บทที่ 8 หวั่นไหว
1/
บทที่ 8 หวั่นไหว
ลุ้นรักวิวาห์ร้อน
(
)
已经是第一章了
บทที่ 8 หวั่นไหว
บทที่ 8 หวั่นไหว “อยากให้ปล่อยใช่ไหม ได้!” เขาทิ้งตัวฉันลงบนเตียงนุ่ม จากนั้นรีบตามขึ้นมาคร่อม ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะ ส่งแววตาหื่นมาให้ฉันรู้สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ “นะ...นายจะทำบ้าอะไร รีบออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลย” แม้จะเอ่ยปากไล่แต่ทว่าไม่อาจละสายตาจากดวงตาคมคู่นั้นได้เลย มันมีประกายแวววับส่งผ่านแรงปรารถนามาให้ “ฉัน…ฉันทนไม่ไหวแล้วขวัญข้าว เธอทำให้ฉันรู้สึกแย่จนไม่กล้าไปมีอะไรกับใคร เธอต้องรับผิดชอบรู้ไหม” เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดพวงแก้ม การจ้องมองในระยะประชิดทำให้สีหน้าฉันแดงระเรื่อ “อื้อ...” เมื่อริมฝีปากสัมผัสกันเขาก็เริ่มร่ายลีลารัก มือที่เคยกำไว้แน่นเริ่มคลายตัวทำให้อีกฝ่ายสอดแทรกนิ้วเข้ามาประสานได้อย่างง่ายดาย นายฟีฟ่าบดจูบอย่างเร่าร้อนราวกับหิวโหยสิ่งนี้มานาน ส่งลิ้นสากเข้ามาตวัดเลีย เหมือนต้องการควานหาอะไรบางอย่างจนหมดทุกซอกมุม “แฮ่กๆๆ ปากเธอหวานเหลือเกิน” เขาเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยอย่างหอบเหนื่อย ฉันไม่มีโอกาสได้ตอบเพราะหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลงไปใหม่ ครั้งนี้ความร้อนแรงเพิ่มทวีขึ้นเป็นเท่าตัว มือหนาลูบไล้บริเวณหน้าท้องเลื้อยขึ้นไปจนเจอกับเนินเนื้อเต่งตึง มันหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วบีบเคล้นแรง ๆ ผ่านชุดเจ้าสาว สร้างแรงปรารถนาให้ฉันเหลือล้น จากนั้นไม่นานอาภรณ์ก็หลุดลุ่ยติดมือเขาออกไป เหลือไว้เพียงแพนตี้ตัวจิ๋ว “พะ...พอเถอะนะ” ฉันพยายามพยุงสติตัวเองเอ่ยห้ามเขา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีผล “เธอเองก็ต้องการแล้วทำไมถึงยังปากแข็งล่ะฮึ” มือหนาไล้บนใบหน้าเกลี่ยไรผมให้ แววตาที่มองมาเจือความเอ็นดูไว้มากมาย แล้วอย่างนี้ฉันจะไม่อ่อนระทวยได้อย่างไรกัน ฉันไม่อาจฝืนความต้องการตัวเองได้แล้วในวินาทีนี้ จึงโน้มใบหน้าขึ้นไปประกบจูบเขาก่อน ยกมือขึ้นไปรั้งต้นคอแข็งแกร่งไว้ เป็นฝ่ายรุกรานด้วยรสจูบที่สุดแสนจะร้อนแรง “อืมม..” นั่นคือเสียงครวญครางในลำคออีกฝ่าย นายฟีฟ่าใช้โอกาสนี้ปลดเปลื้องชุดเจ้าบ่าวสีแดงเพลิงออกไปให้พ้นตัว เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในสีดำทรงเสน่ห์ จากนั้นจึงใช้ส่วนกลางกายบดเบียดแพนตี้ตัวจิ๋วบาง ๆ ของฉัน แค่นั้นก็ทำให้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ผิวกายที่เต็มแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสัมผัสถูไถกับเรือนร่างฉัน ขับกล่อมให้ฉันยอมพลีกายอย่างเต็มใจ มันรู้สึกดีราวกับได้ล่องลอยในสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ฉันเคลิ้มไปกับรสสวาทอันช่ำชอง รู้สึกตัวอีกทีก็มีท่อนเนื้อขนาดมหึมาแทรกเข้ามาในตัว มันรู้สึกคับแน่นและเสียวซ่านไปในคราวเดียวกัน เนินเนื้อกลางอกบดเบียดกับแผงอกแกร่งสัมพันธ์กับจังหวะรักที่รุนแรงและเร่าร้อน “อ๊ะๆๆ อื้อ ฟะ...ฟีฟ่า เบา ๆ” ฉันเอ่ยเสียงสั่นปนเสียงครวญคราง เมื่อเขากระแทกกระทั้นความใหญ่โตเข้ามาอย่างไม่ปรานี ส่วนที่เชื่อมต่อกันเสียดสีจนแดงเถือก ระบมบวมจนรู้สึกเจ็บ “ฉันเบาไม่ได้แล้วขวัญข้าว อ่าห์! เธอตอดฉันแน่นเหลือเกิน” แววตาที่ส่งมาให้เต็มไปด้วยไฟราคะ สีหน้าเหยเกที่แสดงออกมาสื่อให้รู้ว่าไม่อาจทำตามคำร้องขอของฉันได้ เขาพาฉันโลดแล่นบนเส้นทางรักอย่างโลดโผน ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความหนักหน่วงและร้อนแรง มันถาโถมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนฉันส่งเสียงรัญจวนออกมาอย่างลืมตัว เสียงเนื้อกระทบเนื้องดังระงมท่วมห้องหอ เราทั้งคู่ปลดปล่อยความกำหนัดออกมาอย่างไม่เคอะเขิน “อื้อ...สะ...เสียว” เมื่อโดนลิ้นยาวลากเลียยอดปทุมถันฉันก็แอ่นอกรับสัมผัสในทันที มือไม้อ่อนแรงจนต้องวางไว้บนเตียง ขบริมฝีปากล่าง หรี่ตามองดวงหน้าล่อที่กำลังตั้งใจปรนเปรอรสสวาทให้ เขาเงยขึ้นมาจ้องหน้าฉันด้วยสายตาอันหื่นกระหาย แววตาของนักรักกำลังสะกดให้ฉันจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ในขณะที่บั้นท้ายกลมมนทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน กระแทกกระทั้นส่งความเสียวเข้ามาอย่างไม่ขาดช่วง แม้จะรู้สึกเขินไม่น้อยแต่ฉันกลับไม่อาจละสายตาจากดวงหน้าหล่อได้ เรียวขาที่แยกออกจากกันค้างไว้บนอากาศเพื่อให้ลำตัวแข็งแกร่งกระแทกบดเบียดความเป็นชายเข้ามาได้สะดวก จนเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง ฉันจึงหลับตาลงแล้วเอียงหน้าหนีไปอีกทาง “มะ...มองหน้าฉัน จ้องตาฉันเดี๋ยวนี้ขวัญข้าว อ่าห์...ซี๊ดดด เร็ว! ฉันจะไม่ไหวแล้ววว” เขาเอ่ยทั้งที่ยังคงกระแทกแก่นกายเขามาถี่ ๆ เมื่อได้ยินคำสั่งฉันก็ยอมทำตามโดยง่าย เราจ้องตากันอย่างหวานซึ้งสื่อว่ากำลังมีความสุขมากแค่ไหน มันรู้สึกดีมากเหลือเกินที่เขาจ้องมองมาด้วยสายตาอบอุ่นเช่นนี้ “อ๊ะ...อื้อ...ฟะ...ฟีฟ่าฉันใกล้แล้ว” ฉันเริ่มอยู่ไม่สุขเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง มือที่วางข้างลำตัวยกขึ้นไปวางไว้บนแผ่นหลังกว้าง ลูบไล้วนไปมาอยู่อย่างนั้นเพื่อระบายความเสียวซ่าน ส่วนที่เชื่อมต่อยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกในจังหวะถี่ยิบ ไม่นานเขาก็ร้องเสียงหลงแต่ทว่าสายตายังคงจ้องมองฉันตลอดเวลา “ขวัญข้าวฉันไม่ไหวแล้ววว!!! อื้อ...