ตอนที่1 บทที่ 1 ช่วยเหลือกันฉันสหาย
1/
ตอนที่1 บทที่ 1 ช่วยเหลือกันฉันสหาย
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่1 บทที่ 1 ช่วยเหลือกันฉันสหาย
บทที่ 1 ช่วยเหลือกันฉันสหาย ทุกเช้าตรู่ หน้าที่ของหวงโฮ่วคือการมานั่งอยู่ในห้องโถงตำหนักใหญ่ตรงตำแหน่งประธาน เพื่อรอเหล่านางสนมทั้งหลายมาเข้าเฝ้าพร้อมหน้ากัน หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่นที่ต้องทนมานั่งมองเหล่าศัตรูหัวใจมาอยู่รวมในห้องเดียวกันคงเจ็บปวดจนอยากจะกระอักเลือดออกมา แต่หวงโฮ่วอย่างนางกลับมีใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส ขณะมองผู้คนเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างอึดอัด ความสามารถของเสวี่ยหวงโฮ่วคือความเมตตาที่เปี่ยมล้น จนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกกระอักกระอ่วนจนอยากจะมุดดินหนีหายไป การที่ต้องมาพบคนอย่างนางทุก ๆ เช้าเพื่อคำนับแสดงความเคารพนับถือ นั่นนับเป็นเรื่องหนักใจที่นางสนมทุกคนต่างต้องฝืนใจพาร่างงดงามของตนเองมาเข้าร่วม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มกว้างต้อนรับบรรยากาศยามเช้าอันสดใส แม้นางจะอายุเกือบยี่สิบห้าปี แต่ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงสาววัยแรกรุ่นไม่สร่าง ทว่าใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยไม่อาจบดบังรัศมีสูงศักดิ์ของนางได้ ในทุก ๆ วัน นางจะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดเพื่อแต่งตัวให้สมกับฐานะ นางกำนัลที่รับใช้ล้วนแล้วแต่ฝีมือดี ยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียงได้อีกในแผ่นดิน แม้นางแต่งหน้าด้วยสีสันฉูดฉาดแต่กลับมองแล้วไม่ดูหนักหน้าเหมือนกับสตรีผู้อื่นที่อยู่ภายในห้องเดียวกัน จากตำแหน่งที่นั่งของประธานมองลงไปข้างล่างจะพบกับที่นั่งของสี่พระมเหสี ซึ่งในสี่ตำแหน่งยังคงเหลือเก้าอี้ว่างอยู่หนึ่งที่สำหรับรอให้โฉมงามผู้โชคดีมาจับจอง ส่วนอีกสามคนซึ่งผู้ครองตำแหน่งในปัจจุบันเป็นสตรีผู้มีใบหน้างดงามโดดเด่นมีเอกลักษณ์ประจำตัว พวกนางนั่งตัวตรงสง่า ใบหน้าเรียบนิ่งเผยความเย่อหยิ่งไม่ยอมใคร ทว่าผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดคงไม่พ้น จิ่นกุ้ยเฟย พระอัครเทวีผู้งดงามอาบไปด้วยกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ นางเป็นผู้มีดวงหน้าเรียวงามประดับดวงตาคมเฉี่ยวราวกับใบมีด มีจมูกน้อยรับกันกับริมฝีปากบางเป็นกระจับสีชมพูบานฉ่ำ ใบหน้าของนางให้ความรู้สึกถึงอันตรายตั้งแต่แรกเห็น ด้วยโฉมหน้างดงามแฝงด้วยความร้ายกาจเช่นนี้จึงได้รับตำแหน่งสูงที่สุดในบรรดาเหล่านางสนม โดดเด่นและสูงศักดิ์ ในวังหลังนางเป็นรองก็แต่หวงโฮ่วเพียงผู้เดียว แต่เดิมจิ่นกุ้ยเฟยมีนามว่าจิ่นเลี่ยนลี่ เป็นบุตรสาวคนโตของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา พื้นฐานทางบ้านก็สูงศักดิ์มิอาจเอื้อม นอกจากนั้นยังมีรูปโฉมงดงามตราตรึง