บทที่ 15 อยู่อย่างนี้นาน ๆ นะ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 15 อยู่อย่างนี้นาน ๆ นะ
บทที่ 15 อยู่อย่างนี้นาน ๆ นะ “กรี๊ดดด!! กล้าพูดอย่างนี้กับฉันได้ยังไง เธอมันก็แค่เมียที่เขาจำใจแต่งงานด้วย ถ้าไม่ท้องมีหรือพี่ฟีฟ่าจะยอมลดตัวลงมาคลุกคลีด้วย พี่ฟีฟ่ารักฉันไม่ได้รักเธอรู้ไว้ด้วย” “พอเถอะจอยกลับไปก่อนได้ไหมถือว่าพี่ขอ” เห็นสีหน้าเจื่อน ๆ ของเขาก็รู้สึกหงุดหงิด หากแน่จริงก็ต้องทำให้หล่อนคนนี้กลับบ้านให้ได้ ไม่งั้นสิ่งที่ฉันตอบตกลงก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นอันยกเลิก “ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้ให้เสียสุขภาพจิต ถ้านายเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ก็เก็บข้าวของออกไปจากบ้านได้เลย” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด มองหน้ายัยจอยอย่างดูหมิ่นดูแคลน ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปก่อน “แน่จริงก็อย่าหนีสิยะ คนอย่างเธอมันก็แค่เมียในสมรส ที่ผู้ชายเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบเท่านั้น” “พอได้แล้วจอย” “ก็พี่เป็นคนบอกจอยเองไม่ใช่เหรอ” “หยุด!” “พี่ฟีฟ่าอ่ะ ทำไมต้องตวาดจอยด้วย ฮือ ๆๆ ไหนบอกว่ารักจอยยังไงล่ะ” เสียงพูดคุยของสองคนนั้นค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ขณะฉันเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากปิดประตูแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงสนทนาให้รบกวนจิตใจอีกเลย ฉันรีบเดินขึ้นไปบนห้องนั่งกอดเข่าบนเตียง พยายามสงบสติอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่ภาพและเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้ตามมาหลอกหลอน ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนทนไม่ไหว เดินออกไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ เมื่อชะโงกหน้าออกไปดูก็แทบล้มทั้งยืน เมื่อเห็นนายฟีฟ่าโอบกอดยัยจอย ในขณะที่เจ้าหล่อนกำลังร้องไห้งอแงราวกับเด็กน้อย เป็นภาพที่ทำร้ายความรู้สึกฉันมากเหลือเกิน น้ำตาไหลพรากลงมาโดยไม่รู้ตัว ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ “ไหนบอกว่าจะเลิกให้ได้ ทำไมถึงมากอดกันอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ ฮึก...ฉันจะไม่เชื่อใจนายอีกแล้ว” ว่าแล้วฉันก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูตามด้วยผ้าม่านไม่อยากเห็นภาพพวกนั้นอีกแล้ว กลับขึ้นมานอนบนเตียงอีกครั้ง นอนกอดหมอนข้างร้องไห้อยู่อย่างนั้น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “ขวัญข้าว เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ” “...” “ขวัญข้าวฉันจัดการเรื่องน้องจอยเรียบร้อยแล้วนะ ต่อไปนี้จอยจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเราอีกแล้ว” “...” ฉันลุกขึ้นนั่งเอนหลังบนเตียง ได้ยินทุกอย่างที่เขาพูดชัดเจน แต่ไม่ยอมตอบกลับเพราะยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้น คือเรื่องจริงหรือแค่อยากให้ฉันสบายใจเท่านั้น “ข้าว! เธอเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมไม่ตอบ ถ้าไม่เปิดฉันจะพังเข้าไปจริง