บทที่ 7 การมาเยือนของนักล่าแวมไพร์
1/
บทที่ 7 การมาเยือนของนักล่าแวมไพร์
Selena and the Vampire เซลีน่ากับผู้มาจากรัตติกาล
(
)
已经是第一章了
บทที่ 7 การมาเยือนของนักล่าแวมไพร์
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินทางของชายชุดดำที่ควบม้าเข้ามาในเขตหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย หัวหน้ากลุ่มดึงฮูดคลุมศีรษะเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัด ๆ อีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะขึ้น แต่เนื่องจากมีฝนตก ไม่แน่ว่าตอนกลางวันอาจเต็มไปด้วยท้องฟ้าที่มืดครึ้ม แต่นั่นไม่น่าเป็นห่วง เพราะตราบใดที่ไม่ใช่กลางคืน สัตว์ร้ายยามราตรีก็จะไม่ออกมาอาละวาด “ที่นี่สินะ หมู่บ้านมาฮิน่า” คนพูดเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลและมีนัยน์ตาสีเดียวกันกับเส้นผม เขากระชับเสื้อคลุมกันฝนพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตอนนี้มีคนออกมาทำธุระนอกบ้านไม่มากนัก เนื่องจากฟ้ายังมืดอยู่ “จากการตามรอยพวกแฟนาติก ดูเหมือนว่าพวกมันจะอยู่ที่นี่นะครับ” ลูกน้องคนหนึ่งควบม้ามาใกล้ ๆ หัวหน้าพลางเริ่มประเด็นการสนทนา “อีกอย่าง หญิงสาวแห่งดวงจันทร์คนล่าสุดก็อยู่ที่นี่ด้วย” “หัวหน้า เจอตัวแล้วต้องฆ่าทิ้งเลยไหมคะ หรือว่าต้องจับเป็น” หญิงสาวอีกคนซึ่งก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มถามขึ้น เพราะถ้าเจอตัว จะได้รู้ว่าพวกเขาต้องลงมือแบบไหน “สมัยก่อน เราเลือกที่จะฆ่าพวกนาง แต่อย่างที่รู้กัน แวมไพร์ชอบพาผู้หญิงพวกนั้นไปสร้างสายเลือดที่แข็งแกร่ง พวกเราก็เหมือนกัน ถ้าเราทำแบบเดียวกันกับพวกมัน เราอาจได้นักล่าแวมไพร์ที่แข็งแกร่ง” ชายหนุ่มไม่คิดจะจับตาย เพราะหญิงสาวเหล่านี้น่าจะมีประโยชน์ “แต่เรายังไม่เคยมีสายเลือดที่เกิดจากหญิงสาวพวกนั้นเลยนะคะ” “ถ้าจับหญิงสาวคนล่าสุดในหมู่บ้านนี้ได้ เราก็เริ่มต้นที่นางเป็นคนแรกละกัน” คนเป็นหัวหน้ากล่าวจบ เขาก็ควบม้าออกไปเพื่อหาที่พักระหว่างอยู่ในหมู่บ้านโดยมีลูกน้องตามหลังมาติด ๆ กลุ่มย่อยของนักล่าแวมไพร์มาถึงแล้ว! กว่าเจ้าของบ้านจะตื่นก็สายมากแล้ว เซลีน่าลุกจากที่นอนพลางขยี้ตางัวเงีย เธอลุกออกไปเปิดหน้าต่างจึงเห็นว่าฝนหยุดตกแต่ฟ้ายังครึ้มอยู่ เซลีน่าเดินปิดปากหาวนอนออกมาที่ห้องโถง เห็นนอสยังนั่งคุยอยู่กับค้างคาวสอดแนม เธอก็ไม่แปลกใจนัก อุตส่าห์ได้เจอคนบ้านเดียวกันทั้งทีก็ต้องคุยนานเป็นธรรมดา “ตื่นแล้วเหรอ” “อืม...