เสวี่ยหวงโฮ่วจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากรับคุณหนูจิ่นผู้นี้เข้ามาในวังหลัง แล้วยังเสนอหวงตี้มอบตำแหน่งกุ้ยเฟยให้นางอีก งดงาม ร้ายกาจ สูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง สตรีอย่างนางต่อให้มองทั้งชีวิตเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งให้มานั่งใกล้ ๆ เพียงเพื่อจะได้มองหน้าชัด ๆ ทุกเช้า เพียงเท่านี้ย่อมนับเป็นเรื่องรื่นรมย์อย่างหนึ่งแล้ว ดวงตาคมคู่งามของหวงโฮ่วมองผ่านเจ้าของตำแหน่งเต๋อเฟยไปอย่างไม่สนใจราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน แล้วสบตาเข้ากับซิ่นเสียนเฟยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ ให้อย่างเป็นมิตร ทันใดนั้นซิ่นเสียนเฟยกลับรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเพราะความเป็นมิตรที่หวงโฮ่วได้มอบให้ ผ่านมานานถึงสองปี จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังไม่เข้าใจความคิดของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นเลยสักครา ทุกครั้งที่มาพบหน้าเสวี่ยหวงโฮ่วก็ราวกับต้องเผชิญหน้ากับดินฟ้าอากาศที่ไม่อาจคาดเดาได้ ไม่นานนักสายตาอบอุ่นของเสวี่ยหวงโฮ่วจึงย้ายจากร่างบอบบางของซิ่นเสียนเฟยไปอยู่ที่เหวินซิวหรง “ซิวหรง... ช่วงนี้ผิวของเจ้าช่างงามผ่องยิ่งนัก ราวกับไข่มุกเข้ากันกับชุดสีชมพูดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งหลังค่ำคืนพายุโหมกระหน่ำ สดใสเสียจนเปิ่นกงมิอาจเมินหน้าหนีไปได้เลย...” คำพูดถูกกล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าซิ่นเสียนเฟยพลอยแข็งกระด้างฉับพลัน นางกำหมัดแน่น พระสนมคนงามเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายผ่านใบหน้าอันเป็นมิตร ในอกคล้ายกับว่ามีเสียงกลองเต้นดังระรัว แต่ถึงจะรู้สึกไม่พอใจมากเพียงใด ก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกไว้ในอก หวงโฮ่วเหลือบสายตาหันไปมองคนที่ฝืนปั้นหน้านิ่งเก็บอารมณ์ด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนจะกลับไปคุยกับเหวินซิวหรงต่อ “เปิ่นกงคิดว่าผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ยจะต้องดูดีมากแน่ ๆ หากได้อยู่บนเรือนร่างที่แสนงดงามของเจ้า” จบคำกล่าว ห้องทั้งห้องก็รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงกะทันหัน เมื่อคืนซิ่นเสียนเฟยเข้าปรนนิบัติฝ่าบาท แล้วเหตุใดหวงโฮ่วจึงมอบของขวัญล้ำค่าให้แก่เหวินซิวหรงโดยที่นางยังไม่ได้ทำความดีความชอบใด ๆ หากทำเช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรจากการหักหน้าซิ่นเสียนเฟยเลย “หวงโฮ่วทรงตรัสเกินไป หม่อมฉันจะไปงดงามเทียบเท่าหวงโฮ่วได้อย่างไรเพคะ” ซิวหรงตอบกลับเสียงเนิบช้า นางพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกดีใจเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นริษยา “เจ้าจะบอกว่าเปิ่นกงมองผิดเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยหวงโฮ่วทวนถามพร้อมรอยยิ้มหวานอาบยาพิษ “หม่อมฉันมิกล้า” ซิวหรงรีบร้อนกล่าวขออภัย