บทที่ 7 งานแต่ง   1/    
已经是第一章了
บทที่ 7 งานแต่ง
บทที่ 7 งานแต่ง ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเท่าวันนี้มาก่อน งานมงคลที่ลูกผู้หญิงทุกคนอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต ใช่แล้วค่ะ วันนี้คือวันที่ฉันต้องเข้าพิธีแต่งงานกับนายฟีฟ่า งานถูกจัดขึ้นที่บ้านของฉันเอง มีเพียงเฉพาะพิธียกน้ำชาแบบเรียบง่าย เชิญเฉพาะญาติและคนสนิทเท่านั้น แขกส่วนใหญ่ต่างก็มาในชุดธีมสีแดง เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับคู่บ่าวสาว “ว้าว!! แกเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดรู้ตัวไหม เสื้อผ้าหน้าผมดูดีไปหมด” น้ำประสานมือขึ้นตรงกลางอก ฉีกยิ้มกว้างเมื่อการแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยทุกกระบวนการ วันนี้น้ำรับหน้าที่เป็นช่างทำผมส่วนโบ๊ทสะบัดแปรงแต่งหน้าให้ เนรมิตความสวยให้ฉันในวันพิเศษ ข้อดีของการมีเพื่อนเรียนสายแฟชั่นด้วยกันคือไม่ต้องจ้างช่างแต่งหน้าทำผมให้เปลืองสตางค์ แถมยังสามารถชี้นิ้วสั่งได้อีกด้วย(มันดีตรงนี้) เรามีทักษะนี้ติดตัวมาตั้งแต่สมัยยังเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย เคยช่วยกันรับจ้างแต่งหน้าทำผม รับทำชุดให้กับงานต่าง ๆ จนมีความเป็นมืออาชีพในระดับหนึ่ง “ขอบใจมากนะยะที่เนรมิตให้ฉันสวยอย่างนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่การแต่งงานปลอม ๆ ก็ตามที” ฉันเอ่ยตัดพ้อ นั่นทำให้เพื่อนทั้งสองจ้องมองมาด้วยสายตาที่กำลังต่อว่าต่อขาน “มันไม่ใช่การแต่งงานปลอม ๆ สักหน่อยแต่มันคือเรื่องจริง ฉันรู้ว่ามันเริ่มต้นจากความผิดพลาดแต่ตอนนี้แกอย่าลืมว่ากำลังมีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้อง มันคือคำว่าครอบครัวแล้วนะข้าว” โบ๊ทเอ่ยเตือนสติฉัน นานทีปีหนมันจะมีสาระอย่างนี้ “ใช่ อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเองนั่นล่ะ ฉันมั่นใจว่าพี่ฟีฟ่าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่งั้นคงไม่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่ต๋องหรอก” น้ำเสริมอีกเสียง “ฉันไม่มีทางรักคนอย่างนั้นได้หรอก เจ้าชู้จับตัวยาก เจ้าเล่ห์เพทุบาย แถมยัง...” ฉันยั้งปากไว้ได้ทันก่อนจะเอ่ยคำพูดไม่ควรให้เพื่อนได้ยิน หากบอกว่าหื่นทุกคนคงคิดว่าฉันโดนนายนั่นทำอะไรแน่ ๆ “ยังอะไรงั้นเหรอแก” ยัยน้ำเอ่ยถามพร้อมจ้องมองมาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น “มะ...ไม่มีอะไรรีบออกไปกันเถอะบ้านโน้นคงมากันแล้ว” “แกดูมีลับลมคมในนะยะ มีอะไรที่พวกฉันยังไม่รู้หรือเปล่า” โบ๊ทถามย้ำก่อนจะออกไปจากห้อง “ไม่มีอะไรจริง ๆ” ฉันพยายามหลบตาเพื่อนรักทั้งสองคน แค่นี้พวกมันก็รู้แล้วว่ากำลังมีเรื่องปกปิดเอาไว้ “เออ ๆ ช่างแกเถอะฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว เอาเป็นว่าดีใจด้วยละกัน ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะยะ” น้ำอวยพรแล้วขำเบา ๆ “ขอบใจย่ะแต่คงมีแค่คนเดียวที่อยู่ในท้องนี่ล่ะ” “ส่วนฉันขอให้...