บทที่ 6 เรือนหอ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 6 เรือนหอ
บทที่ 6 เรือนหอ เช้าวันต่อมาขณะครอบครัวเรากำลังนั่งทานข้าวเช้าอยู่นั้น สองพี่น้องเพื่อนบ้านก็เดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ทุกสายตาหันไปมองผู้มาใหม่ แต่ทว่าสายตาของป๊ามองราวกับต้องการกระชากวิญญาณทั้งสองหนุ่มออกจากร่างซะอย่างนั้น “สวัสดีครับเฮีย” ยูโรเป็นฝ่ายยกมือไหว้ก่อน “สวัสดีครับป๊า” ตามด้วยนายฟีฟ่า “ป๊าพ่อมึงดิ แค่ว่าที่ลูกเขยยังไม่ได้เป็นสักหน่อยโว้ย แล้วนี่พากันยกโขยงมาบ้านข้าทำไม” ป๊าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร แต่ทว่าทั้งสองหนุ่มยังคงยืนนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ผมมารับเจ้านายไปโรงเรียนครับ” “ส่วนผมมารับขวัญข้าวครับ...เฮีย” ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ทำหน้าเซ็ง บอกไม่ให้มารับแต่ก็มาจนได้สิน่า สีหน้าเขาชื่นมื่นราวกับดีใจที่ได้แกล้งฉัน “กินข้าวเช้ามากันหรือยังล่ะทั้งสองหนุ่ม” นั่นเสียงม๊าฉันเอง ท่านยังคงเป็นแม่บ้านผู้สุดแสนจะใจดีเสมอ ไม่เคยคิดร้ายหรือมีเรื่องกับใคร “พวกเราทานมาแล้วครับ” ยูโรตอบ แต่กลับมองมายังน้องชายฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม นั่นทำให้เจ้านายรีบวางช้อนส้อมลงทันที “ม๊าผมอิ่มแล้วไปโรงเรียนแล้วนะครับ” “ทำไมแกต้องให้ไอ้นี่มารับไปโรงเรียนทุกวันด้วยวะ ป๊าจะซื้อมอไซต์ให้ก็ไม่เอา” ป๊าบ่นหลังจากทนเห็นลูกชายของคู่อริมารับมาส่งไปโรงเรียนทุกวัน “ก็ผมกับเจ้านายเป็นเพื่อนสนิทกันนี่ครับเฮีย” “ฉันไม่ได้ถามแกไอ้เด็กเมื่อวานซืน โตขึ้นท่าทางจะกวนตีนเก่งเหมือนพ่อสินะ” เมื่อโดนเอ็ดยูโรก็เม้มปากเลิกคิ้ว กลอกลูกตาไปมาอย่างกวน ๆ สมกับที่ป๊าขนานนามให้เลย “ผม...ไม่ชอบขับรถเองอ่ะป๊า อีกอย่างยูโรก็ขับรถเก่งทางเดียวกันไปด้วยกันสะดวกและประหยัดดีออกครับ” “แต่ฉันกลัวมันจะพาแกไปเสียคนน่ะสิ” “โด่วว ทำไมเฮียพูดแบบนั้นล่ะครับ ถึงผมจะชอบแว๊นซ์แต่ก็ตั้งใจเรียนนะครับผม” “ใครสั่งให้พูดห๊ะ!” ป๊าหันไปตวาดใส่ ตั้งแต่สองหนุ่มเข้ามาข้าวแทบไม่ตกถึงท้องป๊าเลยสักคำ “ป๊านั่นเพื่อนผมนะทำไมต้องตวาดด้วย เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะ ผมไปแล้วเดี๋ยวสาย” เจ้านายลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกมือไหว้ คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วจูงมือเพื่อนรักออกจากบ้านไป “อ้าว! ไอ้ลูกคนนี้เห็นเพื่อนดีกว่าพ่อซะงั้น กลับบ้านมาฉันเอาแกตายแน่” ป๊าตะโกนตามหลังเด็กทั้งสอง จากนั้นหันไปมองอีกคนที่เหลือ “แล้วไอ้คนนี้จะเอาไงว่ามา” “ไม่เอาไงครับเฮีย รอขวัญข้าวทานข้าวเสร็จผมก็จะไป” “แล้วทำไมต้องมารับด้วยล่ะ หรือว่าแกบอกให้มันมารับ” ป๊าหันมาถามฉันด้วยสีหน้าขึงขัง ทำเป็นหวงลูกสาวไปได้นะป๊า แต่ก็สนับสนุนให้ฉันแต่งงานกับเขา “เฮียก็ถามซอกแซกอยู่นั่นล่ะ อีกไม่กี่วันลูกก็จะแต่งงานกันแล้ว ปล่อย ๆ ซะบ้างเถอะนะ” ม๊าเริ่มทนกับความเยอะของป๊าไม่ได้จึงเป็นฝ่ายปรามบ้าง อีกอย่างถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้ทานข้าวกันพอพดี “แต่ตอนนี้ยังไม่แต่งนี่นา” “หนูให้เขามารับเองล่ะป๊า เมื่อวานตอนไปลองชุดเผอิญรถเสียที่ร้านโบ๊ทน่ะค่ะ” ที่ฉันยอมโกหกเพราะไม่อยากให้ป๊าโวยวายไปมากกว่านี้ “แสดงว่าเมื่อคืนมากับมันสินะ” “ใช่ค่ะ...