เห็นท่าทีดุจดั่งนกน้อยไม่มีทางสู้ของเหวินซิวหรง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงแสร้งทำเมินไม่เอาความอีกฝ่าย แม้นางจะชื่นชมการกระทำของเหวินซิวหรงที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ยอมก้มหัวให้คนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่านางโปรดปราน... “เลี่ยนตาอิ้ง บอกให้นางกำนัลนำผ้ามุกจากแคว้นเหยาเว่ยไปมอบให้เหวินซิวหรงที่ตำหนักด้วย” “เพคะ หวงโฮ่ว” “ขอบพระทัยเพคะ หวงโฮ่ว” ซิวหรงน้อมรับแม้จะไม่เต็มใจ นางเองก็ใช่ว่าจะโง่งมไม่รู้ว่าผ้ามุกผืนนั้นไม่ต่างอะไรจากเหล็กร้อนที่ถูกยัดเยียดมาให้ เหวินซิวหรงได้รับรางวัลล้ำค่าโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเช่นนี้ หากซิ่นเสียนเฟยได้รับของที่ด้อยค่ากว่าคงจะเสียหน้าอยู่ไม่น้อย แต่ของสิ่งใดมีค่าไปกว่าผ้ามุกพระราชทานจากหวงตี้ที่มีเพียงแค่สองผืนในแผ่นดินช่าง จิ่นกุ้ยเฟยเห็นละครตรงหน้ากำลังร้อนระอุ ถึงกับต้องยิ้มกว้างหยิบฟืนเติมไฟเพิ่มไปอีก “หวงโฮ่วเพคะ หากซิวหรงได้รับผ้าพระราชทาน เช่นนี้แล้วซิ่นเสียนเฟยจะได้รับของกำนัลเป็นสิ่งใดกันเพคะ” จิ่นกุ้ยเฟยใช้น้ำเสียงหวานนุ่มไม่แหลมมากเกินไปของตนเองถามหวงโฮ่ว ทันใดนั้นเสวี่ยหวงโฮ่วถึงได้ทำหน้าตกใจคล้ายกับคนที่เพิ่งนึกอะไรออก “จริงสิ” นางโพล่งขึ้นมา “ซิ่นเสียนเฟย เจ้าคงไม่ถือโทษ โกรธที่เปิ่นกงลืมเจ้าไปใช่หรือไม่” เสวี่ยหวงโฮ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ” ซิ่นเสียนเฟยเหยียดยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะชาไปหมดแล้วก็ตาม ภายใต้ใบหน้างดงามและเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตาของเสวี่ยหวงโฮ่ว ใครไหนเล่าจะไปรับรู้ถึงนิสัยเลือดเย็นที่แฝงอยู่ข้างใน ทุกคนต่างคิดว่าหวงโฮ่วลืมเรื่องซิ่นเสียนเฟยไปจริง ๆ เสียด้วยซ้ำ “เลี่ยนตาอิ้ง เจ้าไปสั่งให้คนมอบของกำนัลให้แก่เสียนเฟยแทนเปิ่นกงด้วยนะ จะเป็นสิ่งใดก็ได้แล้วแต่ที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมเลย” “เพคะหวงโฮ่ว” เลี่ยนตาอิ้งน้อมรับ “ขอบพระทัยเพคะ หวงโฮ่ว” ซิ่นเสียนเฟยเอ่ยรับอย่างไม่พอใจ โชคดีที่เสวี่ยหวงโฮ่วไม่สนใจ เห็นซิ่นเสียนเฟยเจ็บช้ำน้ำใจ จิ่นกุ้ยเฟยก็ปิดบังใบหน้าสะใจของตนเองไว้ไม่มิด “ได้เข้าเฝ้าหวงโฮ่วทุกเช้าเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันได้เห็นความเมตตาของหวงโฮ่วเพิ่มมากขึ้นไม่หยุดเลยเพคะ ทั้งงดงามเปี่ยมไปด้วยบารมี สูงส่งคู่ควรกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง” จิ่นกุ้ยเฟยเป็นคนโปรดของหวงโฮ่วเอ่ยประจบออกมาโดยไม่เกรงใจใครหน้าไหน “เจ้าเองก็กล่าวเกินไป โฉมงามอย่างเจ้ามาป้อยอเปิ่นกงบ่อย ๆ เกิดเปิ่นกงหลงตัวเองจนหาทางออกไม่ได้จะทำอย่างไรกัน” หวงโฮ่วกล่าวกับจิ่นกุ้ยเฟยด้วยน้ำเสียงติดตลก เหล่าโฉมงามต่างพากันหัวเราะด้วยเสียงสดใสกังวาน บรรยากาศตึงเครียดระหว่างซิ่นเสียนเฟยกับเหวินซินหรงทลายหายไปอย่างช้า ๆ บทสนทนาเยินยอกันและกันดำเนินไปอีกพักใหญ่ เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงทุกคนต่างก็ลืมเรื่องผ้ามุกตบหน้าเสียนเฟยไปจนสิ้น ยามเที่ยงมาเยือน อากาศในช่วงปลายคิมหันต์เข้าสู่ช่วงเหมันต์ค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อนเกินและไม่หนาวจนเกินไป ท่ามกลางสวนดอกไม้สีสันสดใสมีลมพัดผ่านเย็นสบายปลอดโปร่งให้ความรู้สึกชื่นบาน วันที่อากาศดีเช่นนี้ เสวี่ยหวงโฮ่วจึงสั่งให้จัดโต๊ะอาหารกลางแจ้งรอต้อนรับการมาเยือนของหวงตี้ ขณะนางกำนัลต่างพากันทำหน้าที่ข้างนอก ผู้เป็นเจ้าของตำหนักกับเหล่านางกำนัลฝีมือดีก็พากันมาแต่งตัวอยู่ข้างในห้อง จากที่ตอนเช้าเสวี่ยหวงโฮ่วต้องแต่งตัวเต็มยศ เมื่อมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนางจึงถอดเครื่องยศเหล่านั้นออกอย่างไม่ไยดี ร่างสูงสะโอดสะองแต่งกายด้วยชุดสีครามเรียบง่าย แต่ความเรียบง่ายที่ประทับอยู่บนเรือนร่างสูงศักดิ์กลับทวีความงามพิสมัยให้เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว ดวงหน้าคมสวยเหม่อมองใบหน้าของตนเองที่สะท้อนอยู่บนคันฉ่องทอง นิ้วเรียวยกขึ้นมาสัมผัสปลายคางมนแผ่วเบาขณะที่หันซ้ายหันขวาอย่างช้า ๆ แม้จะไร้เครื่องประทินโฉม ใบหน้าของนางก็ยังคงมีสีสันสดใสไม่ซีดเซียว ทว่านางกลับไม่พอใจในรูปลักษณ์แสนเรียบง่ายของตนเอง จึงสั่งให้คนมาแต่งเติมเสียจนไร้ที่ติ แม้ทุกครั้งยามที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับหวงตี้ลี่กุนจวิ้นเฉิน เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่จำเป็นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้มากมาย แต่นางกลับชื่นชอบให้ตนเองดูดีอยู่เสมอ จนหวงตี้เลิกทักท้วงนางไป “หวงตี้เสด็จมาแล้วเพคะ” หยาตาอิ้งเดินมาบอกเสวี่ยหวงโฮ่วที่ยังคงเหม่อมองอยู่บริเวณหน้าคันฉ่อง “อืม” นางรับคำ “บอกให้ทุกคนไปรออยู่รอบนอกด้วย” “เพคะ” นอกจากนั้น เมื่อปราศจากการรับรู้ของบุคคลที่สาม คนทั้งคู่มักจะไม่ปฏิบัติต่อกันเหมือนหวงโฮ่วกับหวงตี้ หากแต่เป็น ฮุ่ยหมิ่นกับจวิ้นเฉิน สองสหายที่สนิทกันมานานกว่าสิบเจ็ดปี ไม่มียศใด ๆ มาบดบังเป็นเส้นกั้นความสัมพันธ์ได้ ทว่าเพื่อไม่ให้เกิดคำครหา นางจึงต้องสั่งให้ข้ารับใช้อยู่ห่าง ๆ ไม่ให้มีโอกาสได้ยินถ้อยคำสนทนา ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเรื่องถึงหูพระพันปี คาดว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคงจะถูกแม่สามีเรียกตัวไปต่อว่ายกใหญ่ แต่เดิมความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพระพันปีก็ไม่ลงรอยกันมาแต่แรกแล้ว ถ้าเกิดรู้ว่าหวงโฮ่วกับหวงตี้ที่ควรเป็นสามีภรรยาปฏิบัติต่อกันฉันมิตรสหายแล้วละก็... นางไม่อยากจะคิดเลยจริง ๆ ร่างบางเดินออกมาจากตำหนักมองตรงไปยังลานกว้างกลางสวนดอกไม้ เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มร่างสูงทระนงในอาภรณ์สีดำเหลือบทองเดินตรงเข้ามา เพียงแค่เห็นใบหน้าคมคายอันแสนคุ้นเคย นางก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มหวาน