ตอนที่ 10
‘สวนดวงดาว’ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
ในยามเช้าตรู่เรืออะลูมิเนียมลำโตที่บรรจุตะกร้าพลาสติกหลายใบพายลัดเลาะเข้าไปตามร่องสวนเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ถึงกำหนดเก็บได้ในสัปดาห์นี้ และสวนที่มีความกว้างมากกว่า 50 ไร่ กับคนงานเพียง 3 คน จึงทำให้เก็บได้วันละไม่มาก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะส้มโอนั้นเป็นผลไม้ที่เลื่อนการเก็บเกี่ยวไปได้อีกหลายวันโดยที่ไม่ทำให้ผลผลิตด้อยคุณภาพลง
‘ผู้ใหญ่ธงชัย’ จึงค่อยๆ เก็บไปวันละแค่ 10 เข่ง เพื่อเอาไว้ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่สัญจรผ่านหน้าบ้าน โดยที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่ด้านที่ติดถนนนั้นจะทำเป็นเพิงหมาแหงนไว้ขายของดีจากสวน คัดและขายโดยเจ้าของสวนเอง ย่อมดีกว่าไปซื้อหาจากร้านส่งในตลาดอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างที่ร้านค้าในตลาดมาขอรับซื้อ แต่นั่นผู้ใหญ่ธงชัยก็ต้องให้ลูกน้องคัดเลือกเฉพาะลูกงามๆ น้ำหนักดีๆ เพื่อการันตีว่าส้มโอที่มาจากสวนดวงดาวนั้นเนื้อดีมีคุณภาพทุกผล หากซื้อหาไปเป็นของขวัญของฝากก็จะได้ไม่อายใครเขา
ซึ่งของดีจากสวนดวงดาว นอกจากส้มโอพันธุ์ ‘ทองดี’ กับ ‘ขาวน้ำผึ้ง’ แล้วนั้น ก็ยังมีส้มเขียวหวาน มะนาว มะพร้าว ขนุน หรืออาจเป็นพืชผักสวนครัวต่างๆ ที่ ‘ดวงดาว’ ภรรเมียของผู้ใหญ่จัดเป็นกำหรือไม่ก็ใส่กระทงใบตองออกมาวางเรียงขาย เพื่อเป็นค่าน้ำค่าไฟภายในบ้านได้
กริ๊ง... กริ๊ง...
มือละจากไม้พายหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าคล้องคอขึ้นมาดูรายชื่อว่าใครกันนะที่โทรมาแต่เช้าตรู่ และก็ต้องยิ้มเพราะคนที่โทรหาก็คือคนที่ซื้อกระเป๋าใส่โทรศัพท์มาให้นี่แหละ เพราะว่าผู้ใหญ่มักทำโทรศัพท์ตกน้ำอยู่บ่อยครั้ง วิธีแก้คงมีทางเดียวคือหากระเป๋าคล้องคอซะ จะได้ไม่ล่วงหล่นหายไปไหนอีก เพราะลูกสาวบอกว่า ‘ค่ากระเป๋าน่ะถูกว่าค่าโทรศัพท์ตั้งเยอะ’
“จ๊ะเอ๋... ใครเอ่ย” ผู้ใหญ่ธงชัยกรอกน้ำเสียงใสอย่างมีความสุขลงไป และก็ได้ยินเสียงใสอย่างมีความสุขเช่นกันตอบกลับมา ซึ่งก็ทำให้ผู้ใหญ่ต้องยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม ทว่าดวงตากลับมีน้ำหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้นเพราะความคิดถึงคนต้นสาย
“อิอิ... ก็คิดว่าใครล่ะ คนสวยๆ ที่จะโทรมาเช้าแบบเนี้ย”
“อ้อ... แม่ดาวมีอะไรกับพี่เหรอจ๊ะ ถึงต้องโทรหา”
“อิอิ... พ่ออ่ะ ตลกอีกแล้ว”
เนตรดารายิ้มให้กับตัวเองในกระจกเพราะพ่อพูดหยอกเย้ากับเธอไม่หยุด ดวงตาสวยหวานเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความคิดถึง เพราะอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลก เธอจึงคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน พ่อกับแม่ที่มีความสุขและต่างมีอารมณ์ขันกันอย่างล้นเหลือ
“อายมีอะไรเหรอลูก โทรมาแต่เช้าเลย” น้ำเสียงปรานีเอ่ยถาม
“พ่อจ๋า... อายคิดถึงพ่อเหลือเกิน คิดถึงแม่ด้วย นี่พ่ออยู่ในสวนเหรอ ใช่สินะ เดือนนี้ส้มโอเก็บได้พอดี เฮ้อ! อยากกินพี่ทองดีของพ่อจัง แม่ขาวน้ำผึ้งก็คงกำลังเนื้อแน่นน่ากิน เฮ้อ!”
