป่ชิงรีบถลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงครืดครืนพอดังพร้อมกับตัวแคร่ขยับเคลื่อนเลื่อนออก เผยให้เห็นประตูลับบานหนึ่ง เมื่อเปิดออกเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเดินขึ้นบันไดมา ที่แท้มีห้องลับใต้ดิน ห้องลับนี้สามรถเข้าออกจากหุบเขาได้อีกเส้นทางหนึ่งโดยไร้ผู้พบเห็น ทั้งสามรีบคารวะท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นรีบแนะนำท่านโอสถสายรุ้งให้จ่านจือได้รู้จัก จ่านจือประสานมือคารวะท่านโอสถสายรุ้งโดยไม่รั้งรอ เมื่อเห็นบุคลิกภาพของท่านแล้วทำให้เขามีความหวังขึ้นมาทันที คิดว่าท่านท่าทางใจดีมีเมตตากรุณา สีหน้าปรากฏรอยยิ้มดูโอบอ้อมอารี ถึงเช่นไรท่านคงมิเสือกใสไล่ส่งตนซึ่งกำลังขาดที่พึ่งพิง หลังจากจ่านจือคารวะท่านเจ้าโอสถแล้ว เขากล่าวแนะนำตัวเองว่า “ข้าพเจ้าแซ่จ้าวชื่อจ่านจือคารวะท่านเจ้าโอสถ มารดาบุญธรรมข้าพเจ้าถูกคนชั่วฆ่าตาย เคราะห์ดีที่ได้ท่านมู่เหอและแม่นางไป่ชิงยื่นมือช่วยเหลือข้าพเจ้าไว้ มิหนำซ้ำยังอาสาพาข้าพเจ้าเดินทางลงใต้มายังสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะมาสร้างความลำบากใหญ่หลวงให้กับท่านเจ้าโอสถแล้ว” จ่านจือบอกเล่าถึงสาเหตุที่เฮียม่วยแซ่เฟิ่นพาตนเดินทางมา ด้วยกิริยาและน้ำเสียงที่อ่อนน้อมถ่อมตน แววตายังดูชวนน่าสงสารเอ็นดูอีกด้วย จ่านจือกล่าวเพียงเท่านี้แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นกล่าววาจาต่อ ทั้งหมดนั่งลงสนทนากันบนแคร่ไม้ไผ่แห่งนั้น เฮียม่วยแซ่เฟิ่นบอกเล่าเรื่อ
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่ 4 ฝึกปรือวิชาแดนกังหนำ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A