งั้นหนูไปแล้วนะป๊าม๊า เดี๋ยวไปทำงานสาย” ว่าแล้วฉันก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นลุกขึ้นหยิบกระเป๋าตามรอยเจ้านายไปอีกคน เมื่อเห็นอย่างนั้นนายฟีฟ่าก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น หวังจะให้ฉันจับแล้วจูงออกไปเหมือนที่เจ้านายทำกับยูโร แต่ฉันไม่สนเดินผ่านหน้าไปปล่อยให้ยืนหน้าเอ๋ออยู่อย่างนั้น เดินมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าบ้านฉันก็ยืนกอดอกรอ จู่ ๆ ภาพเมื่อวานที่เกิดขึ้นในรถคันนี้ก็ผุดในหัวขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้ฉันต้องสะบัดหน้าละลายความคิดพวกนั้นออกไป “ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอเป็นคนบอกให้ฉันมารับหึ ๆ” “ฉันแค่ไม่อยากให้ป๊าโวยวายก็เท่านั้น จะไปได้ยังเสียเวลามามากแล้ว” เขายักคิ้ว ยิ้มหน้าระรื่น ล้วงกุญแจออกมาปลดล็อกประตูรถ ขึ้นมาบนรถแล้วเขาก็หันมายิ้มมุมปากให้ราวกับมีแผนร้ายในใจ “ยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไง” “เปล๊า!! ทำไมเหรอกลัวฉันจะพาไปขายหรือไง” เขาว่าพลางคาดเข็มขัดนิรภัย “ทำไมฉันต้องกลัว เกิดมาไม่เคยกลัวใครรู้ไว้ด้วย” “งั้นไปกันเถอะครับที่รัก เดี๋ยวสามีอดใจไม่ไหวทำเหมือนเมื่อวานนี้อีก” “ไอ้บ้า ถ้าพูดแบบนี้อีกฉันเอาตายแน่” ฉันถลึงตามองเขากลบความเขินอายเอาไว้ อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มแล้วออกรถไป ฉันมัวแต่คุยไลน์กับเพื่อนทั้งสองจนไม่ได้สนใจมองทาง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเขาก็ขับรถพาออกนอกเส้นทางเสียแล้ว “นี่มันไม่ใช่ทางไปร้านโบ๊ทนี่นา นายจะพาฉันไปไหน” “ฉลาดนี่ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า” “นายฟีฟ่า! มันจะมากเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวฉันก็ไปทำงานสายหรอก” “ก็แล้วแต่งานเธอไม่ใช่งานฉันนี่นา ถ้ากลัวเสียประวัติก็โทรไปลาซะสิ” เขาพูดหน้าตายจากนั้นก็ผิวปากอย่างอารมณ์ดี “จอดรถเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันจะโดด” “ไม่จอดถ้าอยากตายนักก็เชิญ ถึงยังไงวันนี้เธอต้องไปกับฉัน” “ไอ้บ้า! จะมามัดมือชกกันอย่างนี้ไม่ได้นะ” “นั่งเงียบ ๆ อีกหน่อยก็ถึงแล้วน่า รับรองว่ามีสาระแน่นอน” “สาระบ้าบออะไร นายมันเป็นผู้ชายเฮงซวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอรู้ไว้ด้วย” “ถึงฉันจะเฮงซวยในสายตาเธอ แต่เธอก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียไอ้คนเฮงซวยคนนี้แล้วนะอย่าลืม” “แค่ครั้งเดียวก็เรียกว่าเมียงั้นเหรอ แสดงว่านายคงมีเมียเป็นร้อยคนแล้วมั้ง” “ถูกต้อง! แต่คนที่ท้องมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นน่ะสิ เธอควรจะดีใจนะที่ได้แต่งงานกับผู้ชายเจ้าเสน่ห์อย่างฉัน” “เลิกพูดเถอะถ้าจะเอาดีเข้าตัวเองอย่างนี้ ฉันเบื่อจะพูดกับคนอย่างนายแล้ว” ฉันเสหน้าไปมองยังข้างทาง ก็พบว่าเป็นหมู่บ้านจัดสรรโครงการดัง จึงหันกลับมามองหน้าคนที่กำลังขับรถอีกครั้ง “เอะใจบ้างหรือยัง” “นายพาฉันมาที่นี่ทำไม” “อ้าว! ก็ตกลงจะซื้อบ้านกันไม่ใช่เหรอฉันเลยพามาดูไง เห็นว่าที่นี่บรรยากาศดีเหมาะให้ลูกเราวิ่งเล่นไงล่ะ” “ฉันไม่ชอบ” ฉันรีบปฏิเสธเสียงแข็งเพราะไม่อยากให้เขาได้หน้า เรื่องนี้ฉันต้องเป็นคนจัดการเอง “แต่ฉันชอบและตกลงจองเรียบร้อยแล้ว แต่งงานปุ๊บย้ายมาอยู่ที่นี่ปั๊บ” “นายจะบ้าหรือไง ทำไมไม่บอกฉันก่อนเรื่องใหญ่ขนาดนี้” “จะบอกหรือไม่บอกเธอก็มีอคติกับฉันอยู่แล้วนี่ อย่างเธอมันต้องเจอแบบนี้ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่เธอจะออกคำสั่งได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอกนะ” เขาว่าพลางขับรถเข้าไปในลานจอด ที่นี่บรรยากาศดีอย่างที่เขาบอกจริง ๆ เห็นครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจเลยทีเดียว “ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมให้ผู้ชายกดหัวเหมือนกัน” “โอเคงั้นเจอกันคนละครึ่งทางโอเคมะ” “ยังไง?” ฉันขมวดคิ้วมองหน้าเขา เจอกันคนละครึ่งทางหมายความว่ายังไงกันนะ “ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ ส่วนเธอก็ห้ามมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับลูก” ฉันทำได้แน่นอนแต่กลัวว่าเขาจะทำไม่ได้น่ะสิ เพราะที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว “ตกลงตามนี้ แล้วจะพาฉันเข้าไปดูบ้านได้หรือยังเนี่ย” “ก็ลงไปดิฉันมัดขามัดแขนเธอไว้หรือไง หรือจะให้ฉันอุ้มออกไป” เขาทำหน้ากวนแล้วเปิดประตูรถลงไป ทิ้งให้ฉันนั่งสาปส่งอยู่ในรถคนเดียว “ฉันต้องมาอยู่กับนายสองต่อสองจริง ๆ เหรอนี่” บ่นแล้วก็เปิดประตูรถตามลงไป บ้านที่เขามาจองไว้เป็นหลังขนาดกลางมีสามห้องนอน เหมาะกับครอบครัวเดี่ยวอย่างเรา บ้านแต่ละหลังไม่ได้อยู่ชิดกันจนเกินไป มีสนามหญ้าขนาดพอเหมาะให้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ฉันจินตนาการเห็นภาพลูกตัวเล็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นอย่างซุกซน ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เป็นบ้าอะไรยิ้มคนเดียว” “จะยิ้มไม่ยิ้มมันก็ปากฉันป่ะ” “เป็นไงรสนิยมฉันดีไหมล่ะ” เขาเอ่ยถามขณะพาฉันเดินดูภายในบ้าน ตอนนี้ตกแต่งภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขนเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้เข้ามาก็อยู่ได้เลย “ก็งั้น ๆ ล่ะ” ฉันตอบขณะกวาดสายตามองอย่างตั้งใจ จนเผลอสะดุดกับกล่องอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนพื้น “ว้าย!” เขารีบคว้าตัวฉันไว้แล้วดึงเข้ามาประชิดตัว เลื้อยมือโอบรัดเอวไว้แน่น เราทั้งคู่สบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ทว่ามันยังคงค้างอยู่อย่างนั้น มีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างให้ใบหน้าเราเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้า ๆ “ขะ...