แต่หิวชะมัด” เจ้าของเสียงหวานพึมพำหลังจากที่นอสทักทายยามเช้า เซลีน่าเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้า ส่วนชายหนุ่มก็หันไปคุยกับค้างคาวน้อยต่อ “ข้ามีข่าวใหม่จากฝ่ายนักล่าแวมไพร์ด้วย” “เล่ามาสิ” พอได้ยินว่ามีข่าวจากฝั่งศัตรู ชายหนุ่มก็สนใจ ตอนนี้ไม่ได้ข่าวเลย ถ้าได้รู้อะไรอีกสักนิดก็คงดี สิ่งมีชีวิตสีดำชำเลืองมองคนในครัวก่อนที่มันจะเขยิบมาใกล้ ๆ คนฟังพลางลดเสียงลง “เรื่องนี้เกี่ยวกับหญิงสาวแห่งดวงจันทร์ พวกนักล่าแวมไพร์เปลี่ยนนโยบายกำจัดพวกนางแล้วครับ พวกนั้นเห็นว่าฝ่ายเราให้พวกนางกำเนิดสายเลือดที่แข็งแกร่ง พวกนั้นก็เลยคิดจะทำแบบเรา” “...” นอสอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะตวัดสายตาไปมองเซลีน่า เธออาจกลายเป็นเป้าหมายซึ่งเรื่องนั้นเขายอมไม่ได้ “สิ่งที่เราทำ ข้าเองก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่คราวนี้พวกมันก็จะทำแบบเราอีก บ้าจริง!” “สีผมกับสีตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องดูออก ถ้าพวกนักล่าแวมไพร์เจอนาง ข้าว่าพวกนั้นคงไม่ลังเลที่จะพานางไปแน่” “ขอบใจที่เตือน” ’ผู้หญิงพวกนี้น่าสงสารจริง ๆ ถูกนำตัวไปใช้ประโยชน์ราวกับสิ่งของ’ นอสถอนหายใจยาวพลางชำเลืองมองเซลีน่าที่ไม่รู้เรื่องการสนทนาอีกครั้ง เธอรู้แค่ว่าตอนนี้ต้องทำอาหารมื้อเช้าจึงไม่ได้ฟังคนอื่นคุยกัน “หญิงสาวแห่งดวงจันทร์น่ะ น่าสงสาร เพราะรูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม การใช้ชีวิตจึงลำบาก แวมไพร์กับนักล่าแวมไพร์เองก็จ้องแต่จะจับตัวไป ถ้าเป็นไปได้พวกเธอก็ไม่อยากมีชีวิตแบบนี้หรอก” “นอส ถ้าเจ้าเจอคนที่เป็นแบบเดียวกันกับแม่ เจ้าช่วยปกป้องนางได้ไหม แค่ช่วยให้ได้สักคนก็ยังดี” คำขอร้องของแม่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดและนอสก็จำได้ไม่เคยลืม นั่นคือสาเหตุที่เขายังอยู่กับเซลีน่าทั้งที่อาการบาดเจ็บหายไปนานแล้ว ยามเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าไม่ได้มืดครึ้มเหมือนเมื่อวานเพียงแต่มีเมฆมากเท่านั้น เซลีน่าตั้งใจจะไปซื้อของในหมู่บ้านมาทำกับข้าวในตอนเที่ยงวัน หญิงสาวจึงมาหาคนที่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว นอสที่นอนคลุมโปงอยู่โผล่หน้าออกมา เมื่อเห็นหน้าเจ้าของบ้านจึงรีบลุกขึ้นมานั่งทันที “จะไปข้างนอกเหรอ” “ไปซื้อของน่ะ ไม่นานหรอก” “เดี๋ยว” ร่างบางที่กำลังจะเปิดประตูออกไปชะงักแล้วหันมามองคนเรียก “มีเรื่องอยากจะเตือน เมื่อวานเจ้าค้างคาวนั่นบอกข่าวไม่ดีอย่างหนึ่ง” นอสพูดถึงสิ่งมีชีวิตสีดำที่ออกเดินทางไปยังดินแดนรัตติกาลตั้งแต่เมื่อคืน