แม่งเสียวสัด ๆ ตอดแรง ๆ เลยครับที่รัก อ๊ากกก!!!” “แฮ่กๆๆ” เขายังไม่ยอมถอนแก่นกายออกไปแม้จะพ่นน้ำสีขาวขุ่นเข้าไปในตัวฉันแล้ว แต่กลับโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน อุ่นไอร้อนที่เกิดจากกิจกรรมรักขับเม็ดเหงื่อให้ผุดตามใบหน้าเราทั้งคู่ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงชอบให้จ้องตาในขณะมีอะไรกัน แม้กระทั่งตอนนี้เราทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันอยู่ตลอดเวลา จุ๊บๆๆ มือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าจากนั้นจุมพิตซ้ำ ๆ บนพวงแก้มอย่างไม่มีเบื่อ จนฉันต้องยกมือขึ้นปัดป้องห้ามเอาไว้ “พอได้แล้ว แล้วก็....เอามันออกไปจากตัวฉันเสียทีไอ้คนฉวยโอกาส” เมื่อพายุสวาทผ่านพ้นไปแล้วความอายก็เริ่มทำงานจนแทบไม่กล้าสบตาเขา “ทำไม? รู้สึกอึดอัดแล้วงั้นเหรอ ก่อนหน้านี้ยังชอบอยู่เลย” เขายิ้มกวน ๆ แล้วกดจมูกลงบนแก้มฉันอย่างเอาแต่ใจ ไม่ยอมถอนน้องชายที่ยังคงพร้อมทำงานออกไป “เอาออกเดี๋ยวนี้เลย ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันทำเสียงออดอ้อน แม้จะยกมือขึ้นมาดันแผงอกแกร่งให้ออกห่างจากตัวก็ตามที เขาจับข้อมือฉันไว้แล้วจุมพิตที่หลังมือซ้ำ ๆ “เวลาเธออ้อนน่ารักมากรู้ตัวไหม” “ฉันไม่ได้อ้อนสักหน่อย รีบออกไปดิ๊หนักจะแย่แล้วเนี่ย” “ฉันขอนะ” แววตาเว้าวอนที่ส่งมาทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิด นี่จะเอาอีกรอบงั้นเหรอไม่มีทาง “จะมากเกินไปแล้วนะ ได้คืบจะเอาศอกนายก็รู้ว่าฉันกำลังท้อง หากลูกเป็นอะไรไปฉันจะไม่อภัยให้นายแน่” “ฉันไม่ได้จะทำอย่างนั้นสักหน่อย แค่อยากขอนอนด้วยสักคืนเท่านั้นเอง อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นคืนเข้าหอของเรานะ ทำให้มันถูกต้องสักวันเถอะไม่ได้หรือไง อีกอย่างวันนี้เราก็...มีอะไรกันแล้วนะ” อีกฝ่ายพยายามพะเน้าพะนอขอให้ฉันยอมใจอ่อน “ไม่!” ฉันชี้ไปที่ประตูห้อง “ถ้าไม่ยอมฉันก็จะไม่ลุกออกจากตัวเธอ จะค้างแม่งไว้อย่างนี้ล่ะ” พูดจบนายฟีฟ่าก็ฟลุบหน้าลงบนไหล่ฉัน ทำทีว่านอนหลับไปแล้ว “นายฟีฟ่าลุกออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันหนักจะแย่แล้ว” ฉันตะโกนกรอกหูสุดเสียง ในเมื่อไม่ยอมก็ไม่ต้องหลับกันล่ะคืนนี้ “จะตะโกนทำไมเนี่ยหนวกหูจะแย่แล้ว นอนเถอะนะไม่เหนื่อยหรือไง” ไม่แค่พูดเขายังยกมือขึ้นมาปิดปากฉันไว้ เพราะรู้ว่าหลังจากนั้นฉันจะตะโกนใส่หูอีกครั้ง “อื้อ...