ลี่กุนจวิ้นเฉินยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสวนดอกไม้ สีสันรอบข้างขับกล่อมให้ตัวเขาที่มีท่าทีแข็งกระด้างดูอ่อนโยนลงทันตา และครั้นหวงตี้หนุ่มเห็นผู้เป็นภรรยาออกมาจากตำหนักแล้วส่งรอยยิ้มงดงามมาให้ เขาเองก็คลี่ยิ้มกว้างตอบรับกลับไป แค่ได้เห็นหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ความเครียดต่าง ๆ ที่เผชิญมาจากท้องพระโรงกลับถูกกวาดทิ้งหายไปในพริบตา “วันนี้เหล่าขุนนางรายงานข่าวดีอะไรให้ฝ่าบาทกัน ถึงได้อารมณ์ดีถึงเพียงนี้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าลี่กุนจวิ้นเฉิน ด้วยความที่นางสูงเพียงแค่ไหล่ของชายหนุ่ม ยามที่ยืนคู่คุยกันจึงจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้น แต่กิริยาดังกล่าวทำได้ก็ต่อเมื่ออยู่กันสองคนเท่านั้น หากอยู่ข้างนอกนางจะวางตัวเรียบร้อยสมกับเป็นหวงโฮ่วอยู่เสมอ ลี่กุนจวิ้นเฉินได้เห็นใบหน้าสว่างใสของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นในรอบหนึ่งอาทิตย์ ด้วยความคิดถึงจึงอดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกล้อ โดยการที่ใช้นิ้วเรียวยาวเชยคางมนให้เงยหน้าสูงขึ้นอีก “เรื่องดีของข้าน่ะหรือ...” หวงตี้หนุ่มลากเสียงยาว “แค่ได้พบหน้าเจ้า ก็นับเป็นเรื่องดีแล้ว” ยามที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยู่กับลี่กุนจวิ้นเฉิน ทั้งคู่จะไม่สนทนากันด้วยสถานะหวงตี้กับหวงโฮ่ว หากแต่มีทีท่าเสมือนสหายสองคนมาพบปะกัน ดังนั้นคำสรรพนามแทนตัวก็จะไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย ใช้เพียงแค่ ‘เจ้า’ กับ ‘ข้า’ แทนที่จะเป็น ‘เจิ้น’ กับ ‘หม่อมฉัน’ แต่ก็มีบางครั้งที่จะใช้ลำดับขั้นขึ้นมาพูดเพื่อหยอกล้ออีกฝ่าย ตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ในสายตาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น นางยังเห็นลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้รู้ใจ ที่คอยดูแลห่วงใยขณะที่นางอยู่ตัวคนเดียวในต่างแดน “น่าแปลก... ซิ่นเสียนเฟยตอนที่นางเข้าเฝ้าข้า มิเห็นจะยิ้มกว้างเช่นท่านเลย” “นางคงตาบอด” ลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวว่าซิ่นเสียนเฟยอย่างไม่ไยดี ทั้งที่เมื่อคืนตนเองและนางผู้ถูกกล่าวถึงเพิ่งใช้เวลาอยู่ร่วมกันไป ร่างสูงของลี่กุนจวิ้นเฉินค่อย ๆ โอบร่างของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแล้วพาร่างในชุดสีครามสดใสไปนั่งที่โต๊ะซึ่งจัดเรียงอาหารเลิศรสเอาไว้หลากหลาย มองจากมุมของเหล่านางกำนัลและผู้ติดตามจะเห็นได้ว่าบรรยากาศรอบด้านของทั้งคู่ชื่นบานรื่นเริง เต็มไปด้วยความอบอุ่นและรักใคร่ระหว่างหวงตี้กับหวงโฮ่วที่มอบให้แก่กัน ทว่าภายในใจลี่กุนจวิ้นเฉินกลับรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสตรีในอ้อมกอดหาใช่อย่างที่ใครคิด สิบเจ็ดปีของการแอบรัก หลงคิดว่าเพียงแค่ได้ใกล้ชิดก็เพียงพอ ถึงกระนั้นด้วยระยะเวลาที่ผ่านมากลับมองเห็นชัดเจนว่าแค่อยู่ข้างกายไม่มีความหมายเท่าการได้รับความรัก