จากนั้นก็เล่าเรื่องที่คุยกับค้างคาวสอดแนมให้ฟัง “เมื่อก่อนก็แวมไพร์ คราวนี้เป็นนักล่าแวมไพร์อีก ข้าล่ะเบื่อจริง ๆ หญิงสาวพวกนั้นเป็นคนนะ ไม่ใช่สิ่งของ ทำอย่างกับพวกเราไม่มีชีวิตจิตใจ” “เรื่องที่เผ่าพันธุ์ข้าทำ ข้าไม่เคยเห็นด้วยหรอกนะ” เขาไม่อยากให้เธอเข้าใจเขาผิดไปด้วย เซลีน่าสบตากับคู่สนทนาแล้วยักไหล่อย่างไม่แยแส “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าเจ้ามีส่วนรู้เห็นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเจ้าคงหาทางพาข้าไปยังดินแดนรัตติกาลแล้วประเคนข้าให้ราชาแวมไพร์ไปแล้ว ข้าพูดถูกหรือเปล่า” เรื่องที่ผู้ปกครองแดนนั้นใช้หญิงสาวแห่งดวงจันทร์ให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกร่ง นอสก็เคยบอกแล้วและเธอก็จำได้ด้วย “รีบไปซื้อของเถอะ ข้าจะนอนเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ” “ถ้านักล่าแวมไพร์โผล่เข้ามาในหมู่บ้าน ข้าจะระวังไม่ให้โดนจับละกัน” เจ้าของเสียงหวานทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ’นี่ข้าเป็นอะไรเนี่ย’ เซลีน่ายกมือทาบอกเพราะรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่ในบ้านมีคนมาอยู่เพิ่ม เธอก็เริ่มมีปัญหากับการอยู่คนเดียว นั่นคือเธออยากให้มีใครสักคนอยู่ใกล้ ๆ และคอยพูดคุยด้วย แต่เมื่อกี้เธอคิดว่าสายตาของนอสที่มองมามันแปลก ๆ อย่างไรชอบกล ทว่ามันไม่ได้ทำให้เธอกลัว แต่ทำให้เธอเก็บไปคิดมากกว่า “เขา...ห่วงเราหรือเปล่านะ” “นังเซลีน่ามันมาอีกแล้ว” “นังหน้าด้าน!” “ยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกนะ” พอก้าวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน สายตาของพวกสาว ๆ ก็หันมาจ้องเธออย่างเอาเรื่อง เจ้าของเรือนผมสีแสงจันทร์ทำเป็นไม่สนใจ เธอแวะบ้านคุณยายท่านหนึ่งที่ได้ข่าวว่าป่วยพร้อมกับนำผักในแปลงที่ปลูกไว้มาเป็นของฝาก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายขนมเพื่อซื้อแยมมาทาขนมปัง “เซลีน่า แต่งงานกับข้าเถอะ” “...” ทันทีที่ก้าวออกมานอกร้าน หญิงสาวก็เจอชายร่างท้วมคนหนึ่งนั่งคุกเข่าพลางยื่นดอกกุหลาบมาให้ เธอส่ายหน้าอย่างรำคาญก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ “เซลีน่า เจ้าว่างหรือเปล่า ข้าจะชวนเจ้าไป...” “ขอโทษนะ ข้าต้องไปซื้อของ” เธอเดินเลี่ยงไปอย่างไม่สนใจ ชายคนนั้นยืนอึ้งไปชั่วขณะ แล้วกัดฟันกรอดเมื่อเห็นคนที่คุกเข่าขอเธอแต่งงานแอบหัวเราะ ด้วยความโกรธ ชายหนุ่มจึงตรงเข้ามาคว้าแขนหญิงสาวทันที “ข้าอุตส่าห์เข้าหาเจ้าดี ๆ แต่เจ้ายังไม่สนใจ คิดว่าสวยแล้วเลือกได้หรือไง มานี่!” เขาพยายามฉุดกระชากลากถูเธอไป เซลีน่าพยายามสลัดออกแต่ไม่ได้ผล จังหวะนั้นปลายดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งมาจ่อคอคนร้าย “ถ้าไม่อยากถูกเสียบคอก็ปล่อยนางไป” “ปะ...