แกยอมใจอ่อนรักพี่ฟีฟ่าในเร็ววันนะ” โบ๊ทกล่าวยิ้มหน้าระรื่น “อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ คำอวยพรของพวกแกแต่ละคนดูหวังดีกับฉันทั้งนั้นเลยนะ ไปได้แล้วเดี๋ยวเสียฤกษ์หมด” ฉันรีบออกปากไล่ก่อนที่พวกมันจะพูดไม่เข้าหูไปมากกว่านี้ เราสามคนเดินลงไปชั้นล่าง ในจังหวะที่ก้าวขาลงบันไดหัวใจฉันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ รู้สึกเหมือนฝันที่ต้องมาแต่งงานอย่างปุบปับอย่างนี้ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นแต่กลับทำไม่ได้ เสียงผู้คนคุยกันดังเซ็งแซ่เมื่อเดินเข้าใกล้ นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เขาจะมาถึงหรือยังนะ เขาจะมองฉันด้วยสายตาแบบไหนเมื่อเห็นในชุดเจ้าสาวอย่างนี้ ทุกความคิดตีรวนกันไปหมด จนต้องสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ เพื่อคลายความตื่นเต้น “เจ้าสาวมาแล้วค่ะ” เมื่อได้ยินเสียงน้ำตะโกนบอก สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมองมา ฉันไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องพยายามกวาดสายตามองหาเขาคนนั้น อยากเห็นปฏิกิริยาเมื่อเห็นฉัน ตึกตัก… ตึกตัก… ในที่สุดฉันก็เห็นเขา วันนี้เขาหล่อกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยเห็น เราทั้งคู่จ้องตากันท่ามกลางเสียงดังเซ็งแซ่ รู้สึกว่าตอนนี้โลกทั้งใบมีเพียงแค่เราสองคน แววตาคมจ้องลึกแทบไม่กะพริบราวกับต้องการเอ่ยคำชม ว่าวันนี้ฉันคือเจ้าสาวที่สวยที่สุดในโลก แม้วันนี้จะเป็นงานมงคลที่น่ายินดีแต่ทว่าป๊าของเราทั้งคู่กลับไม่คิดจะมองหน้ากัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคำว่าหลานเพียงเท่านั้น แต่สำหรับม๊าเรากลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ส่งยิ้มให้กันราวกับคนสนิทชิดเชื้อ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ฉันเดินมานั่งพับเพียบบนพรมกำมะหยี่สีแดงข้างเขา โดยที่อีกฝ่ายยังคงเอาแต่จ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ใบหน้าฉันต้องหลบสายตาคมคู่นั้นด้วยความรู้สึกเขินอาย “วันนี้เธอเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลยรู้ไหม” เขาโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบเบา ๆ ข้างหู นั่นทำให้ฉันใบหน้าร้อนผ่าวในทันที ตอบกลับด้วยการมองแรงพร้อมทั้งเบะปากเพื่อแก้อาการเขิน “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นชมหรอก ฉันรู้ตัวว่าสวยอยู่แล้วย่ะ” เขาเอาแต่ยิ้มราวกับมีความสุขมากมาย จนฉันต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ยิ้มตาม พิธีการได้เริ่มต้นขึ้นตามลำดับอย่างลื่นไหล แม้คนส่วนมากจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ทุกใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยินดีกับเราทั้งคู่อย่างจริงใจ จนถึงช่วงเวลาสวมแหวนมือฉันสั่นจนอีกฝ่ายต้องจับไว้ให้มั่นใช้หัวแม่มือลูบวนหลังมือเบา ๆ เพื่อให้คลายความตื่นเต้น ทุกสิ่งที่เขาทำในวันนี้สร้างความประทับใจให้ฉันไม่น้อย ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันมงคลฉันจะยอมญาติดีด้วยสักวันก็แล้วกัน “ตื่นเต้นขนาดนั้นเชียว” เขาเงยขึ้นมาสบตา ส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้ “เปล่าสักหน่อย” ฉันยิ้มแต่ไม่ยอมสบตาเขา “ห้ามถอดเด็ดขาดรู้ไหม” เขาเอ่ยหลังจากสวมแหวนให้แล้ว ฉันยกมือไหว้ “ก็ไม่รู้สินะ” ฉันหยิบแหวนอีกวงขึ้นมาสวมให้เขาบ้าง มือหนานั้นไม่ได้สั่นเหมือนฉันเลยสักนิด ยอมรับว่าเขาตั้งสติได้ดีมาก หรือคิดอีกมุมเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับงานในวันนี้เลยก็เป็นได้ คงมีแค่ฉันล่ะมั้งที่ตื่นเต้นไปเองคนเดียว “ฉันสัญญาว่าจะใส่ไว้ตลอด”เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็แล้วแต่นาย” นั่นคือสิ่งที่ฉันตอบกลับไป จะยิ้มก็อาย จะทำหน้าบึ้งก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น มันเป็นช่วงเวลาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ หลังจากพิธีสวมแหวนเสร็จสิ้นลงแล้วเราทั้งคู่ก็ยกถาดน้ำชาให้ป๊ากับม๊าเขา ท่านทั้งสองจิบน้ำชา แล้วให้คำอวยพรเราทั้งคู่ “ขอให้ลูกทั้งสองคนรักกันนาน ๆ จนถึงไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ดูแลกันให้ดี ๆ หากมีปัญหาไม่เข้าใจกันให้นึกถึงลูกให้มาก ๆ” เฮียกรให้คำอวยพรด้วยรอยยิ้ม เราทั้งคู่ยกมือไหว้รับพรนั้นอย่างตั้งใจ “ม๊าขอให้ลูกทั้งสองอยู่เย็นเป็นสุข รักกันให้มาก ๆ มีหลานให้ม๊าอีกสักสองคนนะ ลูกชายม๊าอาจจะออกนอกลู่นอกทางบ้างแต่มันก็เป็นคนมีความรับผิดชอบ หากมันทำอะไรผิดพลาดไปก็ยกโทษให้มันด้วยนะหนูข้าว” “ค่ะม๊า” ตอนนี้ฉันเป็นสะใภ้ท่านนี้แล้วสรรพนามที่ใช้เรียกก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย “ส่วนแกมีลูกมีเมียแล้วอะไรที่มันไม่ควรก็เลิกซะนะ อย่าให้ม๊าต้องมาตามแก้ปัญหาให้ทีหลัง แล้วอย่าทำให้หนูข้าวต้องเสียใจเด็ดขาดรู้ไหม” “รู้แล้วครับม๊า ผมไม่มีทางทำให้เมียผมเสียใจเด็ดขาด” ว่าแล้วก็หันมาส่งยิ้มให้ ไม่รู้หรอกว่าเขากำลังเล่นละครหรือเปล่า แต่รอยยิ้มนั่นทำให้ฉันแทบละลาย พยายามข่มความรู้สึกไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายเห็น “พูดแล้วต้องทำให้ได้ล่ะ” “ครับผม” ฉันเกลียดท่าทีมั่นอกมั่นใจนั่นเหลือเกิน แต่งแล้วคงลืมคำที่ตัวเองพูดแน่นอน ฉันเชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น หลังจากยกน้ำชาให้พ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวแล้ว ก็ถึงเวลาของป๊ากับม๊าฉัน สิ่งที่ลุ้นมากที่สุดก็คือช่วงเวลานี้ล่ะ อยากรู้ว่าป๊าจะอวยพรว่าที่ลูกเขยด้วยประโยคแบบไหน “ถ้าทำให้ลูกสาวฉันเสียใจฉันเอาแกตายแน่ได้ยินไหม” สีหน้าและแววตาป๊าราวกับกำลังข่มขู่ว่าที่ลูกเขย เห็นแล้วก็รู้สึกขำเพราะเขาทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น “ครับป๊า ผมจะไม่ทำให้ข้าวเสียใจเด็ดขาด” “วันนี้งานมงคลของลูกนะเฮีย อวยพรดี ๆ ไม่ได้หรือยังไง” ม๊าหันมาดุให้ “งั้น...ดูแลลูกสาวกับหลานฉันให้ดี ๆ ละกัน ขอให้มีความสุขกับชีวิตคู่ แต่งงานมีครอบครัวแล้วก็อย่าลืมมาเยี่ยมป๊าบ้างนะ” ป๊าเอ่ยเสียงสั่นราวกับกำลังจะร้องไห้ เห็นอย่างนั้นฉันก็น้ำตาซึมออกมาเช่นกัน “หนูจะมาเยี่ยมป๊าบ่อย ๆ นะคะ” ฉันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว มันน่าเสียใจตรงที่การแต่งงานครั้งแรกในชีวิตกลับไม่ได้สวยหรูเหมือนลูกสาวบ้านอื่น ต้องจัดเพราะเกิดความผิดพลาดที่น่าอับอายขายหน้า ป๊ายิ้มให้ฉันด้วยแววตาอบอุ่น พอจะได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกจริง ๆ ก็รู้สึกใจเสียเหมือนกัน เพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตฉัน “ม๊าขอให้ลูกทั้งสองคนมีความสุขกับชีวิตคู่นะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน ยิ่งตอนนี้มีลูกด้วยกันแล้ว จะทำอะไรให้คิดถึงคำว่าครอบครัว อย่าเอาอารมณ์เป็นหลักคุยกันด้วยเหตุผลเข้าใจไหม” “ค่ะม๊า หนูจะทำตามคำสั่งสอนของม๊านะคะ” “ผมก็จะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ดูแลลูกสาวและหลานม๊าไม่ให้ลำบากครับ” “สัญญาแล้วต้องทำให้ได้ล่ะ ม๊ารู้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้เริ่มต้นจากความรักแต่ก็ใช่ว่าจะรักกันไม่ได้จริงไหม” ได้ยินอย่างนั้นเราก็เหลือบตามองกัน แววตาที่เขามองมาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคิดยังไงกับประโยคสุดท้ายที่ม๊าพูด และเขาเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกับฉัน “เอาล่ะไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต่อจากนี้มันขึ้นอยู่กับเราสองคนแล้ว ว่าจะทำยังไงให้ครอบครัวมีความสุข ม๊าบอกได้เท่านี้ล่ะ” “ขอบคุณค่ะม๊า หนูรักม๊าที่สุดเลย” ฉันโผเข้ากอดม๊า หลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ เจ้าบ่าวของฉันพยายามตบที่ไหล่เบา ๆ เป็นการปลอบใจเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มงอแง เมื่อพิธียกน้ำชาเสร็จแล้วก็ถึงช่วงเวลาส่งตัวเข้าหอ ปกติแล้วจะต้องทำพิธีที่บ้านเจ้าบ่าวแต่ทว่าทั้งสองครอบครัวไม่ได้เคร่งพิธีการมากนัก จึงยกโขยงพากันไปที่บ้านหลังใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนเรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากพิธีการส่งตัวเข้าหอเสร็จสิ้นลงแล้ว เราทั้งคู่จึงเดินออกมาส่งทุกคนที่หน้าบ้านกลับไปจนหมด จะเหลือก็เพียงเพื่อนสนิทอย่างน้ำและโบ๊ท รวมถึงพี่ต๋องอีกด้วย “ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะ” ฉันกล่าวรวม ๆ นั่นเพราะมีพี่ต๋องยืนอยู่ด้วย “ยินดีเสมอจ้า ตอนนี้แกไม่โสดแล้วจะทำตัวแรด ๆ เหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะ” น้ำจับมือฉันแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มใจ “ทำไมจะไม่ได้ยะ แต่งงานไม่ได้ติดคุกสักหน่อย” “อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า” “หมดคู่แข่งสักทีนะ ต่อไปนี้คงถึงคราวของฉันจริง ๆ แล้วล่ะ มองผู้ชายคนไหนมักจะเสร็จพวกแกทุกที มีผัวกันแล้วคงไม่คิดจะมาแย่งผู้ชายฉันอีกนะยะ” โบ๊ทพูดติดตลก “เชิญตามสบายเลยค่ะเพื่อน ตอนนี้ฉันสนใจแค่ลูกย่ะ” ฉันส่งยิ้มให้ “ฝากเพื่อนพี่ด้วยนะ มันอาจจะงี่เง่าบ้างในบางเวลา แต่มันก็มีความรับผิดชอบมากพอ” พี่ต๋องเอ่ย “หนูจะพยายามค่ะพี่ต๋อง แต่ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ กลัวแต่จะฆ่ากันตายก่อนนั่นล่ะ” ฉันพูดติดตลกเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย “สงสัยตายยากเว้ยเดินมาโน่นแล้ว” เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงหันขวับไปมองก็เห็นเขาเดินยิ้มมา จากนั้นก็วางมือหนาบนไหล่ฉันอย่างถือวิสาสะ “นินทาอะไรกูอยู่วะหันมามองเป็นตาเดียวกันเลย” ฉันปัดมือเขาออก เหลือบตามองสื่อว่ารำคาญเต็มที “พร้อมยังวะเจ้าบ่าวมือใหม่” “พร้อมสุด ๆ ว่ะ คืนนี้จัดหนักจัดเต็มเว้ย” ว่าแล้วทั้งสองก็ขำพร้อมกัน “กล้าพูดเนอะ นอนคนละห้องย่ะ” ฉันพูดตอกหน้าโดยไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง นั่นทำให้เขาหน้าเจื่อนเล็กน้อย คงจะเสียหน้าที่ฉันประกาศให้คนอื่นรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราทั้งคู่จะไม่มีอะไรเกินเลยเด็ดขาด “นี่แกเอาจริงดินึกว่าพูดเล่น ๆ เรื่องแยกห้อง” สีหน้าของน้ำแฝงไปด้วยความตกใจ “จริงดิ ก็ตกลงกันแล้วว่าจะแยกห้อง” ฉันตอบหน้าตายแถมยังยิ้มเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก “ไม่ต้องพูดให้ใครฟังก็ได้นี่นา คนอื่นรู้คงหัวเราะเยาะฉันแน่ ๆ” คงกลัวเสียฟอร์มไอ้หนุ่มร้อยรักสินะ “กูขอหัวเราะคนแรกเลยได้ไหมวะ ฮ่า ๆๆ” พี่ต๋องหัวเราะเสียงดังเยาะเย้ยแบบขั้นสุด ยิ่งเห็นท่าทีหมาหงอยของเพื่อนรักยิ่งชวนให้ขำแรง “หุบปากเลยไอ้ต๋องถึงกูจะนอนแยกห้องกับเมีย แต่กูก็มีเบบี๋ก่อนมึงนะเว้ย ฮ่าๆๆ” นี่สินะเขาเรียกว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า หัวเราะซะเสียงดังอย่างมั่นหน้า คงภูมิใจมากสินะที่มีลูกกับฉันเพราะความเมา “หัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เหรอ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย” ฉันฟาดที่ต้นแขนเต็มแรงเพื่อสยบความคะนองของเขา “ครับผมคุณเมีย” แทนที่จะสำนึกแต่กลับทำหน้าทะเล้นซะงั้น “ใครเมียนาย” “ทะเลาะกันอย่างนี้สงสัยลูกดกแน่ ๆ” โบ๊ทแซวเมื่อเห็นฉันกับนายฟีฟ่ากำลังขึ้นมวยกัน แถมยังหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจอีกด้วย “ไร้สาระอ่ะพวกแก รีบกลับกันได้แล้ว” “โห...พูดแค่นี้ถึงกับรีบไล่กันเลยเหรอ สงสัยอยากจะปั๊มลูกกันแล้วแน่ ๆ ไปพวกเรากลับกันเถอะ” โบ๊ทว่าแล้วก็นำทีมเดินออกไปขึ้นรถที่หน้าบ้าน “อีบ้าฉันพูดเล่น กลับมาก่อน” “โชคดีนะแกพวกฉันกลับล่ะ เข้าหอวันแรกอย่าตื่นเต้นล่ะเดี๋ยวลูกในท้องจะตื่นเต้นตามไปด้วย” น้ำกล่าวทิ้งท้าย “ไปแล้วนะเว้ยไอ้เพื่อนรัก ชาติเสืออย่าสิ้นลายพูดแค่นี้มึงคงรู้นะ” “เออ ๆ ขอบใจว่ะ” ทั้งสองป๊ะมือกันแบบลูกผู้ชายแมน ๆ ก่อนทั้งหมดจะขึ้นรถขับออกไปทีละคัน หลังจากเพื่อนกลับไปหมดแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่โหมดความเงียบงัน รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก จากที่เคยอยู่กับครอบครัวมีเสียงหัวเราะทุกวัน แต่ตอนนี้กลับต้องมาใช้ชีวิตกับคนไม่คุ้นเคย เห็นหน้าแทบจะกัดกันทุกครั้งอีกด้วย เขามองมาแล้วยิ้มแปลก ๆ ยักคิ้วหลิ่วตาอย่างน่าหมั่นไส้ “ยิ้มอะไร? เป็นบ้าเหรอ?” ฉันถามอย่างใส่อารมณ์ “อ้าว! ยิ้มให้ก็ว่าบ้า จะให้ทำหน้าบูดหรือไงกัน” “แต่ฉันไม่ชอบให้นายทำหน้าอย่างนี้” ที่เป็นอย่างนั้นเพราะฉันรู้น่ะสิว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว “ทำไม? กลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้หรือไง” เขากระตุกยิ้มเดินเข้ามาชนไหล่ทำเป็นกระแซะหยอก จะบ้าหรือไงฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลที่มาหยอกแล้วจะเล่นด้วยนะ “ทำตัวอย่างกับเด็กจะไปไหนก็ไปฉันเบื่อขี้หน้านายจะแย่แล้ว เห็นหน้าทีไรอยากจะอ้วก” ว่าแล้วก็เบะปากใส่เตรียมจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อเปลี่ยนชุด วืดด!!! “ว้ายยยย!! ไอ้บ้าปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”
已经是最新一章了
加载中