ๆนะ” “จะไปไหนก็ไปฉันอยากอยู่คนเดียว” ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องตะโกนตอบกลับไป “เธอโกรธฉันเหรอ ฉันคุยกับน้องจอยแล้ว เราจบกันด้วยดีไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนอบอุ่น คงหวังให้ฉันยอมลุกไปเปิดประตูให้ “แล้วที่ฉันเห็นนายกอดกับยัยนั่นล่ะ หมายความว่ายังไง” “ก็แค่กอดลา น้องเขาอยากกอดฉันเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง เปิดประตูให้หน่อยนะ” “ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่นายพูดล่ะ นายจะรับผิดชอบยังไง” “ฉันมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน” เมื่อได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นนั่น ฉันก็เริ่มลังเลใจ จู่ ๆ คำสั่งสอนที่ม๊าเคยให้ไว้ตอนแต่งงานก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง ม๊าให้เราพูดคุยกันด้วยเหตุผล หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน เมื่อตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้ เมื่อประตูถูกเปิดออกเขาก็รีบโผเข้ามากอดอย่างไม่ทันตั้งตัว “ฉันนึกว่าเธอจะยอมไม่เปิดประตูให้แล้วซะอีก ขอบใจนะที่เชื่อใจกัน ฉันดีใจที่สุดในโลกเลยรู้ไหม” อีกฝ่ายยกตัวฉันขึ้นแล้วพาเดินไปที่เตียง “นายทำบ้าอะไรเนี่ยเดี๋ยวก็ล้มกันพอดี” คำทักท้วงไม่เป็นผลเพราะตอนนี้เขาได้วางฉันนอนเอนหลังบนเตียง จากนั้นเดินเข่าขึ้นมาคร่อมตัวไว้ จ้องมองมาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้ฉันรอดมือไปได้แน่ จึงหลับตาลงรอรับสัมผัสที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป จุ๊บ! “คิดว่าฉันจะทำอะไรงั้นเหรอ หึ ๆ” อีกฝ่ายจุมพิตที่กลางหน้าผาก จากนั้นก็ขำเบา ๆ ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตอนนี้เขานอนตะแคงข้าง เอามือข้างหนึ่งค้ำศีรษะไว้ ส่วนอีกข้างสอดประสานกับมือฉันไว้อย่างแนบแน่น ส่งรอยยิ้มหล่อมาให้ “ก็เวลานายพาฉันขึ้นเตียงทีไร คิดแต่เรื่องพรรค์นั้นนี่นา” “ฉันรู้น่าว่ามันไม่ควร ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงนะฉันจะรอวันที่เธอพร้อม” “ถ้าฉันไม่พร้อมไปตลอดชีวิตล่ะ นายยังจะรอได้ไหม” ฉันเอียงหน้าไปถามเขา อีกฝ่ายยิ้มพลางทำท่าคิด “อืม...ถ้านานขนาดนั้นฉันคงจะไปบวชดีกว่า เพราะคิดเอาไว้แล้วว่าจะขอมีอะไรกับเธอแค่คนเดียวไปตลอดชีวิต” ว่าแล้วก็จับมือขึ้นมาจุมพิตอย่างอ่อนโยน “เอาจริงดิ” “จริง ๆ ฉันพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” “ถ้าฉันจับได้ล่ะว่านายไปมีอะไรกับคนอื่น” “เหอะ! ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน เว้นแต่ว่าฉันจะโดนมอมยา ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ใช่ความผิดฉันนะเว้ย” “แล้วคิดว่าใครจะมอมยานายงั้นเหรอ ยัยจอยหรือผู้หญิงคนอื่น ๆ” “คนอย่างฉันสาว ๆ ที่ไหนเห็นก็อยากกินกันทั้งนั้นล่ะ หล่อ ล่ำ แถมยัง...” ประโยคสุดท้ายเขาให้ฉันพิสูจน์ด้วยการจับมือไปคลึงที่กลางกาย ซึ่งตอนนี้ท่อนเอ็นตัวเขื่องกำลังตื่นตัวจนคับแน่นเป้ากางเกงจนจะทะลุออกมาแล้ว “อี๋!! ไอ้คนลามก มีอารมณ์ได้ตลอดเวลาเลยนะ อย่างนี้จะเชื่อใจได้ยังไงกัน” ฉันรีบสะบัดมือออกแล้วบิดท้องเขาสุดแรง “โอ๊ย!! เจ็บนะครับเมียจ๋า