ตอนที่ 5 ผาแห่งสายลม   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 5 ผาแห่งสายลม
เฟิ่นไป่ชิงกับเฟิ่นมู่เหอเมื่อออกจากหุบเขาผีเสื้อแล้ว ทั้งสองต่างเร่งรุดเดินทางกลับจงหยวนโดยทันที ในวันที่ทั้งสองเดินทางออกจากหุบเขาผีเสื้อโดยใช้เส้นทางลับเร้นกายออกมา ระหว่างทางปลอดโปร่งไร้เรื่องราวเส้นทางบางช่วงที่เป็นเนินเขาทอดต่ำลงมาสองเฮียม่วยต่างใช้ท่าร่างวิ่งตะบึงแทนการเดินปกติ แลเห็นเพียงเงาร่างสองสายคล้ายเหยี่ยวคู่หนึ่งโฉบถลาลงมายังเบื้องล่างของเชิงเขา กล่าวย้อนถึงบุรุษหนุ่มสำอางผู้ซึ่งติดตามทั้งสองและจ่านจือไปยังหุบเขาผีเสื้อ วันที่ทั้งสามคนเดินทางเข้าหุบเขาผีเสื้อไปแล้ว บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นได้ติดตามคนทั้งสามไปห่าง ๆแต่ด้วยเส้นทางคดเคี้ยววกวนเป็นเขาวงกต เป็นเหตุให้บุรุษหนุ่มหน้าอ่อนผู้นั้นคลาดคลาจากทั้งสามคน บุรุษน้อยผู้นั้นพยายามเสาะหาเส้นทางเข้าหุบเขาผีเสื้ออยู่เนิ่นนานกลับหาไม่พบ ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งวกวนสับสน จึงมิกล้าล่วงก้าวลึกเข้าไปมากกว่านี้ เมื่อหาเส้นทางเข้าหุบผีเสื้อไม่พบ บุรุษหนุ่มผู้นั้นจึงย้อนออกมาดักรอทั้งหมดอยู่ปากทางเข้าหุบเขาผีเสื้อ ผ่านไปหลายวันไร้ซึ่งวี่แววของคนทั้งสาม ไม่มีผู้ใดออกมาจากหุบเขาผีเสื้อแม้แต่คนเดียว แท้จริงบุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นต้องการร่องรอยของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเท่านั้นจ่านจือหาสำคัญต่อมันไม่ เบาะแสที่ต้องการคือยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่ไป่ชิงพกพาติดตัวต่างหาก เมื่อไม่เห็นผู้ใดออกมาจากหุบเขาผีเสื้อ บุรุษหนุ่มผู้นั้นจึงผละจากไปมุ่งตรงสู่ริมทะเลสาบต้งถิง แต่ก่อนจากไปอดมิได้ที่จะหันกลับไปมองหุบเขาเบื้องหลังคล้ายดั่งยังไม่อยากจากไปกระนั้น หรือว่าในจิตใจบุรุษหนุ่มผู้นั้นยังระลึกนึกถึงผู้หนึ่งผู้ใดอยู่อีกคน? พอหันกลับมาพลิ้วกายหายไปดุจควันเบาบางกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบต้งถิง กล่าวถึงสองนางชีลึกลับหลังจากแยกย้ายออกตามหาเจ้าโอสถสายรุ้ง ทั้งสองใช้เวลาเสาะหาอยู่หลายวันยังไร้วี่แววเบาะแส นางทั้งสองจึงเดินทางไปยังริมทะเลสาบต้งถิงที่นัดหมายกันไว้ ริมทะเลสาบต้งถิงนางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่เดินทางมาถึงก่อนครึ่งชั่วยาม ส่วนแม่ชีอีกนางหนึ่งเร่งรุดมาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองนางเมื่อพบเจอกันต่างกล่าวตรงกัน ว่าไม่พบร่องรอยของบุคคลที่ทั้งสองติดตามเสาะหา นางชีซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไท่กล่าววาจาต่อแม่ชีอีกนางขึ้นว่า “เจ้าคนผู้นั้นหายตัวไปไร้ร่องรอยช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก ค่ำคืนที่ข้าพเจ้าบังเอิญผ่านไปได้ยินมันสนทนากับหนุ่มสาวคู่หนึ่งบริเวณเนินเสือดาว เสียดายคืนนั้นข้าพเจ้าไปล่าช้าก้าวหนึ่งเลยได้ยินการสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค แต่ยังพอจับใจความได้บ้างเป็นบางส่วน มิหนำซ้ำค่ำคืนนั้นยังเป็นคืนแรมเลยมองไม่เห็นใบหน้ามัน มันเองคล้ายระมัดระวังตัวสวมใส่หมวกคลุมหน้าอยู่ตลอดเวลา ที่แท้มันผู้นั้นเป็นใครกัน? พฤติกรรมของมันไม่น่าไว้วางใจชวนสงสัยยิ่งนัก” ในค่ำคืนนั้นตอนนางเดินทางมาถึง กลับพบว่านอกจากนางแล้วยังมีชุดดำผู้หนึ่งที่แอบฟังการสนทนาของบุคคลทั้งสามอยู่ นางเลยมิกล้าเขยื้อนเคลื่อนกายเข้าไปใกล้มากกว่านั้น อีกอย่างเกรงว่าคนทั้งสามจะรู้ตัว ดังนั้นบางช่วงบางตอนที่ทั้งสามสนทนากันนางจึงจับใจความมิได้ แต่ที่นางได้ยินและให้ความสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่เจ้าโอสถสายรุ้งมอบให้แก่ไป่ชิงนั่นเอง เมื่อนางชีผู้นี้รู้ตัวว่ายังมีชุดดำอีกคนที่ทราบเรื่องยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ แน่นอนในเมื่อนางยังสนใจอยากได้มาครอบครอง