“อ้าวๆ ถอนหายใจอยู่นั่นแหละลูกสาวฉัน ยังสาวยังแส้ไม่ได้แก่สักหน่อย ถอนหายใจอย่างนี้ประเดี๋ยวก็ขายไม่ออกกันพอดี”
“อิอิ... ดีสิขายไม่ออกน่ะ อายจะได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อกับแม่สักที เบื่อจะตายเมืองนอก อยากกินน้ำพริกกะปิฝีมือแม่ อยากกินแกงส้มกุ้งแม่น้ำ อยากกินมะพร้าวน้ำหอม อยากกินส้มโอ อยากกินขนุน เฮ้อ!”
เนตรดาราถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับได้ยินเสียงพ่อหัวเราะตามมา ร่างงามระหงทิ้งตัวนอนหงายบนเตียง ดวงตามองฝ้าเพดานที่เธอมองเห็นตัวเองในยามเด็กกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน ช่วยพ่อเก็บเกี่ยวส้มโอที่บางลูกนั้นหนักจนเธออุ้มไม่ไหวต้องร้องเรียกพ่อให้มาช่วยถือ
“เบื่อก็กลับบ้านเราสิลูก นี่แม่เขาบ่นคิดถึงทุกวัน เมื่อไรหนอลูกสาวจะกลับมาบ้าน น้ำพริกถ้วยเก่าของแม่เขามันจะเซ็งหมดแล้ว”
“นั่นความคิดของพ่อหรือของอายกันแน่ อิอิ...”
“ของอายสิ ไม่ใช่ของพ่อ ถ้าแม่รู้ว่าพ่อพูดแบบนี้ สงสัยจะได้นอนหยอดน้ำพริกแน่”
เนตรดารายังคงยิ้มและหัวเราะที่ได้คุยได้แซวพ่อ ทุกครั้งที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้าน รอบตัวของเธอจะมีแต่เสียงหัวเราะแบบนี้ เพราะพ่อของเธอเป็นคนช่างพูดช่างคุยและมักจะมีมุกตลกมาให้ขำขันอยู่เสมอ ซึ่งในระยะ 3 ปีที่ผ่านมานี้เธอได้เจอหน้าพ่อแม่นับครั้งได้ เพราะต้องเดินสายไปต่างประเทศมากกว่าที่อาศัยอยู่เมืองไทยซะอีก ทำให้ปลีกเวลาไปไม่ได้เลย แต่สิ้นเดือนนี้เธอต้องกลับบ้านให้ได้ เพราะแจ้งลูซี่ไว้แล้วว่าให้เคลียร์งานให้กับเธอ 1 สัปดาห์สำหรับกลับไปเยี่ยมบ้านที่นครชัยศรี
“ปีนี้พ่อได้ผลผลิตเยอะมั้ย”
“ก็ดี”
“ก็ดีน่ะมันแค่ไหนล่ะพ่อ”
“คร่าวๆ เก็บหมดสวนนี่ก็คงได้สัก 10 ตันละมั้ง”
“โหย... พ่อรวยแย่เลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... รวยแย่ไม่เอาอ่ะ เอารวยแล้วไม่แย่ไม่ได้เหรอ แต่ก็ดีกว่ารวยตายเลย ยังไม่อยากตาย อยากอุ้มหลานก่อน”
เนตรดาราหัวเราะคิกคักไปกับน้ำเสียงและคำล้อเลียนของพ่อ นี่แหละยาชูกำลังอย่างดีของเธอ ในยามที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหรือคิดอะไรไม่ออกขอให้บอกผู้ใหญ่ธงชัยช่วยได้ทุกเมื่อ
“แล้วปีนี้ส้มเขียวหวานออกดีมั้ย”