ทำไมชอบทำรุนแรงกับผัวจัง เดี๋ยวก็เอาคืนซะหรอก” “เอาเล้ย เอาเลยสิ หยิกให้ลูกในท้องเจ็บไปด้วย” ฉันท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว อีกฝ่ายขบริมฝีปากล่างไว้แน่นราวกับมันเขี้ยวฉันเต็มทน ถลกชุดคลุมขึ้นมากองไว้ใต้ราวนม จากนั้นวางมือหนาไว้บนท้องที่กำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ ลูบไล้เบา ๆ “นายทำบ้าอะไร!” “ก็เอาคืนไง” “อย่าบอกนะว่าจะทำจริง ๆ” “ใช่! ฉันจะทำจริง ๆ แต่แค่อยากทักทายลูกสาวเราเท่านั้นเอง” เขายังคงลูบไล้เบา ๆ บนท้องราวกับสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กข้างในได้ ฉันได้แต่นอนนิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ทุกครั้งที่เขาแสดงความรักต่อฉัน มันทำให้หัวใจอบอุ่นเหลือคณา และมั่นใจว่าลูกสาวที่อยู่ในท้องจะต้องรู้สึกและสัมผัสได้เช่นเดียวกัน “ลูกสาวพ่อทำอะไรอยู่ในนั้นน้า อย่าดื้ออย่าซนนะ” ได้ยินอย่างนั้นฉันก็หลุดขำออกมา “คิกๆ” “ขำอะไรไม่ทราบ ไม่เคยเห็นพ่อกับลูกคุยกันเหรอครับผม” เขาหันมาสนใจฉันแทน “ทำไมจะขำไม่ได้ที่มันปากฉัน” ฉันยิ้มกวน ๆ อย่างท้าทาย “ทำเป็นเก่งไปเถอะ เธอเองก็มีคดีติดตัวอยู่เหมือนกัน” เขาเอ่ยขณะเลื้อยมือต่ำลงเรื่อย ๆ จนถึงขอบแพนตี้ตัวจิ๋ว ฉันจับรีบคว้าหมับจับมือเขาไว้เสียก่อน “หยุดเลย! ไหนบอกจะแค่นอนคุยกับลูก” “ตอนนั้นใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ก็เธอกวนฉันขนาดนี้จะไปยอมได้ยังไงกัน” ไม่พูดพร่ำทำเพลงมือหนาล้วงเข้าไปข้างใน ลูบไล้เนินสาวอย่างช้า ๆ เนิบนาบจนฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ความกระสันเสียวพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง จนต้องควานหาสิ่งที่พอจะช่วยทุเลาความต้องการนั้นได้ นั่นคือท่อนเอ็นใหญ่ที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงเขาเรียบร้อยแล้ว เราทั้งคู่ต่างช่วยกันระบายความกำหนัดให้แก่กันและกัน ท่อนเอ็นใหญ่กระดกหงึกถูกมือน้อย ๆ ของฉันรูดขึ้นลงอย่างช้า ๆ ส่วนเขาใช้นิ้วกลางสอดใส่เข้ามาในร่องสวาทอันคับแคบ ที่แฉะชื้นไปด้วยน้ำเหนียวข้นสีขาวขุ่น “อื้อ...ฟีฟ่าฉันเสียว อ๊ะ ๆๆ” “ฮึ่ม...ซี๊ดดดส์! รูดแรง ๆ เลยครับที่รัก เค้าอยากปลดปล่อยเต็มทีแล้ว มันใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว” เมื่อแรงปรารถนาอันแรงกล้าถูกจุดประกายขึ้น เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในห้วงแห่งไฟสวาทอันเร่าร้อน แก่นกายแท่งใหญ่ถูกรูดขึ้นลงถี่ ๆ จนเขาร้องครวญครางเสียงดังพร้อมทั้งกระดกก้นรับจังหวะอย่างเมามัน เราทั้งคู่ส่งปลายลิ้นออกมาทักทายกัน ละเลงเลียรับรสชาติความหอมหวาน ในขณะที่มือก็ทำหน้าที่อย่างไม่หยุดหย่อน “ฟะ...ฟีฟ่า อื้อ” ฉันมีความสุขราวกับได้ขึ้นสรวงสวรรค์ เมื่อเขาเพิ่มจำนวนเป็นสองนิ้ว แถมยังเร่งจังหวะกระตุกให้เร็วและแรงขึ้น ฉันจำต้องอ้าขากว้าง ๆ เพื่อคลายความคับแน่น ร่อนสะโพกรับสัมผัสอันดุดันและเผ็ดร้อน “เสียวไหมครับที่รัก” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เอาแต่จ้องมองหน้าด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม ในขณะที่มือนั้นกระตุกอยู่ตลอดเวลา “สะ...