ขอบใจแต่ปล่อยได้แล้ว” ฉันรีบละสายตาไปมองทางอื่นเมื่อได้สติ ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขาทำให้ฉันไม่เป็นตัวเอง ไม่สามารถควบคุมความต้องการตัวเองได้เลย เขาทำเสน่ห์ใส่ฉันหรือไงกันนะ “คราวหลังก็เดินให้มันระวังหน่อย อย่าลืมว่าตัวเองกำลังท้องกำลังไส้” เขายอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ แถมยังดุเสียงดังราวกับฉันเป็นเด็กอีกด้วย “รู้แล้วน่า” “งั้นขึ้นไปชั้นสองดีกว่า” “เดินนำไปสิ” เขาเคยมาควรจะเป็นฝ่ายพาฉันทัวร์ แต่ไหงผายมือเชิญให้เดินไปก่อน “เธอนั่นล่ะเดินขึ้นไปก่อนยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย” ฉันยอมเดินขึ้นไปก่อนตามคำสั่ง ส่วนเขาก็เดินตามหลังมาติด ๆ ราวกับว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว มาถึงชั้นสองฉันก็เดินตรงไปยังห้องนอนฝั่งขวามือ ตรงกลางเป็นทางเดินกว้างพอสมควร มีแสงสว่างเพียงพอแทบไม่ต้องใช้ไฟฟ้า นั่นเพราะตรงผนังบริเวณนั้นทำมาจากกระจกใสล้วน ๆ “ห้องนี้เป็นห้องใหญ่สุดแล้ว” เขาว่าหลังจากเดินเข้ามาภายในห้องแล้ว “งั้นฉันจะเอาห้องนี้กว้างดีเหมาะสำหรับฉันกับลูก” ว่าแล้วฉันก็เดินออกไปหน้าระเบียงเพื่อชมกับบรรยากาศภายนอก มุมนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้านรวมถึงทะเลสาบขนาดใหญ่อีกด้วย ยอมรับว่ารสนิยมเขาใกล้เคียงกับฉันมาก เพราะทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ถูกใจไปเสียหมด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีทางชมให้อีกฝ่ายได้ใจแน่นอน “เฮ้อ...คนเราก็ช่างปากแข็งเสียจริง ชอบก็บอกว่าชอบดิวะทำไมต้องวางมาดขนาดนั้นด้วย” เขาเดินมายืนข้างกัน วางสายตาไว้ที่ทะเลสาบของหมู่บ้าน ทำทีเป็นพูดลอย ๆ “ใครชอบ” “เธอจะเดือดร้อนทำไมเนี่ย ฉันก็แค่พูดลอย ๆ” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นบิดขี้เกียจแล้วเลื้อยมือมาเกาะไหล่ฉันอย่างแนบเนียน “อะไรยะเป็นโรคมืออยู่ไม่สุขรึไงกัน” ฉันปัดมือเขาออก มองหน้าราวกับเขาเป็นตัวประหลาด น่ารังเกียจเป็นที่สุด “ซ้อมไว้ไงอีกหน่อยตื่นเช้ามาเราก็จะยืนรับอากาศบริสุทธิ์กันตรงนี้” จินตนาการล้ำเลิศมากผู้ชายคนนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น “ใครบอกนี่มันห้องฉันคนเดียวย่ะ ส่วนนายไปอยู่อีกห้องเลย สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะแยกห้อง” “อ้าว! ใครไปสัญญาไว้ตอนไหน” “ก็แต่งงานกันแค่ในนาม ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วป่ะ” “แล้วถ้าป๊าม๊ามาเยี่ยมล่ะจะนอนแยกห้องงั้นสิ” อีกฝ่ายยังคงพยายามหาทางจะนอนร่วมห้องให้ได้ “ถ้าถึงวันนั้นค่อยว่ากันใหม่ แต่ช่วงที่อยู่กันสองคนต้องแยกห้องนอนเข้าใจไหม” เห็นสีหน้ามึน ๆ แล้วรู้สึกหมั่นไส้เหลือเกิน จึงบิดเข้าที่หน้าท้องด้วยความมันเขี้ยว “โอ๊ะ...