ปล่อยแล้ว!” ชายคนนั้นยอมปล่อยหญิงสาวก่อนจะวิ่งหนีไปแบบไม่คิดชีวิต ทางด้านคนรอดตัวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นัยน์ตาสีแสงจันทร์สบกับนัยน์ตาสีน้ำตาล แล้วร่างบางก็ค้อมศีรษะเล็กน้อย “ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยข้าไว้” “ไม่เป็นไร บังเอิญข้าผ่านมาเห็นจึงช่วยไว้ตามสมควร” ผู้มาใหม่เก็บดาบเข้าฝักขณะมองเจ้าของเรือนผมสีแสงจันทร์ แม้ว่ามองเผิน ๆ ก็ไม่ต่างจากสีทอง แต่ถ้ามองดี ๆ จะพบว่าสีมันต่างกัน “เจ้ามาจากที่อื่นเหรอ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย” เซลีน่าเคยเจอทุกคนในหมู่บ้าน แต่เธอมั่นใจว่าไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน ชายหนุ่มยิ้มจากนั้นก็แนะนำตัว “ข้าชื่อโคลวิส เดินทางมาจากต่างเมือง เจ้าไม่เคยเห็นข้าก็ไม่แปลกหรอก” “เซลีน่าค่ะ” เธอแนะนำตัวตามมารยาท “ข้าต้องไปซื้อของแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” เธอหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชายต่างถิ่นมองตามหลังอย่างไม่วางตา พลันลูกน้องสองคนที่อยู่ห่าง ๆ ก็เดินเข้ามา “หัวหน้า ใช่นางหรือเปล่าครับ” “สีผมกับสีตาเป็นสีแสงจันทร์จริง ๆ เราเจอเป้าหมายแล้ว” โคลวิสหันมามองลูกน้องคนหนึ่งจากนั้นก็ออกคำสั่ง “ไปสืบมาสิว่าผู้หญิงที่ชื่อเซลีน่ามีบ้านพักอยู่ที่ไหน” “ข้าจะรีบจัดการให้ครับ” เสียงเปิดประตูบ้านทำให้คนนอนมุดอยู่ใต้ผ้าห่มโผล่หน้าออกมาทันที เซลีน่ากลับมาแล้ว เธอปิดประตูจากนั้นก็ตรงเข้าไปในครัว นอสลุกขึ้นมานั่งหาวนอน เขามองหญิงสาวทำอาหารมื้อเที่ยง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งเจ้าของบ้านเป็นคนเปิดประเด็น “วันนี้ข้าเจอคนต่างถิ่น” “แล้วอย่างไรต่อ” พอเธอเริ่มคุย เขาก็โต้ตอบโดยอัตโนมัติ “มีผู้ชายพยายามฉุดข้า แล้วเขาช่วยข้าไว้ รู้สึกจะชื่อว่าโคลวิส” เซลีน่ายกจานใส่ขนมปังทาแยม ข้าง ๆ ก็มีผักที่คลุกเคล้าด้วยน้ำสลัดมานั่งกินตรงหน้าคู่สนทนา “โคลวิสสินะ” “มีอะไรเหรอ” “ชื่อเหมือนเจ้านั่นเลยแฮะ” นอสพึมพำขณะนั่งครุ่นคิด แต่พอนึกว่าเซลีน่าเจออีกฝ่ายแสดงว่าต้องเห็นหน้า เจ้าตัวจึงถามกลับ “อธิบายหน่อยได้ไหม หน้าตาเขาเป็นอย่างไร” “ก็หล่อดีนะ” เธอคิดไปเองหรือเปล่าว่าเมื่อกี้แวมไพร์หนุ่มทำหน้าเหมือนคนอารมณ์เสีย “เขาผมยาวประมาณบ่า สีตากับสีผมเป็นสีน้ำตาล เค้าโครงหน้าก็ประมาณ...” เซลีน่าอธิบายพลางทำท่าให้ดูประกอบ นอสหยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ เก้าอี้ไม้ยาวจากนั้นก็ใช้ดินสอวาดรูปชายตามลักษณะที่เธอบอก “ใช่คนนี้หรือเปล่า” คนวาดพลิกรูปกลับมาให้เธอดู เจ้าของบ้านถึงกับเบิกตากว้างแล้วคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาดู ก่อนจะเงยหน้ามองคู่สนทนา “คนนี้แหละ ว่าแต่ทำไมเจ้าวาดรูปเหมือนจัง” “ตอนข้าอายุสามสิบ ข้าเคยฝึกงานเป็นคนสเก็ตช์ภาพมาก่อน” “อ้อ...เดี๋ยวนะ!” เมื่อกี้เธอได้ยินเขาพูดว่าตอนอายุสามสิบ แสดงว่าเขากล่าวถึงอดีต แต่รูปลักษณ์ของนอส ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากคนอายุใกล้เคียงกับเธอเลย “เจ้าอายุเท่าไร” “ปีนี้น่าจะสี่ร้อยปีพอดี” “...” ’ที่แท้ก็เป็นตาแก่ร้อยปีเหรอเนี่ย!’ เซลีน่ายกมือกุมหน้า ในสมองก็สงสัยว่าแวมไพร์ดูแลตัวเองอย่างไรถึงหน้าเด็กขนาดนี้ “ว่าแต่เจ้ารู้จักคนในรูปหรือเปล่า” พอถามออกมา นอสก็ทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าเจ้ารู้จักจริง ๆ ใช่ไหม” “ผู้ชายคนนี้คือ ‘โคลวิส เซนวิก’ ทายาทตระกูลนักล่าแวมไพร์ ข้าไม่เคยลุยกับเขาหรอกนะ แต่เคยเห็นหน้า และเคยเห็นเขาต่อสู้ ฝีมือเขาสูสีกับเจ้าชายลำดับที่ห้า” “ฝะ...ฝีมือสูสีกับเจ้าชายลำดับที่ห้าเหรอ!” เซลีน่ายกมือกุมแก้ม เธอคิดว่าเจ้าชายแวมไพร์ไม่ได้มีฝีมือง่อย ๆ ถ้าอีกฝ่ายมีระดับขนาดนั้น การรับมือคงลำบากแน่ “งั้นจำไว้นะนอส เจ้าอย่าเผชิญหน้ากับเขาเด็ดขาด เดี๋ยวตายไม่รู้ด้วย” “เจ้าเองก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าจะรอดนะ อย่าลืมสิว่าตัวเองเป็นใคร เผลอ ๆ ตอนนี้อาจจะหมายหัวแล้วก็ได้” “อันที่จริง ข้าก็เผลอบอกชื่อให้เขารู้ไปแล้วด้วยสิ” ถ้าอีกฝ่ายกำลังหมายหัวเธออยู่จริง ๆ เซลีน่าก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาหารมื้อเที่ยงที่กินเข้าไปก็กลืนไม่ลง นอสไม่อยากให้เธอเครียดจึงพยายามปลอบใจ “ไม่เป็นไร เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เจ้ายังมีข้าอยู่นะ” “...” “เอ่อ...ถึงบางทีข้าจะบ๊อง ๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ข้ายิงปืนเป็นนะ แถมแม่นด้วย ถ้ามีอะไร ข้าก็ช่วยเจ้าได้” เห็นคู่สนทนาทำหน้าแปลก ๆ แล้วมองเขา นอสก็รีบหาข้อดีของตัวเองมาอธิบาย “นั่นสินะ” เซลีน่าไม่ปฏิเสธความจริงข้อนั้น ซากแฟนาติกที่เขาจัดการสลายไปตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นในวันก่อน ถ้ามันยังอยู่ นั่นคงเป็นหลักฐานว่าแวมไพร์หนุ่มยิงปืนแม่นมาก “ว่าแต่พ่อเจ้าได้ปืนมาอย่างไร ราคาน่าจะแพงไม่ใช่เหรอ” “ก็แพงนะ พอดีตอนนั้นพ่อข้าหาของป่าไปขายในเมือง ได้เงินเยอะ เลยแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปซื้อปืนมาไว้ใช้ล่าสัตว์” จากนั้นเซลีน่าก็นึกอะไรออก นัยน์ตาสีแสงจันทร์นึกสนุก เธอสบตากับนอสแล้วกล่าวต่อ “สอนข้ายิงปืนหน่อยสิ” “...” “ก็พ่อข้าจากไปก่อนจะได้สอนข้านี่ แถมแม่ข้ายิงปืนเป็นซะที่ไหนล่ะ” “ก็ได้ ข้าจะสอนเจ้า ให้เริ่มตอนไหนล่ะ “คืนนี้เลยละกัน” หญิงสาวมีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แถมยังใช้ส้อมจิ้มผักสลัดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยอีกต่างหาก ท่าทางอาการกินอะไรไม่ลงจะดีขึ้นแล้ว “ตอนนี้ยังกลางวันอยู่ แถมข้าก็รบกวนเจ้านานแล้ว นอนเถอะ กลางคืนค่อยตื่นมา” “งั้นเจอกันหลังดวงอาทิตย์ตกดิน” นอสมุดเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ส่วนเซลีน่าก็แยกไปอยู่ในครัว ระหว่างนี้ควรปล่อยให้แวมไพร์นอนพัก ส่วนเธอก็แยกไปทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ปราสาทกลางนครใหญ่คือจุดหมายปลายทางที่ต้องไป ค้างคาวน้อยที่เพิ่งกลับมาถึงถูกเรียกตัวไปยังท้องพระโรงทันที ที่นั่นมีคนรอฟังข่าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา แน่นอนว่าข่าวที่มันรายงานให้ราชาแวมไพร์และเหล่าราชวงศ์ได้ฟังก็เป็นข่าวเดียวกันกับที่มันบอกนอส “พวกแฟนาติกมันขยายพื้นที่การรุกรานแล้ว” “พวกนักล่าก็เคลื่อนไหวอีก” “แถมยังมีนโยบายเหมือนที่เราทำด้วย คงคิดจะหาสายเลือดที่แข็งแกร่งมาสู้กับเราสินะ” พวกขุนนางหันไปคุยกันหลังจากที่สิ่งมีชีวิตสีดำรายงานจบ ค้างคาวน้อยชำเลืองมองคนพวกนั้น แต่พอรู้สึกว่าถูกจ้องโดยสายตาคู่หนึ่ง มันจึงหันกลับมาค้อมศีรษะ “ข้ารู้ว่าเจ้ายังพูดออกมาไม่หมด” นายท่านรู้ด้วยแฮะ เจ้าตัวเล็กค้อมตัวลงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมารายงานต่อ “ข้าพบท่านนอสขอรับ” พริบตานั้น เสียงพูดคุยของเหล่าแวมไพร์มากมายก็หายไป เหลือเพียงแค่ความเงียบและสายตาทุกคู่ที่มองมาอย่างตื่นตระหนก “เจ้าเจอเขาเหรอ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม” เจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ บัลลังก์ผู้ปกครองชาวรัตติกาลถามขึ้นโดยแทบจะเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิด “ท่านนอสสบายดีขอรับ แล้วก็ฝากข้อความมาด้วยว่า...” ค้างคาวน้อยกำลังชั่งใจว่าจะพูดออกมาดีไหม เพราะทุกคนรู้ดีว่านอสไม่ถูกกับใคร