แล้วคนชุดดำนั่นเล่าใยจะไม่สนใจ ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าคนชุดดำลึกลับผู้นั้นเป็นใครมาจากสารทิศใด? แต่รังสีอำมหิตที่แผ่พุ่งออกมาจากตัวมัน คิดว่าคนชุดดำผู้นั่นคงมีวรยุทธ์อันร้ายกาจ ดังนั้นจึงได้ติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งไปห่าง ๆและส่งข่าวถึงคนไว้ใจคือเด็กหนุ่มสำอางผู้นั้นให้ติดตามพี่น้องแซ่เฟิ่นไป ส่วนตัวนางเรียกตัวแม่ชีอีกหนึ่งนางมาเสริมกำลังติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งลงใต้แดนกังหนำ นางติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งตั้งแต่เนินเสือดาว เจ้าโอสถสายรุ้งมีวิชาตัวเบาอันแสนยอดเยี่ยมสูงส่ง นางชีลึกลับจึงสิ้นเปลืองแรงไปไม่น้อย เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งออกสู่นอกด่านหันหู่กวนแล้ว มุ่งหน้าไปอีกเป็นระยะทางเกือบร้อยลี้ ก่อนที่แม่ชีอีกนางจะมาสมทบ นางชีทั้งสองติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งไปห่าง ๆจนกระทั้งเจ้าโอสถสายรุ้งหายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งปลูกสร้างอยู่กลางสวนมีต้นไม้ร่มรื่น เส้นทางเข้าไปยังตัวบ้านจะต้องเดินข้ามสะพานตอไม้เล็กๆที่ปักไว้ในบึงน้ำทำเป็นสะพานทอดข้ามไปยังบ้านหลังนั้น นอกจากสะพานและบึงน้ำแล้วไม่มีสิ่งใดให้นางใช้หลบซ่อนตัว จึงมิกล้าบุ่มบ่ามติดตามเข้าไปกลัวว่าคนที่อยู่ภายในจะรู้ตัว ทั้งสองรอคอยอยู่บริเวณนั้นอย่างอดทน ผ่านไปสองวันปรากฏว่าเจ้าโอสถสายรุ้งยังไม่ออกมาจึงรู้ตัวว่าผิดท่า ทั้งสองนางเลยบุกเข้าไปในบ้านหลังนั้นพอเข้าไปภายในกลับไม่พบผู้ใด จึงรู้ว่าหลงกลเจ้าโอสถสายรุ้งเข้าแล้ว ที่แท้เจ้าโอสถสายรุ้งรู้ตัวว่าถูกติดตามตั้งแต่เนินเสือดาวแล้ว แต่ทำทีเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกติดตามแล้ววางแผนหลอกนางทั้งสองไปยังบ้านหลังนั้น ก่อนจะหลบหนีออกมาทางด้านหลังเร่งเดินทางกลับหุบเขาผีเสื้อ แต่เจ้าโอสถสายรุ้งกลับคิดไม่ถึงว่านางทั้งสองจะติดตามมาทัน โดยคาดเดามิได้ว่านางชีทั้งสองทราบได้เช่นไรว่าตนใช้เส้นทางนี้ คล้ายกับนางมีตางอกเงยไม่อาจสลัดหลุดพ้น หรือไม่อาจมีคนส่งข่าวบอกนางทั้งสองเกี่ยวกับการเดินทางของท่านตลอดเส้นทาง ดังนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งจึงใช้เส้นทางลับสลัดหลุดจากนางทั้งสองเข้าหุบเขาผีเสื้อไป “แล้วท่านคิดจะกระทำเช่นไรต่อไป? ในเมื่อคนที่พวกเราติดตามตัวก็หายไป จนป่านนี้ยังหาร่องรอยไม่เจอ สถานที่แถบนี้ล้วนเป็นแดนกังหนำพวกเรามิคุ้นเคยเท่าใดนัก อีกทั้งท่านเองเก็บตัวมาช้านานไม่ได้ออกมาจากที่พำนักเป็นเวลาสิบกว่าปี คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมิเหมือนเดิม” แม่ชีอีกนางกล่าววาจาสอบถามว่าควรจะกระทำเช่นไรต่อไป? เมื่อนางชีที่ในมือถือแซ่ปัดขนอ่อนแสดงท่าทีใช้ความคิดมิตอบคำถาม แม่ชีนางนั้นจึงกล่าววาจาสืบต่อว่า “แผนการใหญ่ของท่านคือยึดครองยุทธภพ ถึงแม้เพียงแค่เริ่มต้นแต่ก็ถือว่ามีหนทางสำเร็จได้ ทุกฝ่ายต่างแยกย้ายกันทำงานตามแผนการท่าน ผลงานล่าสุดน่าจะเป็นวลีสี่ประโยคที่ท่านให้คนของเราปล่อยออกสู่ยุทธจักร คิดไม่ถึงจริง ๆเมื่อสำนักต่าง ๆได้ข่าวล้วนมีการเคลื่อนไหว ยุทธภพที่หลับไหลไปเนิ่นนานเริ่มจะฟื้นตื่นแล้ว แต่ว่าฝ่ามือลึกลับที่สังหารคนตายไปหลายคนนั่นมิใช่ฝีมือของท่านแล้วเป็นฝีมือใครกัน? ท่านพอทราบแล้วหรือไม่?” “ข้าพเจ้าเองก็ขบคิดไม่ออกว่าเป็นฝีมือผู้ใด? ฝ่ามือเดียวสามารถทำลายอวัยวะภายในจนแหลกเหลว ช่างเป็นวิชาฝ่ามือที่ร้ายกาจล้ำลึก ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ออกว่าใครกันที่ยังฝึกวิชาร้ายกาจนี้สำเร็จ ในอดีตวิชาฝ่ามือนี้แม้แต่ผู้ที่คิดค้นขึ้นยังไม่ต้องการฝึก อีกทั้งยังมิยอมถ่ายทอดให้กับศิษย์คนใดในสำนักอีกด้วย” นางชีที่ถูกแม่ชีอีกนางเรียกซือไท่ตอบพลางทำท่าทางครุ่นคิด แสดงว่านางชีผู้นี้จะต้องรู้จักวิชาฝ่ามือชั่วร้ายนี้ หลังจากครุ่นคิดแล้วนางชีจึงกล่าววาจาต่อว่า “ปรมาจารย์ผู้นั้นถึงแม้ไม่ฝึกปรือและมิยอมถ่ายทอดให้กับศิษย์ ครั้นจะทำลายทิ้งไปก็เสียดายความรู้ที่คิดค้นวิชาฝ่ามือนี้ขึ้นมา ดังนั้นจึงได้เขียนเป็นคัมภีร์ฝากไว้บนผืนจีวรที่ใช้คลุมกายของหลวงจีนเส้าหลินท่านหนึ่งซึ่งเป็นสหายของท่าน ด้วยเชื่อว่าหลวงจีนท่านนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม หากสักวันได้พบเจอผู้มีบุญวาสนาที่มีจิตใจเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมก็ให้มอบให้ผู้มีวาสนาผู้นั้นได้ร่ำเรียนวิชาฝ่ามือนี้” นางชีเล่าต่ออีกว่าต่อมาหลวงจีนเส้าหลินท่านนั้น ได้คัดลอกข้อความเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ไว้ในหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่ง โดยท่านได้สอดแทรกตัวอักษรซึ่งเป็นเคล็ดวิชาเหล่านั้นไว้กับข้อความในหนังสือธรรมมะเล่มนั้นอย่างแนบเนียน หากผู้ที่อ่านหนังสือธรรมมะเล่มนั้นเป็นผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนจนแตกฉาน และไม่มีความรอบรู้ลึกซึ้งตีความก็มิอาจพบเห็นความนัยของวิชาฝ่ามือนี้ได้เป็นอันขาด ต่อมาสุยเหวินตี้ฮ่องเต้พระราชาในเวลานั้น เสด็จมายังวัดเส้าหลินและได้เที่ยวชมหอพระคัมภีร์ของวัดเส้าหลิน สุยเหวินตี้ฮ่องแต้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นยิ่งนัก พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็นหนังสือธรรมมะหลายเล่มจึงสนพระทัยใฝ่ศึกษา พระองค์กลับสนพระทัยใคร่ศึกษาหลักธรรมในหนังสือธรรมมะเล่มดังกล่าวเข้าพอดี ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในขณะนั้นว่าพระองค์สนพระทัยหนังสือเล่มนั้น อยากจะขอนำกลับไปศึกษายังพระราชวังของพระองค์ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินท่านจึงถวายหนังสือธรรมมะเล่มนั้นให้กับสุยเหวินตี้ฮ่องแต้ไป ตั้งแต่บัดนั้นมาหนังสือเล่มนั้นก็ถูกเก็บอยู่ในพระราชวัง จนกระทั่งสุยเหวินตี้ฮ่องแต้สวรรคตลงอย่างกะทันหัน สุยหยางตี้ฮ่องแต้พระราชาองค์ต่อมาซึ่งเป็นโอรสองค์ที่สอง เป็นพระราชาที่ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ได้แต่เสพสุขหาความสำราญกับสาวงามและท่องเที่ยว จึงไม่สนใจหนังสือธรรมะเหล่านั้น ในที่สุดหนังสือเล่มนั้นก็หายสาบสูญไป ส่วนเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้บนผืนจีวรของหลวงจีนท่านนั้น ต่อมาท่านเองหลังจากสละตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ได้เดินทางไปยังหน้าผาแห่งหนึ่งพร้อมกับนั่งกรรมฐานอยู่ริมหน้าผาแห่งนั้นเป็นเวลาหลายเดือน บรรดาศิษย์ของท่านต่างเดินทางไปเชิญท่านกลับเส้าหลิน แต่ท่านปฏิเสธกล่าวแต่เพียงว่าท่านระลึกนึกถึงสหายรักของท่านผู้หนึ่ง ด้วยสหายของท่านดับชีวิตลงใต้ผาแห่งนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมด้วย หลังจากกล่าวกับศิษย์จบแล้ว หลวงจีนท่านนั้นทิ้งร่างลงสู่ก้นหุบเหวแห่งนั้น เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้จึงสูญหายไปตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้มีคนเสียชีวิตภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ได้เช่นไร? พอเล่าถึงตอนนี้นางชีซือไท่ทอดถอนใจคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าววาจากับแม่ชีอีกนางว่า “ส่วนคนชุดดำที่ข้าพเจ้าพบเห็นที่เนินเสือดาวเมื่อเดือนก่อน มันเป็นใครกันดูลักษณะแล้วเป็นผู้ทักษะยุทธ์ เจ้าให้คนของเราสืบสาวหาเบาะแสของคนผู้นี้ ข้าพเจ้าเกรงว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการยึดครองยุทธภพของข้าพเจ้าในภายหน้าได้” แม่ชีอีกนางพยักหน้ารับทราบคำสั่ง เอ่ยกล่าวว่าจะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งโดยเร็ว นางชีซือไท่จึงกล่าววาจาต่อว่า “นับว่าโชคดีที่ค่ำคืนนั้นมันเข้าใจว่าข้าพเจ้าคือคนของอารามอเทวตา ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้วิชาดรรชนีท่าหนึ่งคล้ายคลึงกับดรรชนีเทวะของอารามอเทวตา ดูท่าแล้วมันเชื่อสนิทว่าข้าพเจ้าเป็นคนของอารามอเทวตาจริง ๆข้าพเจ้าเองมิได้ปรากฏตัวให้มันเห็น ปล่อยให้คนชุดดำเข้าใจผิดคิดเช่นนั้น มันจะได้มุ่งไปคิดบัญชีกับอารามอเทวตา ส่วนข้าพเจ้าคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ฮา ๆ” นางชีซือไท่ส่งเสียงหัวร่ออย่างชอบอกชอบใจ จนแม่ชีอีกนางอดมิได้ที่จะหัวร่อตามด้วยบุคลิกภาพอันเจ้าเล่ห์มีแผนการชั่วช้าต่ำทราม นางชีซือไท่หลังจากสิ้นเสียงหัวร่อแล้ว กล่าวต่อกับแม่ชีนางนั้นว่า “มิหนำซ้ำข้าพเจ้ากับท่านเราทั้งสองต่างปลอมตัวเป็นนางชี ก่อกวนให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนของอารามอเทวตา ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างต้องเหยียบย่างเข้าอารามอเทวตาเพื่อไปคิดบัญชี เมื่อถึงตอนนั้นยุทธภพเกิดความวุ่ยวายแผนการของข้าพเจ้ายิ่งง่ายดายดุจนับนิ้วบนฝ่ามือ หมากตานี้ข้าพเจ้ายังต้องการกระตุ้นโทสะเจ้าสำนักนางชีเทวราชให้มันเผยตัวออกมา” ที่แท้นางชีสองนางเป็นตัวปลอม ความจริงแล้วคนของอารามอเทวตาเก็บตัวอยู่ในอารามมิเคยออกมาสู่ยุทธภพ ตามคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้ต่อหน้าบรรดาชาวยุทธ์ของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว แต่นางมีข้อแม้ว่าหากเมื่อใดชาวยุทธ์บุกรุกเข้าบริเวณอารามอเทวตาของนาง เมื่อนั้นคำสัตย์ที่เคยให้ไว้เป็นอันสิ้นสุด ครั้งนี้สตรีสองนางใช้ชื่อของอารามอเทวตา อีกทั้งปลอมตัวเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่วและคนของอารามอเทวตาออกมาก่อกวน คิดว่าครั้งนี้นางชีเทวราชชิ้วโส่วต้องออกมาคิดบัญชีเอาคืนอย่างแน่นอน ขณะที่แม่ชีปลอมสองนางกำลังสนทนากันอยู่อย่างออกรส คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นพร้อมกับแยกย้ายหนึ่งฝ่ามือ หนึ่งเท้าจู่โจมเข้าหานางชีสองนางอย่างดุดัน เสียงหวืดหวือของพลังฝ่ามือและเท้าปะทะกันอย่างเกรี้ยวกราดหวาดเสียว นางชีสองนางยกฝ่ามือขึ้นต้านทานกระบวนท่าพลิกร่างพลิ้วถอยไปหนึ่งก้าว ผู้มาวาดเท้าเป็นครึ่งวงกลมเข้าหานางชีที่ถูกเรียกหาเป็นซือไท่ แม่ชีปลอมนางนั้นถลันหลบวูบไปด้านข้าง คนที่ลงมือเห็นเช่นนั้นกระแทกฝ่ามือกลับหลังเข้าหาแม่ชีอีกนางโดยไม่เหลียวหน้ากลับมาดู พลังฝ่ามือเกรี้ยวกราดดุดัน แม่ชีนางนั้นลอยตัวตีลังกาหลบหลีกพลังฝ่ามือ ส่วนแม่ชีอีกนางวาดเท้าออกทางด้านซ้ายตีลังกาเฉียง ๆทิ้งร่างสู่พื้น เมื่อนางชีสองนางทิ้งร่างสู่พื้นร้องพร้อมเพรียงกันว่า “เหยาเยี่ยนผิง!!” “เสียวเอี้ย!!” (นายน้อย) ที่แท้ผู้ที่มาคือบุรุษหนุ่มสำอางที่ผละจากหุบเขาผีเสื้อนั่นเอง เมื่อถูกเรียกชื่อประสานมือคารวะนางชีทั้งสองพร้อมกับส่งเสียงว่า “ท่านแม่” “อี้บ้อ”(ท่านน้า) บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นเรียกนางชีซือไท่ว่าท่านแม่ และเรียกแม่ชีอีกนางว่าท่านน้า พลางกวาดสายตาสำรวจนางชีทั้งสอง พร้อมกับเดินวนรอบกายของนางชีทั้งสองแล้วตบมืออย่างชื่นชม กล่าวว่า “เยี่ยนผิงนับถือท่านทั้งสองยิ่งนักดูไม่ออกจริง ๆว่าท่านแม่กับท่านน้าปลอมเป็นแม่ชีได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ วิชาปลอมแปลงโฉมของท่านแม่และท่านน้าช่างยอดเยี่ยม แม้แต่ข้าพเจ้าเองยังแทบดูไม่ออก” นางชีผู้ที่ซึ่งถูกเรียกหาว่าท่านแม่กล่าวตอบบุรุษสำอางว่า “เจ้าเองกลับปลอมเป็นบุรุษได้แนบเนียนไร้ที่ติเช่นกัน” แม่ชีอีกนางกล่าวเสริมว่า “สมแล้วที่เป็นนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์” ทั้งสามสนทนาเรื่องราวกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปมุ่งหน้าสู่มณฑลเหอหนัน วันเวลาค่อย ๆคืบคลานผ่านไปช้า ๆจากหนึ่งวันผันผ่านเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนเคลื่อนไปเป็นปี ยุทธภพยังคงเกิดเรื่องราวมากมายให้สะสาง แต่ภายในหุบเขาผีเสื้อกลับเงียบสงบ นี่ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาห้าปีแล้วที่จ่านจืออาศัยอยู่ที่นี่ ห้าปีที่ผ่านมาเขาตั้งใจฝึกวิชาท่าร่างไม่ว่างเว้น ในยามนี้จ่านจือไม่เหมือนคนก่อนอีกแล้ว ตอนนี้บุคลิกภาพสง่างามเป็นคนฝึกยุทธ์ รู้สึกว่าเวลาตนเองก้าวเดินยกมือวางเท้ารู้สึกสบายปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีอาการเหนื่อยหอบแม้แต่น้อย นอกจากนั้นสายตายังมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้เพียงแมลงตัวน้อยนิดบินผ่านไปด้วยความเร็ว ทว่าจ่านจือกลับมองเห็นว่าแมลงเหล่านั้นช่างบินเชื่องช้าอืดอาดเสียยิ่งนัก แทบจะเห็นทุกอิริยาบถของการขยับปีกหรือเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆของแมลงเหล่านั้นได้โดยละเอียดมิตกหล่น ก่อนหน้านั้นจ่านจือมิอาจกระทำได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่ง นอกจากสายตาปราดเปรียวว่องไวแล้ว โสตประสาทสัมผัสยังมีปฏิกิริยาเหนือคนธรรมดาทั่วไป แม้เพียงเข็มเล่มเล็ก ๆร่วงหล่นตกพื้นยังมิอาจหลุดพ้นโสตของจ่านจือไปได้ หรือแม้แต่ยามนอนหลับไหล หากมีสิ่งผิดปกติยังมิอาจหลุดรอดการรับรู้ไปได้ จ่านจือยินดียิ่งนัก ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งบอกว่านี้เป็นความก้าวหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ หากปรับพื้นฐานจนแข็งแกร่งแล้ว ท่านจะสอนเคล็ดวิชากำลังภายในให้ตามขั้นตอน แต่จ่านจือกลับคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา จ่านจือพอใจกับชีวิตในหุบเขาผีเสื้อเป็นที่สุด ไม่ต้องออกไปพบหน้าผู้คน วัน ๆหากไม่ออกไปหาสมุนไพร ก็ช่วยท่านเจ้าโอสถสายรุ้งปรุงยา ว่างก็ฝึกปรือฝีมือนึกแล้วอดคิดถึงป้าหนิวแม่บุญธรรมขึ้นมามิได้ หากป้าหนิวยังอยู่ป่านนี้ท่านคงทำอาหารอร่อย ๆกับน้ำแกงให้จ่านจือรับประทาน เมฆคล้อยลอยละลิ่วเป็นกลุ่มก้อน บ้างเป็นสีขาวนวลเย็นตา บ้างสีหม่นคล้ำจนออกดำ บางครั้งลอยต่ำบางครั้งลอยละลิ่วขึ้นสู่เบื้องสูง บางครั้งถูกสายลมพัดลอยเข้าปะทะยังหน้าผาดังครืนครืน ผาแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่สูงปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบแทบไม่เห็นยอดเขา จะมีผู้ใดคาดคิดว่ายอดผาสูงแห่งนี้ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ได้? ผาแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า ผาแห่งสายลม ยี่สิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความดำรงคงอยู่ของผาแห่งนี้ บนหน้าผาปลูกบ้านเรือนอยู่จำนวนยี่สิบกว่าหลัง มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณสี่สิบกว่าคน คนที่อยู่บนผาแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ลงจากผาแม้แต่ครั้งเดียว ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าผาเสียก่อน จะมีก็เพียงสองคนที่ได้รับมอบหมายให้ลงจากเขา นั่นก็คือเฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิงนั่นเอง วันนี้ท่านเจ้าผาเรียกทั้งสองเข้าพบแต่เช้าตรู่ หลังจากสองเฮียม่วยมู่เหอและไป่ชิง รับประทานอาหารเช้าเสร็จสรรพแล้ว ก็รีบตรงไปพบท่านเจ้าผาโดยไม่อิดออด “พี่ชายท่านเจ้าผาเรียกหาเราพี่น้องแต่เช้า ไม่แน่นักว่าจะมีธุระสำคัญอันใดสำคัญ พี่ชายพอจะทราบบ้างหรือไม่?” นางรบเร้าถามพี่ชายของนางตามประสา ตั้งแต่เล็กไป่ชิงชอบเล่นสนุกซุกซนไม่อยู่นิ่ง ที่สำคัญนางเป็นคนช่างเจรจาหากต้องการทราบสิ่งใด แม้นมิได้คำตอบนางจะรบเร้าซักถามอยู่ร่ำไป “พี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผาเรียกเราพี่น้อง คงต้องการสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพที่เราทั้งสองพบเห็นมา อีกหกเดือนก็จะถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินแล้ว” เฟิ่นมู่เหอกล่าวตามความคิดเห็น เพราะท่านเจ้าผาเก็บตัวฝึกวิชามาสิบห้าปี โดยไม่เคยลงจากผาแม้แต่ก้าวเดียว