คงถึงเวลาที่เขาจะต้องทำลายกำแพงคำว่าสหายทิ้งอย่างจริงจังเสียที “ข้านึกว่าเจ้าชอบเสียนเฟย” มือบางที่กำลังคีบหมูสามชั้นชะงักกลางอากาศ “ทำไมท่านคิดเช่นนั้น” ดวงตาคมงามปรากฏประกายแววตาประหลาดใจชั่ววูบ ก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนให้เรียบนิ่งดังเดิม “เจ้าชอบที่นางมีใบหน้าคมดั่งมีด ให้ความรู้สึกร้ายกาจและไม่ควรแตะต้อง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ฟังความคิดเห็นของลี่กุนจวิ้นเฉินแล้วยิ้มบาง ๆ พร้อมทั้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางส่งหมูสามชั้นลงไปในถ้วยของหวงตี้หนุ่มทันที คล้ายกับว่าเป็นรางวัลที่เขาอ่านใจนางถูก ทั้งที่ก่อนหน้า นางตั้งใจจะคีบใส่ถ้วยตนเอง “ท่านก็รู้ ข้าชอบเป็นแค่ผู้ชม” นางยักไหล่ ลี่กุนจวิ้นเฉินรู้ดี เขารู้ว่าสตรีที่เขาแอบรักผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาดเก็บซ่อนเอาไว้เป็นความลับอันดำมืด นางเป็นสตรีที่ชื่นชอบความงดงามของสตรีผู้อื่น และที่สำคัญโฉมงามอย่างเดียวก็ดูจะไม่สาแก่ใจ เพราะความงามเหล่านั้นต้องมาควบคู่กับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาที่อัดแน่นอยู่ในใจของแต่ละคน ยิ่งร้ายกาจ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ยิ่งโปรดปราน ทว่าตัวนางกลับทำเป็นไม่สนใจสิ่งใด แสร้งทำเป็นหวงโฮ่วผู้มีจิตใจกว้างขวางแล้วนำเหล่าสตรีร้อยเล่ห์มามัดรวมอยู่ในสถานที่เดียวกัน คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง รอดูบทละครของนางสนมแต่ละนางแผลงฤทธิ์ใส่กันอย่างเลือดเย็น ยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังลากหวงตี้ผู้สูงศักดิ์มาเป็นหนึ่งในตัวแสดงคนสำคัญในโรงละครของนางเองด้วย แต่ด้วยความรักที่มีให้แก่หวงโฮ่วมากเล่ห์ ลี่กุนจวิ้นเฉินจึงยอมเป็นหมากปล่อยให้นางชักใยเล่นตามใจมาตลอด เหล่าข้ารับใช้ต่างพากันคิดว่าเขาเป็นบุรุษเจ้าชู้ รับสนมมาปรนนิบัติมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน และพากันนึกสงสารเสวี่ยหวงโฮ่วที่ถูกแย่งความรัก แต่ถ้าให้พูดกันตามตรง คนที่น่าสงสารจริง ๆ ควรจะเป็นเขาเอง บุรุษผู้ถูกเหล่านางสนมแย่งความรักไปจากหวงโฮ่วหลายใจผู้นี้ “นางเริ่มมีความคิดจะต่อต้านข้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยอมบอกสาเหตุที่เล่นงานซิ่นเสียนเฟยเมื่อถูกสายตาคมกล้าจ้องมองจนเริ่มรู้สึกร้อนรุ่ม “ให้ข้าปลดนางเลย ดีหรือไม่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอียงคอ เอนศีรษะพิงฝ่ามือแล้วเท้าแขนกับโต๊ะด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ช้าก่อนสิเพคะ ฝ่าบาท การแสดงยังมิทันเริ่ม ท่านจะรีบตัดจบไปไย” กล่าวเช่นนั้นแล้ว มือขาวบางก็ยื่นออกมาเช็ดคราบเครื่องปรุงรสที่มุมปากให้กับชายหนุ่ม ลี่กุนจวิ้นเฉินพลอยคิดในใจ เจ้ามีการแสดงของเจ้า ข้าก็มีการแสดงของข้าเช่นกัน “นอกจากเจ้า ข้าก็ไม่คิดว่ามีสตรีผู้ใดร้ายกาจเท่านี้อีกแล้ว” “ข้าร้ายกาจตรงไหน” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยืดตัวตรง ทำหน้าใสซื่อ ใครเห็นย่อมต้องคิดว่านางเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ธรรมดา เห็นสตรีในอาภรณ์สีครามเล่นละครเปลี่ยนสีหน้าได้ว่องไว จนลี่กุนจวิ้นเฉินก็คิดอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา “เจ้าจะเล่นอะไรก็ระวังตัวเองบ้าง ...