เสียวที่สุด อ๊ะๆๆ เอาเข้าลึกกว่านั้นได้ไหม อื้อ” ฉันคงคุ้นชินกับท่อนเอ็นยาวใหญ่ของเขา จนต้องสั่งให้เอาเจ้านิ้วซุกซนนั่นเข้าไปลึกกว่านี้อีก “ลึกแค่นี้พอไหม อ่าห์ ซี๊ดดดส์! แม่งเสียวสัด ๆ” เขาสบถเมื่อฉันส่งหัวแม่มือบดขยี้ปลายหัวเห็ดบานโตแรง ๆ “ฟะ...ฟีพ่าฉันไม่ไหวแล้ว อ๊าย!” เมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทางฉันก็รูดท่อนเอ็นรัวๆ พร้อมทั้งร่อนสะโพกอย่างสุดเหวี่ยงรับจังหวะนิ้วที่สวนเข้าออกอย่างเมามัน “อ๊ากกกก!!! มะ...ไหวแล้ว” เขาตะโกนร้องสุดเสียงเมื่อมังกรตัวเขื่องพ่นพิษออกมาจนเลอะเต็มมือฉัน ในขณะเดียวกันน้ำนมเหนียวหยาดเยิ้มก็หลั่งไหลออกมาจนเลอะนิ้วเขาเช่นเดียวกัน เรานอนจ้องมองหน้ากันด้วยอาการหอบเหนื่อย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเราทั้งคู่ เปี่ยมด้วยความสุขที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว “ชิมไหม” สักพักฉันจึงแกล้งเขาด้วยการยกมือที่เลอะคราบสีขาวขุ่นขึ้นไปจ่อที่ริมฝีปาก “อี๋ คาวก็คาวเอาออกไปเลย” เขาดันมือฉันออก แสดงท่าทีรังเกียจ “แล้วที่นายเคยให้ฉันกลืนลงคอล่ะ ไม่คิดว่าฉันจะรังเกียจบ้างเลยหรือไง” “ก็มันเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงนี่นา ผู้ชายเขาไม่กินน้ำตัวเองหรอกยัยบ้า” “เห็นแก่ตัวสุด ๆ พวกผู้ชายเนี่ย ไม่อยากจะพูดด้วยแล้ว” ว่าแล้วก็ดึงชายกระโปรงชุดคลุมลงให้อยู่ในสภาพเดิม จากนั้นจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ทว่าอีกฝ่ายกางแขนกั้นไว้เสียก่อน ทำให้ต้องโน้มตัวลงนอนอีกครั้ง “อะไรอีกเนี่ยจะไปล้างตัว” “เรื่องของเรายังไม่จบ” เขานอนตะแคงข้างเอามือเท้าศีรษะไว้ ส่วนอีกข้างวางพาดลำตัวฉัน กันไม่ให้ไปไหน “เรื่องอะไรอีก ฉันเบื่อไม่อยากคุยเรื่องยัยจอยนั่นอีกแล้ว” ฉันตอบด้วยความรำคาญใจ “ไม่ใช่เรื่องน้องจอย แต่เป็นเรื่องคุณหมอหน้าหล่อนั่น เธอไปรู้จักมักจี่กับมันได้ยังไง ทำไมต้องไปกินข้าวด้วยกัน ทำไมต้องมาฝากท้องกับหมอคนนี้” “นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ เขาเป็นหมอฉันก็เป็นคนไข้ รู้จักกันไม่เห็นจะแปลก ส่วนเรื่องไปกินข้าวมันก็แค่ตามมารยาทของคนรู้จักกันเท่านั้น งี่เง่าสิ้นดี” “เสืออย่างฉันดูออกว่ามันไม่ได้คิดกับเธอแค่คนไข้” “อย่าคิดว่าผู้ชายทั้งโลกจะเป็นเหมือนนาย คุณหมอเขาเป็นคนดีเกินกว่าจะมาใส่ร้ายป้ายสีอย่างนี้” “งั้นเธอสัญญาก่อนสิว่าจะไม่ไปคุย ไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้หมอนั่นเป็นการส่วนตัว เวลาจะเจอกันที่โรงพยาบาลต้องให้ฉันไปด้วยทุกครั้ง” “นายจะเผด็จการเกินไปแล้วนะ อย่าให้ฉันต้องโกรธนายอีกรอบ” ฉันกดเสียงต่ำเพื่อให้เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงด้วย “รับปากก่อนสิ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” น้ำเสียงเริ่มอ่อยลงเมื่อโดนขู่ อย่างนี้สิถึงจะน่ารัก ให้มันรู้ว่าใครใหญ่ “โอเค ๆ ฉันรับปาก แค่นี้ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แทนที่จะคิดหึงหวงฉันกับคุณหมอ เอาเวลาไปจัดการเรื่องยัยจอยให้เด็ดขาดดีกว่า ถ้านางมาระรานฉันแม้แต่ครั้งเดียวฉันเอานายตายแน่” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปจับติ่งหูแล้วบิดแรง ๆ ด้วยความหมั่นไส้ “โอ๊ะ โอ๊ย เจ็บนะครับ ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผัวอย่างนี้” “จะได้จำไงว่าถ้าทำอีกโดนหนักกว่านี้แน่ ฉันไม่ได้ขู่แต่เอาจริง” “รู้หรอกน่าว่าเอาจริง หน้าดุซะขนาดนั้น เค้าจะไม่ให้ใครมาระรานเมียกับลูกแน่นอนครับ เค้าสัญญา” ทำหน้าตายียวนกวนประสาทน่าตบสักฉาดเสียจริง “เอ้อ! แล้วทำไมยัยจอยรู้จักบ้านเรา นายเคยพามาที่นี่ใช่ไหม ตอบฉันมาตามตรง” จู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ วันนี้ต้องเคลียร์ให้มันรู้เรื่อง ไม่งั้นฉันนอนไม่หลับแน่ ๆ “มะ...ไม่ใช่สักหน่อย สงสัยเคยแอบขับรถตามมามั้ง” น้ำเสียงและสีหน้าดูมีพิรุธ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว “บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้” ฉันเค้นเสียงให้หนักขึ้นเพื่อกดดันเขา “เคยพามานอนด้วยครั้งเดียวเอง แต่มันจะไม่มีอีกแล้วนะครับ อย่าโกรธเค้าเลยนะสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก” เขาทำท่าทางออดอ้อนเพื่อเรียกคะแนนสงสาร แต่ฉันว่ามันน่าหมั่นไส้มากกว่า “ไอ้ฟีฟ่า ทำไมถึงได้เลวอย่างนี้ พาผู้หญิงมานอนในบ้านได้ยังไง วันนี้ฉันเอานายตายแน่” ฉันรัวฝ่ามือตบตามใบหน้าและลำตัวเขาไม่ยั้ง อีกฝ่ายได้แต่ยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่ได้ตอบโต้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำผิดมหันต์ “โอ๊ย! ที่รักเค้าขอโทษ อย่าตีกันอีกเลยน้า ไม่ใช่ไม่เจ็บนะเว้ย ผู้หญิงอะไรมือหนักเป็นบ้า” “วะกับใครวะ วันนี้ไม่ฉันก็นายต้องตายกันไปข้างนึงแน่นอน” “เอาจริงใช่ไหมเนี่ย ได้เลยครับผม คิดว่าตัวเองมีมือมีตีนฝ่ายเดียวงั้นเหรอ” เขาพลิกตัวขึ้นมานั่งคร่อม ตรึงข้อมือไว้บนเตียง ทำให้ฉันไร้ซึ่งอิสรภาพไปโดยปริยาย ฟอด ฟอด ฟอด “เก่งนักใช่ไหมฮึ คนดื้อต้องโดนอย่างนี้” “นายฟีฟ่าปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนผีทะเล” “ไม่ปล่อย! จะหอมแก้มไปอย่างนี้ทั้งคืนจนกว่าจะหมดฤทธิ์” ฟอด ฟอด ฟอด แผล็บ แผล็บ “ไอ้บ้าจั๊กจี้ ฮ่า ๆๆๆ ปล่อยฉ้านเดี๋ยวนี้ นายเป็นหมาหรือไง” ตอนแรกแค่หอมแก้มแต่ตอนนี้มีเลียด้วยซะงั้น “โฮ่ง ๆๆ โบร๋ว” ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เห่าหอนเลียนเสียงสุนัข ไม่นึกว่าจะบ้าจี้ทำอย่างนี้ไปได้ ยิ่งได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้สัมผัสในอีกหลาย ๆ มุมของเขา มันเป็นอะไรที่ดีงามมาก ผิดคาดกับที่คิดไว้ตั้งแต่แรก “นี่ฉันแต่งงานกับหมาเหรอเนี่ย” “ว่าไงครับเจ้านาย อยากโดนกัดคอหรือไง” แหนะ! ยังไม่จบอีก “ลองกัดดูสิฉันจะฟาดเข้าให้” “ไม่กล้ากัดหรอกครับ ก็รักซะขนาดนี้” เขาเปลี่ยนท่าทีปุบปับจนฉันตามอารมณ์ไม่ทัน เอามือสอดไปประคองแผ่นหลังรั้งตัวฉันขึ้นมากอดไว้ เขาเป็นผู้ชายที่มีลูกเล่นแพรวพราว อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสนุกและอบอุ่นไปพร้อม ๆ กัน เหมือนอย่างเช่นในเวลานี้ ฉันกอดเขาแน่น ซบหน้าบนไหล่หนาอย่างมีความสุข “อยู่กันไปอย่างนี้นาน ๆ นะ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ” “อื้ม...ฉันจะอยู่อย่างนี้ อยู่ข้าง ๆ นายตลอดไป” มันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ามากจริง ๆ อยู่ดูแลฉันกับลูกอย่างนี้ตลอดไปนะนายฟีฟ่า...สามีสุดที่รักของฉัน
已经是最新一章了
加载中