ครั้งนี้พอใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์ดูท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษ “แล้วพี่ชายคิดว่าท่านเจ้าผาจะไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ด้วยหรือไม่? ถ้าไปก็วิเศษหากพบเจอแม่ชีนิรนามนางนั้น จะให้ท่านเจ้าผาสั่งสอนนางเสียให้เข็ดหลาบ” เฟิ่นไป่ชิงกล่าวพลางทำน้ำเสียงขึ้นจมูก เฟิ่นมู่เหอไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นในส่วนนี้ เพราะเขาเองก็มิอาจคาดเดาความคิดของท่านเจ้าผาได้เช่นกัน แต่ตามความคิดของเขาคิดว่าท่านเจ้าผาดูกระตือรือร้นกับงานชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงตอบคำถามน้องสาวไปว่า “พี่ชายคิดว่ารอท่านเจ้าผาให้คำตอบเองจะเหมาะกว่า ข้าเองไม่กล้าคาดเดาความคิดท่าน นี่ก็จะถึงที่พักของท่านเจ้าผาแล้วรีบเข้าไปด้านในกันเถอะ” กล่าวพลางทั้งสองรีบก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อก้าวเข้ามามองเห็นด้านในนั่งอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคน คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางรูปร่างไม่สูงมากนักค่อนข้างท้วมนิดๆสวมชุดประจำเผ่าที่ตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่จำความได้ทั้งสองก็แต่งชุดประจำเผ่ามากระทั่งบัดนี้ ท่านเจ้าผาบอกว่าเพื่อป้องกันสายตาชาวยุทธ์ เลยแต่งชุดชาวเผ่าจะได้ไม่เป็นที่สังเกตเห็นว่าเป็นชาวยุทธ์นั่นเอง ส่วนคนอื่น ๆยืนเป็นแถวตอนสองแถวด้านหน้า เว้นว่างทางเดินไว้เป็นช่อง เมื่อเห็นทั้งสองมาถึงต่างขยับหลีกทางให้เข้าไป ทั้งสองตรงเข้าไปเห็นใบหน้าของท่านเจ้าผาในวันนี้ ดูเปล่งปลั่งสดใสคล้ายกับว่ามีข่าวดีอันใดเกิดขึ้น ทั้งสองทำความเคารพท่านเจ้าผาพลางถอยมาด้านข้าง “ข้าพเจ้ามู่เหอ คารวะท่านเจ้าผา” มู่เหอกล่าวขึ้นก่อน หลังจากนั้นไปชิงกล่าวขึ้นบ้างว่า “ข้าพเจ้าไป่ชิง คารวะท่านเจ้าผาเช่นกัน” หลังจากถอยหลังมายืนเรียบร้อยแล้ว มู่เหอกล่าวกับท่านเจ้าผาว่า “ท่านเจ้าผาเรียกหาเราสองคนพี่น้อง มีอันใดเรียกใช้ให้ไปกระทำหรือไม่?” ชายร่างท้วมอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปี สวมชุดคล้ายชาวเผ่าศีรษะโพกผ้าสีหม่น ใบหน้าแม้ดูเรียบเฉยไร้เรื่องราวแต่ก็แฝงไปด้วยความสุขท่านเป็นเจ้าผาแห่งนี้ เมื่อถูกมู่เหอกล่าวถามขยับร่างพลางส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า “เหมาต้า ยกเข้ามา” กล่าวจบคนที่ถูกเรียกชื่อว่าเหมาต้ายกชุดน้ำชาเข้ามา ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลพร้อมกับควันโชยกรุ่นโขมง ชาที่ใช้ชงล้วนเป็นชาที่ปลูกขึ้นเองภายในผาแห่งนี้ อาจเพราะอยู่บนพื้นที่สูงทำให้ชามีคุณภาพดี มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษท่านเจ้าผาโปรดปรานการดื่มชายิ่งนัก เหมาต้าเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าผา เรียกว่าเป็นมือขวานับว่ามิผิด ท่านเจ้าผาถ่ายทอดเพลงยุทธ์ให้แก่เหมาต้าชุดหนึ่ง ฝีมือกล้าแข็งห้าวหาญอายุราวสี่สิบปีเศษ เมื่อเหมาต้ายกน้ำชาเข้ามาแล้ว อีกไม่นานนักคนอื่น ๆที่หลงเหลือต่างทยอยเข้ามา ทำให้ไป่ชิงเพิ่มความสงสัยเป็นทวีคูณ ที่ท่านเจ้าผาเรียกตนและพี่ชายเข้าพบวันนี้ต้องมีสิ่งใดเป็นพิเศษอย่างแน่นอน พอทุกคนภายในผาแห่งนี้ทยอยเข้ามาภายในหมดสิ้นแล้ว เจ้าผาจึงเรียกคนทั้งสาม อันได้แก่เหมาต้า เฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไปชิงออกมายังด้านหน้าคนอื่น ๆและกล่าวกับทั้งสามว่า “เหมาต้า มู่เหอ เจ้าด้วยไป่ชิง คุกเข่าลง” ตอนแรกไป่ชิงอดตกใจเล็กน้อยมิได้ ท่านเจ้าผาสั่งให้ทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้า และมีคนอื่น ๆในผาเข้ามาร่วมด้วยครบทุกคน เกรงว่าท่านเจ้าผาจะลงโทษแต่พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าได้กระทำความผิดอันใด เหมาต้ากับเฟิ่นมู่เหอรีบคุกเข่าลงตรงหน้าท่านเจ้าผา ส่วนไป่ชิงยังคงยืนกระทำสิ่งไม่ถูก เฟิ่นมู่เหอเลยส่งเสียงเรียกไป่ชิงเบา