แต่ในเมื่อทางนั้นต้องการให้บอก มันก็ต้องพูดออกมา “ท่านนอสบอกว่า ‘อย่าเพิ่งดีใจ ข้ายังไม่ตาย ข้ายังอยู่ให้เกลียดขี้หน้าอีกนาน’ ขอรับ” “ยังเหมือนเดิมเลยแฮะ” เจ้าชายลำดับที่ห้าถึงกับยกมือกุมหน้า “ข้าก็ลืมไป เขากับท่านพ่อไม่ถูกกันนี่” เจ้าชายลำดับที่สองชำเลืองมองชายบนบัลลังก์ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออุณหภูมิในท้องพระโรงกำลังลดลง “ข้าจะถือว่าคำพูดของคนที่ออกจากราชวงศ์ไปแล้วเป็นแค่สายลมที่พัดผ่านมาละกัน” หากสังเกตดี ๆ จะพบว่ามุมปากของราชาแวมไพร์กระตุกเล็กน้อย “มีข่าวอะไรอีกหรือเปล่า” “มีขอรับ ท่านนอสไม่ได้อยู่คนเดียว แต่มีหญิงสาวแห่งดวงจันทร์อยู่ด้วย นางมีสีผมกับสีตาตรงตามลักษณะ มั่นใจว่าไม่ผิดแน่ขอรับ” เสียงฮือฮารอบสองดังแว่วมา คงเพราะไม่มีใครนึกว่าจะมีผู้หญิงประเภทนี้ปรากฏตัวขึ้นอีก “นาน ๆ ทีจะมีหญิงสาวพวกนี้ปรากฏตัว แต่ละปีอาจมีคนเกิดในคืนนั้นไม่น้อยแต่น้อยคนนักที่จะมีสีผมกับสีตาเป็นสีแสงจันทร์” เจ้าชายลำดับที่สามกล่าวเสียงเรียบ เขาหันไปมองชายบนบัลลังก์แล้วพูดต่อ “บางทีการที่เขายังไม่กลับมา ข้าว่าเขาคงมีเหตุผล” “ไม่เห็นต้องเดาเลย เพราะผู้หญิงคนนั้นแหละ เขาถึงยังไม่กลับ” เจ้าชายลำดับที่สี่ยักไหล่อย่างไม่แยแสสายตาหลายคู่ที่มองมาแม้แต่น้อย “ถ้าถึงเวลา เจ้านั่นคงโผล่หัวมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาตามหามันหรอก” ราชาแวมไพร์ลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วเคลื่อนกายหายเข้าไปยังหลังม่าน ทุกคนในท้องพระโรงค้อมศีรษะจากนั้นก็ทยอยกันออกไปด้านนอกก่อนแยกย้ายไปเป็นกลุ่ม ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าเจ้าชายแวมไพร์ “ท่านพี่ เราจะเอาอย่างไรต่อ ไปตามเขากลับมาหรือว่ารอให้เขามาเอง” เจ้าชายลำดับที่ห้าถามเจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่เดินนำหน้ากลุ่ม “ท่านพ่อก็บอกแล้ว ถ้าถึงเวลา เขาจะกลับมา เราคงไม่ต้องไปตาม ยิ่งแนวหน้าถูกทำลาย พวกแฟนาติกก็ยิ่งขยายเขตการรุกราน ไหนจะมีนักล่าแวมไพร์อีก ท่าทางพวกเราจะเจองานหนักเข้าแล้ว” ร่างสูงกล่าวอย่างเคร่งเครียดก่อนจะเลี้ยวไปยังห้องสุดทางเดินของเส้นทางที่พวกเขาเดินมา ที่นั่นเป็นห้องประชุม พวกเขาต้องไปที่นั่นเพื่อหารือเรื่องงานของตัวเอง ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าแวมไพร์ตนนั้นจะรีบกลับบ้านโดยเร็ว!
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 7 การมาเยือนของนักล่าแวมไพร์
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A