บทที่ 3. แพะเริ่มรับบาป...   1/    
已经是第一章了
บทที่ 3. แพะเริ่มรับบาป...
มนตรามาถึงร้านอาหารซึ่งได้นัดแนะกับมิ่งเมืองว่าจะมาเจอกันที่ร้านแห่งนี้เพราะเธอสัญญากับเขาว่าจะเอาเงินมาให้เขาตามจำนวนที่พอจะหาได้ ทำให้เธอจำต้องมาพบมิ่งเมืองหลังจากที่เยี่ยมบิดาแล้วแม้ว่าเวลามันจะค่อนข้างดึกแล้วก็ตาม มนตรากวาดตามองหาพี่ชายด้วยความรู้สึกระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อเจอสายตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ส่งสายตามาแทะโลม แม้เธอจะชินกับถนนเส้นนี้ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งบันเทิงล่อแหลมแต่ก็อดประหม่าและระแวงไม่ได้ เพราะร้านอาหารที่พี่ชายนัดมามันหรูหราและเธอรู้กิตติศัพท์ดีว่าที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งโรงแรมที่บรรดาลูกค้าที่มารับประทานอาหารจะสามารถเปิดห้องพักได้ทันทีพร้อมของกำนัลพิเศษจากทางร้านหากว่าต่างฝ่ายต่างพอใจซึ่งกันและกัน แม้ว่าที่นี่จะไม่มีการบังคับขาย แต่สำหรับคนดีๆ เขาก็ไม่ได้อยากมานี่กันสักเท่าไหร่... “ไปไหนของเขานะ รอนานแล้วนะเนี่ย พี่เมืองนะพี่เมืองหลอกเรามารึเปล่าเนี่ย...” ว่าแล้วมนตราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้รับรองแขกในร้านแต่เท้าบางก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีอันหยุดกึกเมื่อมีชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัวสองคนมาขวางไว้ นี่มันลูกน้องเสี่ยวิบูลนี่นา... หัวใจของเธอหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของตนเล่นไม่ซื่อ... “เอ่อ กรุณาหลีกทางด้วยค่ะพอดีว่าฉันจะกลับแล้ว” มนตราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามตั้งสติและพูดดีๆ “ต้องขอโทษนะครับหนูมน ที่คนของเสี่ยเสียมารยาท...” เสียวิบูลปรากฏตัวขึ้นพร้อมทั้งโบกมือทำสัญญาณว่าให้คนของตนหลบออกไป เสี่ยวิบูลหันมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยให้เธอจนมนตรารู้สึกขนลุกด้วยความกลัวขึ้นมา... “ขอบคุณนะคะเสี่ย ถ้าย่างนั้นมนขอตัวนะคะ...” “ไม่เป็นไรจ้ะ แต่หนูมนจะยังคงไปไหนไม่ได้แน่ๆ เพราะเรามีเรื่องต้องคุยกัน เชิญหนูมนมากับเสี่ยสิจ๊ะ เราไปหาที่สงบๆ คุยกันก่อนดีกว่า” “แต่ เอ่อ มนจะต้องรีบกลับบ้านค่ะ บังเอิญว่าพรุ่งนี้เจ้านายของพ่อจะมาพักที่บ้าน มนต้องรีบกลับไปดูแลความเรียบร้อยก่อนท่านจะเข้าพัก คงต้องขอตัว” เธอบอกตามความจริงเมื่อบิดาซึ่งได้รับแจ้งจากลูกน้องของเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักที่บิดาของเธอดูแลมานานปีนั้นจะมาพักที่บ้านหลังงาม เจ้านายของพ่อ ที่เธอเองก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาว่าเป็นอย่างไร แม้จะเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านหลังนั้นมากว่าหนึ่งปีหลังจากที่เรียนจบและไม่จำเป็นต้องอยู่หอพักแล้ว... “เสี่ยเองก็ต้องบอกว่าเสียใจที่คืนนี้ปล่อยให้หนูมนกลับไปไม่ได้จนกว่าธุระของเราจะเสร็จ ไปที่รถกับเสี่ยดีๆ จะดีกว่านะหนูมน” น้ำเสียงและแววตาเจ้าเล่ห์ของเสี่ยวิบูลทำให้รู้สึกกลัวและหวาดหวั่นแต่ไม่เท่าความเสียใจที่เธอถูกพี่ชายแท้ๆ หักหลัง ทำไมมิ่งเมืองถึงทำกับเธอได้ขนาดนี้ เขายังเห็นเธอเป็นน้องสาวของเขาอยู่หรือเปล่า... มนตราถามตัวเองอย่างเจ็บปวดขณะเดินตามเสี่ยวิบูลไปโดยดีแต่ในหัวของเธอกำลังคิดว่าจะทำอย่างไร เธอจะต้องคิดและตั้งสติดีๆ หากร้องเรียกให้คนช่วยนอกจากจะไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ แล้วเธอยังจะเดือดร้อนอีกด้วยเพราะที่นี่เป็นถิ่นของเสี่ยวิบูล มนตราเดินตามหลังเสี่ยวิบูลไปเงียบๆ โดยมีลูกน้องสองคนของเสี่ยวิบูลเดินตามประกบด้วยใบหน้าท่าทางขึงขังน่ากลัวอยู่ไม่น้อย เธอก้มหน้าเล็กน้อยสอดส่ายสายตาหาทางหนีทีไล่เมื่อเดินมายังลานจอดรถที่ค่อนข้างจะไร้ผู้คนเพราะมันเป็นที่จอดรถส่วนตัวของเสี่ยวิบูล มันจะต้องมีช่วงที่พวกเขาประมาทผู้หญิงตัวเล็กๆ ล่ะน่า... และแล้วโอกาสของเธอก็มาถึงในจังหวะที่ลูกน้องของเสี่ยวิบูลเดินไปเปิดประตูให้เสี่ยวิบูลกับตนส่วนอีกคนก็เดินไปประจำตำแหน่งคนขับ วิ่ง สุดชีวิต... คิดได้ดังนั้นมนตราก็อาศัยจังหวะนั้นวิ่งลิ่วไปยังทางออกไปสู่ถนนใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เธอคงวิ่งฉลุยหากว่ารองเท้าคู่เก่งเจ้ากรรมนั้นไม่เกิดพลิกกะทันหันเพราะส้นแหลมเล็กน้อยของมันติดอยู่กับร่องพื้นซีเมนต์ที่แตกแยกของพื้นถนน นี่ขนาดว่าถนนในตัวเมืองที่นับว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเมืองไทยยังมีถนนชำรุดได้ และมันเกิดมาสร้างปัญหาให้กับเธอตอนนี้ด้วยสิ หญิงสาวหันกลับไปมองข้างหลังเห็นว่าลูกน้องเสี่ยวิบูลวิ่งตามเธออกมาด้วยความหวาดหวั่นทำให้มนตราจึงตัดสินใจถอดรองเท้าแล้วดึงข้างที่ติดขึ้นมาได้สำเร็จแต่ส้นมันก็หักและคงซ่อมไม่ได้ ช่างหัวมันเถอะตอนนี้เธอต้องรีบไปจากที่นี่... คิดได้ดังนั้นมนตราก็ตั้งท่าวิ่งต่อไปทั้งเท้าเปล่าเปลือยและรู้สึกได้ทันทีว่าลูกน้องเสี่ยวิบูลตามหลังเธอมาติดๆ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งกลัว... “กรี๊ด อุ๊บบบ...” “หยุดอย่าแหกปากไม่อย่างนั้นเธอถูกจับตัวไปสนองตัณหาไอ้เสี่ยหมูตอนนั่นแน่ๆ” มือปริศนาคู่หนึ่งกระชากเธอเข้าไปยังซอกระหว่างรถยนต์ที่จอดติดๆ อยู่ข้างถนนและค่อนข้างมืดสลัว มนตรานิ่งขึงด้วยความหวาดกลัวพยายามดิ้นแต่ยิ่งดิ้นอ้อมแขนแข็งแรงของเจ้าของมือนั้นก็ยิ่งรัดร่างเธอแน่นเข้าเหมือนคีมเหล็ก ก่อนที่ร่างเล็กของเธอจะถูกชายปริศนาดึงกึ่งกระชากเข้าไปในรถคันหนึ่งซึ่งติดฟิล์มมืดดำท่ามกลางความงงงันของเธอ นี่เรากำลังหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า... แต่อย่างน้อยเสียงฝีเท้าและเงาของลูกน้องเสี่ยวิบูลก็วิ่งผ่านรถคันที่เธอถูกลากขึ้นมาไปโดยที่ชายทั้งสองไม่สังเกตเห็นว่าเธออยู่ในรถคันนี้... “คุ คุณ เป็นใคร...” ทันทีที่ปากและร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระแม้จะไม่ทั้งหมดมนตราก็หันมาถามชายคนนั้นทันทีแต่เงาลางๆ ในรถอีกทั้งเขานั่งหันหลังให้ดวงไฟที่ส่องผ่านเข้ามาลางเลือนนั้นทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน รู้แต่ว่าเขารูปร่างสูงใหญ่แกร่งกระด้างน่ากลัว เขาผมยาวและมีหนวดเครารุงรังเธอรู้สึกได้ตอนที่เขาก้มมากระซิบเธอเมื่อครู่... “เจ้าชีวิตของเธอย่างไรล่ะสาวน้อย... หึหึ...” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเสี่ยวิบูลเป็นร้อยเท่าจนมนตรารู้สึกว่าเลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ... มือบางควานหาที่เปิดประตูรถออกไปเมื่อความหวาดกลัวเข้าถั่งโถมใจดวงน้อยๆ แต่แล้วสติของเธอก็ดับวูบลงไปทันทีเพราะผ้าที่มีกลิ่นฉุนจัดโปะลงมากึ่งปากกึ่งจมูกของเธอ... ชายหนุ่มมองดูร่างเล็กที่อ่อนปวกเปียกอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะสั่งให้คนขับรถเคลื่อนรถออกไปจากตรงนั้น ความจริงเรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองเลยสักนิด แต่เมื่อเห็นว่าจะมีคนเข้ามาข้องเกี่ยวมากเกินไปเขาจึงเลือกที่จะเข้ามาจัดการเองเพื่อตัดปัญหาและเพื่อความรวดเร็ว ส่วนไอ้เสี่ยหมูตอนนั่นเขาจะต้องจัดการมันแน่นอนหากมันเผยอมายุ่งมาวุ่นวายกับแผนการของเขา... นายมิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ วิ่งขึ้นมาจุกที่คอเมื่อได้เจอหน้าเจ้านายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับข่าวสารบางอย่างที่ได้ยินได้ฟัง แม้ไม่อยากเชื่อแต่เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังและอัครวัฒน์ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกตนในเรื่องนี้... “ผมต้องขอโทษแทนเจ้าเมืองมันด้วยครับ หวังว่าคุณโดมคงจะเมตตามัน...” “ฉันเลิกเมตตาคนเลวมานานแล้ว และพวกคุณจะต้องรับเคราะห์จากสิ่งที่ที่ไอ้เมืองมันทำ ส่วนนายมิ่งฉันเห็นแก่ว่าทำงานให้ฉันมานาน และเป็นคนดีซื่อสัตย์ฉันจะยังคงจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตลอดจนเรื่องการผ่าตัด แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวนายมิ่งเองว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ดูลูกๆ ของนายมิ่งพบจุดจบในชีวิตหรือเปล่า...” กล่าวจบก็เดินออกจากห้องพักฟื้นของนายมิ่ง ปล่อยให้ชายชรานอนน้ำตาไหลพรากอยู่บนเตียงสีขาวอย่างเจ็บปวดและรู้ดีว่าตนเองก็คงจะช่วยเหลืออะไรลูกๆ ทั้งสองไม่ได้เลย “โธ่ มน...” ในวินาทีนี้นายมิ่งรู้สึกสงสารและคิดถึงชะตากรรมของลูกสาวของตนมากที่สุด มือเหี่ยวย่นยกขึ้นกุมหน้าอกแน่นเมื่อรู้สึกอึดอัดตึงแน่นเจ็บเสียดแสบสะท้านไปทั้งทรวงอกทั้งลมหายใจยังติดขัดขึ้นมาจนนัยน์ตาที่ผ่านโลกมานานจะพร่าพรายจนมองอะไรแทบไม่เห็น โลกทั้งโลกดูจะหมุนคว้าง... อนิจจา... เขายังไม่อยากจะสิ้นลมหายใจไปในตอนนี้ เขาจะต้องมีชีวิตอยู่...
已经是最新一章了
加载中