ๆพร้อมกับดึงแขนของไป่ชิงให้คุกเข่าลง เมื่อทั้งสามคุกเข่าเรียบร้อยแล้วท่านเจ้าผาจึงกล่าวต่อว่า “วันนี้ตัวเราเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ขอประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า ที่ผ่านมาเจ้าทั้งสามคนต่างช่วยงานเราเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราต้องหนักใจ ที่สำคัญเจ้าทั้งสามต่างรักใคร่ ร่วมกันทำงานในผาไม่มีสิ่งใดผิดพลาดบกพร่อง ตัวเราเองแม้ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เจ้าทั้งสาม แต่ไม่เคยเรียกหาในฐานะศิษย์อาจารย์ วันนี้เราจึงได้ให้เหมาต้าซึ่งเป็นพี่ใหญ่ที่สุดเตรียมน้ำชามา เพื่อที่เราจะรับเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์อย่างถูกต้องตามประเพณีการปฏิบัติ” ทั้งสามได้ยินท่านเจ้าผากล่าววาจาว่ายอมรับทั้งสามเป็นศิษย์ของท่านอย่างถูกต้อง ต่างยินดีจนพูดไม่ออกเหมาต้ารีบรินน้ำชาใส่ถ้วยทั้งสี่ใบ พร้อมกับส่งให้กับท่านเจ้าผาก่อนเป็นอันดับแรก มู่เหอและไป่ชิงรับถ้วยน้ำชาซึ่งเหมาต้ายื่นส่งให้ ทั้งสามยกน้ำชาคารวะต่อหน้าท่านเจ้าผาเกาทิเหว่ยโดยพร้อมกัน ท่านเจ้าผาหัวร่ออย่างมีความสุข ร้องดัง ๆว่า “ดื่ม” ทั้งหมดยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดถ้วยพร้อมกัน เมื่อวางถ้วยน้ำชาแล้วทั้งสามโขกศีรษะกับพื้นแปดครั้งโดยพร้อมเพรียง เจ้าผาแสดงสีหน้าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด คนอื่น ๆที่เข้ามาต่างส่งเสียงแสดงความยินดีกับทั้งสามจนกึกก้อง เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยหัวร่อและกล่าวว่า “ดี ดี ต่อจากนี้พวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์ของเราอย่างถูกต้อง เหมาต้าเจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ มู่เหอเจ้าเป็นศิษย์พี่รอง ส่วนไป่ชิงเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก เจ้าทั้งสามเมื่อเป็นศิษย์ของเราแล้วต้องรักใคร่กันให้มาก ๆมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอย่าได้คิดแก่งแย่งชิงดีกัน ที่ผ่านมาเราไม่ให้พวกเจ้าเรียกหาเราว่าอาจารย์ เพราะเหตุใดนั้นเรามีเหตุผลแล้วเราจะค่อย ๆเล่าให้พวกเจ้าฟัง” ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สั่งให้คนอื่น ๆออกไปได้ คงเหลือไว้แต่เพียงศิษย์ทั้งสาม ท่านเจ้าผาสั่งให้ทั้งสามนั่งลงพร้อมกับเล่าถึงสาเหตุ ว่าเพราะเหตุใดที่ผ่านมาท่านจึงไม่ยอมรับทั้งสามเป็นศิษย์ และยังสั่งห้ามมิให้ทั้งสามเรียกหาว่าอาจารย์อีกด้วย ท่านเริ่มเล่าโดยคร่าว ๆว่า เมื่อหลายปีก่อนมีปรมาจารย์ท่านหนึ่งไม่ขอเอ่ยนาม ได้รับศิษย์ห้าคนซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่ได้ก่อตั้งสำนัก ท่านเดินทางท่องยุทธภพไปทุกหนแห่งกับศิษย์ทั้งหมดของท่าน พร้อมกับอบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ทั้งห้าไปด้วย ศิษย์ทั้งห้าต่างรักใคร่สามัคคี แต่ละคนล้วนฝึกวิชาชุดหนึ่งเรียกว่าวิชา สี่ธาตุกำเนิดจักรวาล สี่ธาตุแยกออกเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ปรมาจารย์ท่านนั้นได้บัญญัติวิชาชุดนี้ขึ้นมา โดยแยกย่อยออกเป็นห้าวิชา อาศัยจุดเด่นของธาตุทั้งสี่ได้แก่ วิชาภูผาทะลวงใจ(ดิน) วิชาเก้าชโลทร(น้ำ) วิชาวายุกรีดนภา(ลม) วิชาฝ่ามืออัคคี(ไฟ) วิชาดาวดึงส์(จักรวาล) ศิษย์ทั้งห้าคนแยกกันฝึกวิชาของตนจนสำเร็จ ในยุคนั้นชาวยุทธ์ต่างครั่นคร้ามต่อศิษย์ทั้งห้าของปรมาจารย์ท่านนั้น เพราะหากศิษย์ทั้งห้าพร้อมใจกันใช้วิชาทั้งพร้อมเพรียงกัน เมื่อใช้ออกต่างเกื้อหนุนส่งเสริมแก่กันไร้ช่องโหว่ พลังทั้งห้าถ่ายทอดต่อเนื่องถึงกันต่อมิยั้งหยุด เมื่อดินน้ำลมไฟรวมกันก่อเกิดเป็นจักรวาล พลังที่ปล่อยออกมาจึงดุดันและแข็งกร้าวแห่งธาตุดินและธาตุไฟ พร้อมยังแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นแห่งธาตุน้ำและธาตุลม ปรมาจารย์ท่านนั้นภูมิใจในตัวศิษย์ทั้งห้าเป็นอย่างมาก