อ่อย” เมื่อปากทำงานไม่ได้ฉันจึงใช้มือทุบเข้าที่แผ่นหลังด้วยแรงอันน้อยนิด “จะดิ้นทำไมเนี่ยเดี๋ยวลูกก็นอนไม่หลับไปด้วยหรอก นอนนิ่ง ๆ นะครับ เชื่อฟังเค้านะ ไม่ดื้อไม่งอแง” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยราวกับฉันเป็นเด็กอนุบาล ฉายรอยยิ้มกวน ๆ มาให้ จากนั้นโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่ หลังจากทำเป็นขัดขืนอยู่ได้สักพัก ฉันก็เริ่มเหนื่อยจนต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นจนหนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบไป เอียงหน้าไปมองก็พบว่าเขาหลับไปแล้วจริง ๆ เห็นอย่างนั้นฉันก็ยิ้มอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราตามไปอีกคน รู้สึกตัวในเช้าวันใหม่จากแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางระเบียงห้อง จึงหันกลับไปมองที่ว่างข้างกัน แต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาออกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ทิ้งไว้เพียงรอยยับย่นของผ้าปูที่นอนเท่านั้นเอง เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วฉันจึงเดินลงมาชั้นล่าง ภายในบ้านยังคงเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงใคร เห็นอย่างนี้ก็คิดถึงบ้านป่านนี้คงทานมื้อเช้ากันจนอิ่มแล้วสินะ เดินลงมาแล้วก็ส่องสายตามองหาเขา ไปที่ห้องนั่งเล่นก็ไม่พบตัว วันนี้เป็นวันหยุดมีธุระอะไรมากมายถึงต้องออกจากบ้านแต่เช้าอย่างนี้นะ เมื่อเข้าใจว่าออกไปข้างนอกแล้วฉันจึงเดินเข้าไปหาอะไรกินในครัว “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ” ได้ยินเสียงเอ่ยทักฉันก็ตกใจ ยกมือขึ้นทาบอก เมื่อรู้ว่าเป็นเขาจึงโล่งใจขึ้นบ้าง “ตกใจหมด นายมาทำอะไรในนี้เนี่ย” ฉันชักสีหน้าใส่ทันที “ก็มาทำกับข้าวรอเธอยังไงล่ะ คงจะหิวแล้วสิ” พอรู้อย่างนั้นฉันก็เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้เขาใส่ผ้ากันเปื้อนลายโดเรมอน เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ “อย่างนายเนี่ยนะทำกับข้าวเป็นด้วย อย่ามาโม้ไปซื้อมาจากข้างนอกแล้วแอบเอาใส่ถ้วยหรือเปล่า” สีหน้า แววตา และคำพูดต่างก็สบประมาทเขาเต็มที่ “โด่วว ดูถูกกันนี่หว่าเห็นไหมร่องรอยการทำกับข้าว อย่างนี้ยังคิดว่าฉันโกหกอีกอยู่หรือเปล่า มานั่งตรงนี้เลย” เขาจูงแขนฉันไปนั่งบนเก้าอี้ที่มีกับข้าววางไว้บนโต๊ะพร้อมแล้ว ทำไมรู้สึกว่าตัวเองถูกดูแลราวกับเจ้าหญิงก็ไม่ปาน คำที่พูดกับป๊าม๊าว่าจะดูแลฉันเขาทำได้จริง ๆ สินะ คิดได้อย่างนั้นก็รู้สึกผิดที่มองเขาผิดไป กับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะมีข้าวต้มหมู ผัดผักรวมมิตร ผลไม้และนมวางอยู่ครบเซต แม้จะเป็นเมนูที่ไม่ยากนักแต่ฉันก็รู้สึกดีใจที่เขาอุตส่าห์ทำให้ “กินเลยสิอร่อยนะ กินให้หมดด้วยฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ เมนูเพื่อคนท้องโดยเฉพาะเลยนะ” เขาว่าแต่ยังคงยืนมองดูฉัน ไม่ยอมมานั่งด้วยกัน สังเกตที่โต๊ะอีกครั้งก็พบว่ามีอาหารเพียงสำรับเดียว “แล้วนายล่ะไม่กินด้วยกันเหรอ” “ฉันต้องออกไปข้างนอกน่ะ เลยกะว่าจะไปกินข้างนอก” ว่าพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก “วันนี้เป็นวันหยุดไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงน้อยใจเอ่ยออกจากปากฉัน ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ แค่เขาไม่นั่งทานข้าวเป็นเพื่อนใจมันหวิวแปลก ๆ “เปล่า...ฉันมีนัดกับน้องจอย จะไปทานมื้อเช้าด้วยกันน่ะ เลยรีบตื่นขึ้นมาทำกับข้าวให้เธอก่อน” เขาว่าหน้าตาย ไม่รู้สึกกระดากปากบ้างหรือยังไงทั้งที่เมียตัวเองก็นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่คิดว่าฉันจะรู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ แต่เอ๊ะ! ฉันเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าต่างคนต่างอยู่แล้วจะมาเป็นบ้าอะไรเนี่ย “วันหลังไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันทำกินเองได้ ส่วนนายจะไปกินที่ไหนก็ไปเลย ไม่ต้องมาสนฉันหรอก” ฉันแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่พอใจเขามาก ก้มหน้าลงทานข้าวต้มทำเป็นไม่สนใจ “นี่เธองอนฉันเหรอ” “....” “เงียบอย่างนี้แสดงว่าใช่ หรือว่าเธอตกหลุมรักฉันแล้ว ท่าทีอย่างนี้เหมือนคนกำลังงอนกันเลยนะ” “ใครบอกว่าฉันรักนาย ไม่เจียมตัวเอาซะเลย ฉันไม่มีทางหลงรักเสือผู้หญิงอย่างนายหรอกรู้ไว้ด้วย แล้วฉันก็ไม่ได้งอนอะไรเลยแค่คิดว่ามันไม่ควรเท่านั้น นายจะไปมีใครก็เรื่องของนาย ไม่จำเป็นจะต้องมาพูดให้ฉันได้ยินอีก เพราะมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน” ฉันด่าชุดใหญ่แล้วก้มลงทานข้าวต่อ แต่ในวินาทีนั้นกลับรู้สึกพะอืดพะอมจะอาเจียน จนต้องเอามือปิดปากเอาไว้ “อุ๊ก...” “นี่เธอเป็นอะไร” “อ้วกก!!” ฉันไม่มีเวลาตอบคำถามเพราะตอนนี้กำลังจะขย้อนของเหลวออกมาเต็มที จึงรีบวิ่งออกจากครัวตรงไปยังห้องน้ำ นายฟีฟ่ารีบวิ่งตามหลังมาติด ๆ ในขณะที่ฉันกำลังขย้อนของเหลวลงชักโครกก็ได้เขานี่ล่ะคอยลูบหลังให้ เมื่ออาเจียนจนหนำใจแล้วก็นั่งอย่างหมดแรงอยู่ข้างชักโครก รู้สึกร้อนหน้า น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย แถมยังเวียนศีรษะอีกด้วย ทำไมถึงได้ทรมานอย่างนี้นะ “เป็นไงบ้างไหวไหม เดี๋ยวฉันจะพาไปหาหมอ” เขาถามอาการด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องห่วงฉันหรอก นายจะไปไหนก็รีบไปเถอะฉันดูแลตัวเองได้” ว่าพร้อมปัดมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไปจากห้องน้ำ “ทำเป็นอวดเก่ง ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมาก็จะส่งผลถึงลูกในท้องด้วยนะ จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกัน” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเจือความดุเล็กน้อย “คงเป็นห่วงลูกมากสินะ” นั่นสิคงเป็นห่วงแค่ลูก หากฉันไม่ท้องคงจะออกไปหายัยจอยนั่นแล้ว “ใช่! ห่วงมากด้วย ก็ฉันเป็นพ่อจะไม่ให้ห่วงลูกได้ไง” “หลีกฉันจะออกไป” ฉันผลักอกเขาให้ออกห่างจากตัวแล้วหยัดตัวลุกขึ้น แต่ทว่ากลับรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนจึงต้องล้มตัวนั่งลงอีกครั้ง จนศีรษะกระแทกกับผนังห้องน้ำ “โอ๊ย!” “ทำไมต้องดื้อด้วยวะ วันนี้ไม่ไปไหนแม่งแล้ว” เขาเอ่ยอย่างใส่อารมณ์ จากนั้นอุ้มฉันขึ้นในท่าเจ้าสาวพาไปนอนพักบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ฉันเวียนศีรษะจนไม่สามารถทำอะไรได้เอง จึงได้แต่นอนอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็ได้กลิ่นยาดมจึงลืมตาขึ้นมาดู เห็นเขากำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ยื่นยาดมมาจ่อที่จมูก เห็นอย่างนั้นฉันจึงยกมือขึ้นจะจับมันด้วยตัวเอง “หยุด! นอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นล่ะฉันจับให้เอง ถ้าไม่ดีขึ้นฉันจะพาไปโรงพยาบาล” เขาเอ่ยเสียงดุ แต่ทว่าแววตานั่นกลับแสดงถึงความห่วงใยไม่น้อย “ฉันไม่ไปโรง’บาลนะ” “ถ้าไม่ไปก็นอนพักผ่อนให้หายไว ๆ” “นายไม่ออกไปข้างนอกแล้วเหรอ เดี๋ยวน้องจอยของนายก็รอนานหรอก” “เอ้อลืมไปเลย” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้จึงหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคน “น้องจอยเหรอครับ วันนี้พี่มีธุระด่วนคงไปไม่ได้แล้วนะ” “เอาไว้วันหลังนะคะอย่างอนดิ” “รอบหน้าพี่ไม่ผิดนัดแน่” “โอเค ๆ ครับแล้วเจอกันนะ” “ครับผม” ในขณะเขากำลังคุยสายกับจอยฉันก็เสตามองไปทางอื่น มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่าเพราะเวลาที่เขาคุยสายกับจอยฉันมักจะได้ยินด้วยทุกครั้ง นั่นทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก “พอใจยัง” “ทำไมฉันจะต้องพอใจหรือไม่พอใจด้วย มันเรื่องของนาย” ตอนนี้ฉันหลับตาไม่อยากเห็นหน้าเขาให้รู้สึกหงุดหงิด “ก็เคยบอกแล้วไงว่าเธอกับลูกสำคัญที่สุดอยู่แล้ว ทำไมต้องคิดมากด้วยวะ” “ใครคิดมาก ฉันก็เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้าไม่มีนายฉันก็เลี้ยงลูกเองได้อยู่แล้ว” “แล้วเวลาพูดทำไมต้องหลับตาด้วยล่ะ หรือกลัวจะหวั่นไหวกับหน้าหล่อ ๆ ของฉัน” “หล่อตายล่ะ” ได้ยินอย่างนั้นฉันก็เปิดเปลือกตาขึ้นมาทันที แต่ทว่าทุกอย่างกลับหยุดชะงักเมื่อดวงหน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน เราทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้น ราวกับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างสะกดให้ไม่สามารถละสายตาได้ ไม่นานริมฝีปากเราก็สัมผัสกัน เขาเริ่มบดเบียดมันอย่างช้า ๆ เพิ่มแรงบดขยี้หนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ “อืมม..” หลังจากกำราบฉันด้วยการจูบแล้วเขาก็ผละใบหน้าออกมาอย่างช้า ๆ อีกฝ่ายพยายามจ้องตาแต่คราวนี้ฉันไม่ยอม นั่นเพราะรู้สึกเขินจนต้องวางมันไว้ที่แผงอกเขาแทน “นอนอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน ถ้าฉันกลับมาไม่เห็นเอาเธอตายแน่” นั่นเป็นคำขู่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในครัว ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเขินเวลาที่เขาเอ่ยคำห่วงใยพวกนั้นออกมา ทำไมฉันต้องแพ้สายตาคมคู่นั้นยอมทำตามคำสั่งโดยไร้เหตุผลมาคัดค้าน เขาเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับถาดข้าวต้มและแก้วนม นั่นทำให้ฉันต้องหันหน้าหนีเพราะไม่รู้สึกหิวอะไรเลย “ไม่เอาฉันไม่กินนะ เดี๋ยวก็อ้วกออกมาอีกหรอก” “อย่าดื้อดิลุกขึ้นมากินสักคำสองคำก็ยังดี เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาหรอก” สั่งอีกแล้ว “ไม่เอาฉันไม่กิน” ฉันยังคงปฏิเสธนอนขดตัวอยู่บนโซฟาราวกับเด็กดื้อที่ไม่ยอมกินยา เมื่อไม่ยอมเชื่อฟังเขาจึงเดินเข้ามาดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็นแสนเข็ญ “นายทำบ้าอะไรเนี่ยยย ก็ฉันบอกไม่กินไงล่ะ” เมื่อฉันงอแงราวกับเด็กน้อย เขาจึงอุ้มไปนั่งบนตักกอดไว้ด้วยแรงอันมหาศาล “ต้องกิน” “ไม่กินไม่หิว ไม่ต้องมากอดฉันด้วย” เขาไม่สนใจเสียงประท้วง กลับยื่นมือไปจับช้อน ตักข้าวต้มขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากฉัน “อ้าปากเดี๋ยวนี้” “...” ได้ยินอย่างนั้นฉันจึงเม้มปากแน่น เมื่อไม่ได้รับความร่วมมือ เขาจึงเลื้อยมืออีกข้างสอดเข้าไปใต้ร่มเสื้อ เลื้อยผ่านสะดือลงไปอย่างช้า ๆ ราวกับต้องการแกล้งให้ฉันยอมเปิดปาก “ถ้าไม่อ้าปากฉันจัดการเธอแน่หึ ๆ” เสียงคำรามของมัจจุราชดังข้างหู ทำให้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว รีบบีบขาเข้าหากันในทันที “...อื้อ...” “ไม่ยอมใช่ไหมได้!!” ตอนนี้มือหนาเริ่มเลื้อยลงไปจนถึงขอบกางเกงแล้ว รสสัมผัสนั่นทำให้ฉันเสียวซ่านไปทั้งตัวจนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “ยอมแล้ว ๆ เอามือนายออกไปเดี๋ยวนี้เลย” “ก็แค่นี้ล่ะทำไมต้องให้ขู่ด้วย” นับจากวินาทีนั้นฉันก็กลายเป็นแค่ลูกนกตัวน้อย ๆ อยู่ในกรงทองที่เขาสร้างไว้ ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรก็ไม่อาจทัดทานได้เลยสักครั้ง ฉันไม่รู้ว่าที่ยอมเพราะเห็นแก่ลูกในท้อง เห็นแก่คำว่าครอบครัว หรือว่า...เป็นเพราะเริ่มหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้เข้าให้แล้วกันแน่
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 8 หวั่นไหว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A