โอ๊ยยย!!! จะบ้าหรือไงเจ็บนะเว้ย” เขาทำหน้าเหยเกพยายามดึงมือฉันออก “จำไว้อย่ามาซ่ากับฉัน” ฉันยอมปล่อยมือแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เดินไปได้สองสามก้าวก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนตัวลอยได้จนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ว้าย! ใจหายใจคว่ำหมด นายทำบ้าอะไรเนี่ยถ้าฉันหัวใจวายตายจะทำยังไง” เมื่อรู้ว่าตอนนี้กำลังถูกเขาอุ้มในท่าเจ้าสาวจึงรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง “จำไว้ว่าคนอย่างฉันไม่ยอมโดนกระทำเพียงฝ่ายเดียวแน่” เขากระตุกยิ้มร้ายแล้วอุ้มฉันเดินเข้าไปในห้อง วางฉันลงบนเตียงอย่างระแวดระวังคงกลัวจะกระทบกระเทือนถึงลูกในท้อง เมื่อเป็นอิสระฉันจึงพยายามลุกขึ้น แต่เขากลับกักตัวฉันไว้ด้วยวงแขนแกร่ง แถมยังตามขึ้นมาคร่อมตัวฉันไว้ ตรึงข้อมือทั้งสองลงบนเตียง “บ้านหลังนี้มีแค่เราสองคนแล้วนะ ฉันว่า...มารื้อฟื้นความทรงจำในวันนั้นกันดีไหม” สีหน้าคนพูดจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น แสดงความหื่นออกอย่างชัดเจน กลืนน้ำลายลงคอหลายอึกสื่อว่ากำลังต้องการเรื่องอย่างว่ามากแค่ไหน “นะ...นายอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ” หัวใจฉันเต้นแรงเมื่อเขาโน้มใบหน้าคมลงมาใกล้ ฉันเอียงหน้าหนีทำให้ปลายจมูกคมสัมผัสแก้มเบา ๆ ฟอดดด!! “หอมจัง” เขาจริงจังจนฉันรู้สึกกลัว กลัวว่าตัวเองจะคล้อยตามเพราะรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามมากแค่ไหน นั่นรวมถึงฉันด้วยในตอนนี้ แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดแต่ภายในใจกลับเรียกร้องให้ตอบรับคำเชื้อเชิญเหล่านั้นอย่างไม่มีข้อแม้ “ปล่อย...นายไม่ควรทำอย่างนี้” ทำไมฉันต้องเอ่ยเบาเสียงราวกับกลัวว่าเขาจะหยุดการกระทำนั่น “ทำไมล่ะฮึ” ฟอดดด “กลัวอะไรเหรอครับ” ฟอดดด เขาเอ่ยเสียงกระเส่าสลับกับการหอมแก้มอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันอ่อนระทวยจนไม่เหลือแรงพอจะขยับเขยื้อนได้เลย ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยอาการเขินจัด ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดที่ต้นคอทำให้ความต้องการของฉันปะทุขึ้นมาจนไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้ “นะ...นายอย่า อื้อ...” กำลังจะพูดต่อแต่เขากลับไม่ให้โอกาส ประกบจูบริมฝีปากบดจูบอย่างหนักหน่วง บดเบียดริมฝีปากราวกับหิวโหยเรื่องอย่างว่ามานาน มือที่เคยถูกตรึงไว้บนเตียงเปลี่ยนมาประสานกัน เมื่ออิ่มเอมกับความหอมหวานของริมฝีปาก เขาก็เลื้อยใบหน้าลงมาพรมจูบตามซอกคอ ไล่เรียงมาถึงเนินอกคู่งามเต่งตึงชูชันรอรับการสัมผัส เขาคลายนิ้วมือมาบีบเคล้นเนินเนื้อผ่านเสื้อทำงานตัวบาง ปลุกไฟสวาทในทรวงให้ลุกโชน “รู้ตัวไหมว่าเธอสวยเหลือเกินขวัญข้าว สวยจนฉันอยากจะกลืนกินเธอไปทั้งตัวแล้ว” เขาเอ่ยคำหวาน โลมเลียฉันด้วยสายตาราวกับกำลังร่ายมนตร์ให้ยอมอยู่นิ่ง ๆ ขณะปลดกระดุมเสื้อฉันอย่างรวดเร็ว Rrrrr…. เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกให้จิตใต้สำนึกของฉันกลับคืนมา นี่ฉันเผลอตัวเผลอใจปล่อยให้เขาทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ “พะ...