แต่แล้วต่อมาศิษย์ทั้งห้าเกิดบาดหมางกันภายในสำนัก ด้วยสาเหตุใดไม่อยากเอ่ย ในที่สุดความเป็นศิษย์ร่วมสำนักและอาจารย์ต่างสิ้นสุดลง สุดท้ายศิษย์ทั้งห้าได้เร้นกายจากยุทธภพ ส่วนปรมาจารย์ท่านนั้นก็หายสาบสูญไป ดังนั้นที่ผ่านมาอาจารย์จึงไม่อยากรับศิษย์ เกรงว่าจะเป็นเหมือนปรมาจารย์ท่านนั้นที่รับศิษย์แล้วเกิดเรื่องราวมากมาย จนมีคนล้มตายนับร้อยยุทธภพแทบลุกเป็นไฟ เมื่ออาจารย์รับเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์แล้ว หวังว่าเจ้าทั้งสามจะรักใคร่กันดุจพี่น้อง ไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอาจารย์ค่อยเล่าให้ฟังในภายหลัง กล่าวพลางท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยลุกจากเก้าอี้เดินช้า ๆพร้อมกับกล่าวว่า “จากวันนี้ถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ยังเหลือเวลาอีกหกเดือนถือว่าไม่มากนัก ดังนั้นตั้งแต่วันนี้อาจารย์จะเข้มงวดเจ้าทั้งสามให้ฝึกวิชาอย่างหนัก ในบู๊ลิ้มมีผู้ทักษะยุทธ์มากมาย แม้ว่าฝีมือของเจ้าทั้งสามจะกล้าแกร่ง แต่ในยุทธภพมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายลำพังฝีมืออาจไม่เพียงพอ ดังนั้นตั้งวันนี้พวกเจ้าจงตั้งใจศึกษาให้ดี” ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย สนทนาพลางเดินนำศิษย์ทั้งสามออกยังเบื้องนอก ผาแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ตลอดทั้งวันและคืนจะมีสายลมพัดผ่าน ยามสายลมปะทะกับหน้าผาเกิดเสียงดังหวีดหวิวครืนครืนตลอดเวลา เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยเดินนำหน้าศิษย์ทั้งสามไปยังสถานที่ด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งเป็นลานกว้างพื้นราบเรียบ กล่าวต่อว่า “อาจารย์เองเก็บตัวอยู่บนผาแห่งนี้สิบห้าปี ไม่เคยย่างกรายเข้าสู่ยุทธภพไม่แน่นักกลับไปครั้งนี้ แม้แต่อาจารย์เองอาจจะไม่อยู่ในสายตาของชาวยุทธ์ทั้งหลายแล้ว แต่ถึงอย่างไรอาจารย์ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าเจ้าสามคน พวกเจ้าอาศัยอยู่แต่บนผาอาจไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ดังนั้นระยะเวลาที่เหลือเราจะทุ่มเทให้แก่พวกเจ้า หลังจากนั้นจะให้เจ้าทั้งสามออกไปหาประสบการณ์ในยุทธภพ ตั้งแต่วันนี้จงตั้งใจร่ำเรียนวิชาอย่าเกียจคร้านเด็ดขาด” เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยหันไปทางไป่ชิงแล้วกล่าวถามว่า “วิชาอาวุธลับเข็มโปรยบุพผาร่วงเจ้าฝึกไปถึงไหนแล้ว ก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่?” เฟิ่นไปชิงส่งยิ้มอย่างเอาใจรีบตอบเจ้าผาเกาทิเหว่ยไปว่า “ก้าวหน้าไปหลายส่วนแล้วท่านอาจารย์ หลังจากศิษย์ได้ทดลองใช้กับแม่ชีนางหนึ่ง แต่ศิษย์ขบคิดไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดตอนที่ใช้ออกไปตอนนั้นเพียงฝึกได้สามส่วน แต่ท่าทางแม่ชีนิรนามนางนั้นกลับตื่นตระหนกและล่าถอยไป อาจารย์พอเดาออกบ้างหรือไม่?” ไป่ชิงรีบถามเจ้าผาแห่งสายลมเกี่ยวกับแม่ชีนางหนึ่ง ซึ่งนางเคยประมือตอนลงจากเขา ท่าทางนางมีท่าทีตื่นตระหนกเมื่อตนเองใช้เข็มโปรยบุพผาร่วงออกไป “วิชาอาวุธลับชุดนี้เป็นวิชาเฉพาะ ที่อาจารย์ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์อีกที คิดว่าในใต้หล้าคงมีเพียงอาจารย์และเจ้าที่ใช้วิชานี้ หากฝึกจนสำเร็จจะมีความร้ายกาจศัตรูยากหลบพ้น เพียงผู้ใช้รู้จักใช้ลมปราณกำลังภายในบังคับทิศทาง ควบคุมน้ำหนักและแฝงกำลังภายในเข้าไปในตัวเข็มตอนซัดออก แม้เข็มเล่มเล็ก ๆแต่ทว่าความร้ายกาจไม่ต่างจากกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งเลยทีเดียว ความยากจะอยู่ที่เคล็ดลับในการบรรจุพลังเข้าสู่ตัวเข็มก่อนซัดขว้าง วันนี้อาจารย์จะอธิบายเคล็ดลับให้เจ้าฟังโดยละเอียด จากคำบอกเล่าของเจ้าคิดว่าแม่ชีนางนั้นคงรู้จักวิชาเข็มโปรยบุพผาร่วงที่เจ้าใช้ออกไปก็เป็นได้” เจ้าผาแห่งสายล
已经是最新一章了
加载中