ข้าเป็นห่วง” เจ้าของเสียงทุ้มกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฝ่ายคนฟังที่กำลังจมไปในความคิดแผนร้ายจึงได้สติ และร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้านชั่วขณะ เมื่อคำพูดของหวงตี้หนุ่มเป็นเหมือนกับธนูที่เข้าไปทิ่มแทงในหัวใจของนางกะทันหัน เกิดเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลี่กุนจวิ้นเฉินแสดงความเป็นห่วงเป็นใย หรือพูดหวานหยอกล้อ ทว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่คำพูดของเขาไม่เหมือนคำพูดบอกเล่าส่ง ๆ เฉกเช่นที่ผ่านมา เนื่องด้วยมันเต็มไปด้วยความหนักแน่นจริงใจ เหมือนกับแฝงไปด้วยความในใจ... เมื่อรู้สึกถึงอันตราย เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถึงหัวเราะกลบเกลื่อนทันควัน “ท่านเอาเวลาเป็นห่วงข้า ไปห่วงพวกนางดีกว่า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นผลักความหวังดีของหวงตี้ออกไปไกลตัว “คืนนี้ข้าอยากให้ท่านไปหาเหวินซิวหรงเสียหน่อย” ทางที่ดีที่สุดในการปกป้องหัวใจของนาง ก็คือการผลักไสบุรุษตรงหน้าให้ไปหาสตรีอื่น “น่าเสียดายนัก ดูเหมือนคืนนี้ข้าจะไม่ว่างเสียแล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเหลือบตามองบุรุษข้างกายในทันใด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบอกปฏิเสธคำขอของนาง คนที่ไม่เคยถูกเขาปฏิเสธจะใจเสียเพียงไหน ลี่กุนจวิ้นเฉินมิอาจคาดเดา แต่แค่เห็นใบหน้าเล็กมองกลับมาเหมือนเห็นผี ประกอบกับนัยน์ตาคู่งามสีดำสนิทที่ค่อย ๆ เผยความรู้สึกภายในใจ เขาก็อยากจะล้มเลิกแผนการของตนเองเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าหากยังคงตามใจเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นต่อไป จะไม่ใช่เขาเองหรือที่ต้องกลายเป็นฝ่ายช้ำใจ ถ้าอยากได้ใจนาง เขาจะต้องพลิกกระดานเปลี่ยนจากตัวหมากเป็นผู้เล่นเสียที “อ้อ” เสียงนุ่มของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบรับแผ่วเบาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดหวังจาง ๆ สีหน้าของหวงโฮ่วคนงามในยามนี้เหมือนกับคนที่เพิ่งถูกเพื่อนรักหักหลังกะทันหัน หวงตี้หนุ่มหลับตา สูดลมหายใจเข้าออก พยายามบอกตนเองให้ใจแข็งเข้าไว้ อย่าเพิ่งยอมแพ้แล้วกลับไปตามใจนางเด็ดขาด แต่แล้วขณะที่ลี่กุนจวิ้นเฉินพยายามควบคุมจิตใจตนเอง ฝ่ายเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นคนเดิมที่แสนสดใสมากเล่ห์ในพริบตา ไร้ร่องรอยความผิดหวังใจเสียเมื่อชั่วอึดใจก่อน “ไม่เป็นไร ข้ามีแผนใหม่แล้ว” เจ้าตัวโพล่งออกมาทันใด “แผนอะไรหรือ” “ ท่านไม่ว่างมิใช่หรือ” คนงามย้อนคำพูดของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเริงร่าและรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง หากเขาไม่ช่วย เหตุใดจะต้องบอกด้วยเล่า “เอาเถิด ขอแค่เจ้าระวังตัวเองให้มาก ๆ หน่อยก็พอ หากทำอะไรเกินเลยจนไท่โฮ่ว รู้เรื่องเข้าจะเดือดร้อนเอา” พูดถึงพระพันปี เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถึงกับเผยสีหน้าเหยเกเหมือนกินยาขม สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นแม้จะยอมให้นางแต่งกับลี่กุนจวิ้นเฉิน แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ชอบการตัดสินใจดังกล่าวสักเท่าไร เพราะทุกครั้งที่พบหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงมักจะพูดจาถากถางกับทำตัวเข้มงวดด้วยอยู่ร่ำไป ทั้ง ๆ ที่นางเองก็ปฏิบัติตัวได้สมกับตำแหน่งหวงโฮ่วจนไร้ที่ติ... “ยามนี้ไท่โฮ่วบำเพ็ญตนอยู่ที่ตำหนักไม่ใช่หรือ” “ข้าถึงบอกว่าอย่าให้เรื่องใหญ่ไปจนถึงหูไท่โฮ่วอย่างไรเล่า” “ข้านึกว่าท่านจะคอยปิดเรื่องให้ข้าเสียอีก” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอ่ยหน้าตาย ท่าทางน่าหมั่นไส้ของนาง ทำให้ลี่กุนจวิ้นเฉินอยากจะดีดหน้าผากหญิงสาวเข้าสักที โตมาด้วยกันจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ จากรัชทายาทและพระชายาสู่ผู้ปกครองแผ่นดิน แต่การกระทำของคนทั้งคู่ยามอยู่ด้วยกันยังคงมีสายสัมพันธ์เหนียวแน่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง บางครั้งลี่กุนจวิ้นเฉินอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ชีวิตของเขาและนางในยามนี้จะเป็นเช่นไร “คนอย่างเจ้าเคยทำอะไรไม่รอบคอบจนข้าต้องมาคอยสะสางให้ด้วยหรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นทำหน้านึกคิด “ไม่มี” “ฮุ่ยหมิ่น...” ลี่กุนจวิ้นเฉินเรียกชื่อของหวงโฮ่วข้างกายออกมาอย่างสนิทสนม เหมือนสมัยที่พวกเขาทั้งคู่เป็นเพียงแค่เด็กน้อยไม่มีภาระอะไรให้คอยกังวล “ข้าอาจช่วยเจ้าตลอดเวลาไม่ได้แล้วนะ” คำพูดทำนองนั้นเคยหลุดออกมาจากปากของลี่กุนจวิ้นเฉินสองครั้งด้วยกัน หนึ่งคือตอนที่เข้ารับตำแหน่งรัชทายาท และสองตอนที่เข้ารับตำแหน่งหวงตี้ “ข้ารู้...” มือเล็กเอื้อมออกมาจับมือของชายหนุ่มก่อนจะกระชับแน่น “หากท่านช่วยข้าไม่ได้ ข้าก็จะคอยช่วยท่านเอง” ส่วนเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะตอบถ้อยคำดังกล่าวกลับไปทุกครั้ง สุดท้ายแล้วลี่กุนจวิ้นเฉินก็ยังคงตามใจแล้วช่วยเหลือนางเสมอมา จนหญิงสาวไม่คิดจริงจังกับคำพูดนั้น หากแต่คำพูดครั้งนี้ของหวงตี้หนุ่มเป็นเรื่องจริงที่หนักแน่นในรอบสิบเจ็ดปี เขาตัดสินใจจะไม่ช่วยเหลือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แล้วหันกลับมาช่วยเหลือตนเองให้กล้าพอ ...กล้าพอที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากสหายมาเป็นคนรักเสียที
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่1 บทที่ 1 ช่วยเหลือกันฉันสหาย
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A