พอได้แล้วนายรีบรับโทรศัพท์เถอะ” ฉันจับมือเขาไว้ก่อนที่กระดุมเม็ดสุดท้ายจะหลุด เขาจิ๊ปากทำหน้าเสียดาย แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา “ช่างแม่งเถอะให้มันดังอยู่อย่างนั้นล่ะ ตอนนี้ฉันต้องการเธอที่สุดนะขวัญข้าว” เขายังคงทำสีหน้าออดอ้อนให้ฉันคล้อยตาม แต่ทว่าตอนนี้ความลุ่มหลงนั้นได้มลายหายไปแล้ว “ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่ และมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกรู้ไว้ด้วย หลีกไป” ฉันผลักอกเขาให้ลุกออกจากตัว แล้วรีบปิดกระดุมเสื้อโดยเร็ว นายฟีฟ่ายังคงนั่งนิ่งจ้องมองฉันราวกับกำลังอ้อนวอนขอร้องให้ทำมันต่อ แต่ฉันคงไม่หลงกลเขาอีกแล้วล่ะ เมื่อไม่ได้รับความร่วมมืออีกฝ่ายก็หันไปสนใจเจ้าเครื่องมือสื่อสาร ที่กำลังร้องเรียกให้เจ้าของไปสัมผัส “ฮัลโลครับน้องจอย” “ตอนนี้เหรอครับได้ ๆ พี่กำลังคิดถึงอยู่พอดี” “แล้วเจอกันครับ” ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังไปแย่งผู้ชายของคนที่ชื่อจอยมา เธอจะรู้ไหมนะว่าตอนนี้เรากำลังจะแต่งงานกัน ความคิดเหล่านั้นหยุดลงเมื่อฉันปิดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จพอดี จึงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหน้าเขา “พอดีฉันมีธุระต้องรีบไป เธอจะกลับบ้านเลยไหม” “ไม่ล่ะฉันจะไปร้านโบ๊ท นายไปส่งฉันที่ถนนใหญ่ละกัน ฉันจะนั่งแท็กซี่ไปเอง” คงอารมณ์ค้างจนต้องการหาที่ลงสินะ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง จะนั่งแท็กซี่ไปเองได้ยังไงกัน” “ก็บอกว่าจะไปเอง ฉันรู้ว่านายคงอารมณ์ค้างมากต้องรีบไปหาที่ลง” ว่าแล้วฉันก็รีบเดินออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างโดยไม่รอเขา ทำไมต้องหงุดหงิดทั้งที่เคยพร่ำบอกตัวเองว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีอิทธิพลกับใจฉันเลย “ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ ก็บอกว่าจะไปส่งยังไงล่ะ เธอกับลูกต้องมาก่อนเสมอรู้ไว้ด้วย” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง แถมยังจับมือฉันกึ่งลากกึ่งดึงออกจากบ้าน “ปล่อย! ฉันเดินเองได้น่า” “ก็แค่นี้ล่ะทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย” เขาเดินไปเปิดประตูรถให้แล้วยืนรอราวกับฉันเป็นนักโทษ คงกลัวว่าจะไม่ยอมไปด้วยสินะถึงได้ลงทุนขนาดนี้ ฉันทำน้าบูดบึ้งไปตลอดทาง ไม่ยอมพูดจากับเขาแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าโกรธเพราะเขาลวนลามในห้องนอน หรือโกรธที่อีกฝ่ายกำลังจะไปหาความสุขกับผู้หญิงที่ชื่อจอยกันแน่
已经是最新一章了
加载中