“จะไปดีอะไรกันเล่า ไอ้นั่นน่ะมันของโปรดอีพวกตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลาย นี่ถือว่าปลูกให้มันกินเล่นนะ มันจะได้ไม่มายุ่งกับพ่อทองดีกับแม่ขาวน้ำผึ้งของพ่อน่ะ เหลือใจกับมันจริงๆ เก็บได้ไม่ถึงร้อยโลล่ะมั้งปีนี้ นี่แม่เขาอยากจะเก็บเอาไว้ให้อายกิน เพราะมันมีน้อย แต่ลูกค้าขาประจำที่เขาเคยแวะซื้อกันทุกปีก็มาถามไม่ได้ขาด”
“แหม... ก็ผลิตผลของสวนคุณดวงดาวเขาดีมีคุณภาพนี่จ๊ะ ใครๆ ก็อยากกินนั่นแหละ แต่ลูกเล็กลูกน้อยก็เหลือติดต้นไว้ให้อีพวกตัวเล็กตัวน้อยของพ่อกินบ้างก็แล้วกัน”
“ของพ่อที่ไหนล่ะ ของอายทั้งนั้น”
เนตรดาราหัวเราะเสียงใสอีกครั้ง เพราะพ่อมักบอกว่าบรรดา กระรอก นก หนูที่อยู่ในสวนเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ เพราะพ่อน่ะอยากฆ่ามันใจจะขาด เพราะมันแอบมากินผลผลิตของพ่ออยู่เรื่อย แต่เธอน่ะสงสารไม่อยากให้พ่อฆ่ามัน เลยเสนอให้พ่อป้องกันดีกว่า อันไหนที่ไม่ป้องกันก็แปลว่าให้มันกินได้ ยังไงสัตว์ที่เป็นเหยื่อมันก็มีผู้ล่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว คงไม่กินหมดสวนหรอก แต่ที่ฟังจากพ่อพูด ก็เห็นว่ามันจะกินหมดสวนแล้วจริงๆ
“อายจะกลับบ้านเมื่อไรลูก พ่อคิดถึง”
น้ำเสียงออกสั่นของพ่อทำให้เนตรดาราถึงกับน้ำตาร่วงราวเขื่อนแตก อยากตอบว่าวันนี้พรุ่งนี้แต่ก็ทำไม่ได้
“ประมาณสิ้นเดือนจ้ะ อายโทรมาบอกว่าอายจะไปถ่ายแบบที่ประเทศแถบๆ ดูไบน่ะ”
“ดูไบไม่ดีมั้ง”
“ทำไมล่ะพ่อ”
“มีแต่ใบไม่มีดอกมีผล คงต้องกินแกลบแล้วล่ะเรา”
“พ่ออ่ะ”
เนตรดาราต้องหัวเราะอีกครั้งกับมุกตลกของพ่อ พูดคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย ดวงตาสวยหวานมองภาพพ่อและแม่ที่ตั้งไว้เป็นภาพด้านหน้าของโทรศัพท์ เธอขอทำงานอีกสักปีให้มีเงินเก็บก้อนใหญ่กว่านี้ เพราะต่อจากนี้งานที่รับจะถูกกำหนดแผนการเอาไว้แล้ว ว่างานนี้สำหรับซื้อที่ดินเพิ่มอีกกี่ไร่ งานนี้สำหรับค่าก่อสร้างห้องเช่า งานนี้สำหรับค่าตึกแถวในตลาด และงานนี้สำหรับ... หลายๆ อย่างที่เธออยากมีให้ครบ เพื่อพ่อแม่จะได้ไม่ลำบากในยามที่เธอไม่มีงานแล้ว
“พ่อจ๋า แม่จ๋า สิ้นเดือนเราเจอกันนะ” พูดพร้อมกอดโทรศัพท์ไว้แนบอก ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มและหยาดน้ำตาแห่งความคิดถึง