ตอนที่2 บทที่ 2 กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี
1/
ตอนที่2 บทที่ 2 กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่2 บทที่ 2 กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี
บทที่ 2 กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี ในห้องทำงานของหวงตี้ลี่กุนจวิ้นเฉิน มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหราด้วยโทนสีขาวดำเหมือนหยินหยาง ให้ความรู้สึกสงบเหมาะสมแก่การใช้สมาธิ เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือและภาพวาดล้ำค่าหายาก ทว่าในช่วงเวลาแห่งที่บ้านเมืองสงบสุข เจ้าของห้องกลับไม่มีสิ่งอื่นใดให้จดจ่อนอกจากเรื่องของหัวใจ “ชงซาน เจิ้นทำถูกแล้วใช่หรือไม่ที่เลิกตามใจนาง” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยถามขณะนั่งจ้องมองแผ่นกระดาษว่างเปล่า ส่วนจิตใจกำลังคิดย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อช่วงเที่ยง ชงซาน... คนที่เป็นทั้งที่ปรึกษาส่วนตัวและสหายสนิท เงยหน้าขึ้นจากหนังสือไม้ไผ่ในมือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขามีท่าทีสุขุมและสีหน้าที่คล้ายไม่สนใจสิ่งใด แต่เห็นท่าทีสุขุมเช่นนั้นของเขากำลังคิดคำนวณเรื่องที่อีกฝ่ายถามอยู่ “หวงโฮ่วมิได้ถามฝ่าบาทหรือ ว่าเหตุใดถึงไม่ว่าง” ต้นตอของแผนการบุรุษใจแข็งเอ่ยถามผลลัพธ์ “ไม่... นางแค่หาทางปั่นหัวนางสนมวิธีใหม่โดยที่ไม่ดึงเจิ้นเข้าไปเกี่ยวข้องอีก” ชงซานนั่งเงียบจมอยู่กับความคิด จะบอกว่าหวงตี้รูปงามดึงดูดไม่พอก็ไม่น่าใช่ รูปโฉมเช่นเขานับว่าเป็นของหายาก ในแผ่นดินไม่ว่าสตรีนางใดได้พบยังต้องเก็บไปฝันถึงกันทุกราย แต่กับหวงโฮ่ว... นางเหมือนจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจนมองข้ามความหล่อเหลาคมคายไปจนสิ้น แม้หวงตี้จะทำดีด้วยเพียงใด นางก็ยังคิดว่าเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ “หวงโฮ่วมีท่าทีอย่างไร ตอนที่ฝ่าบาทบอกปฏิเสธ” “นางมีสีหน้าประหลาดใจ แต่เจิ้นมองไปลึก ๆ แล้ว... เหมือนนางจะเจ็บปวดอยู่นิด ๆ” รู้สึกผิดหวัง... อย่างน้อย ๆ ก็พอรู้ได้ว่าหวงโฮ่วยังไม่ได้ตายด้านต่อหวงตี้เสียทีเดียว หากเป็นดังว่ายังพอมีความหวัง เพราะถ้าเกิดนางไม่รู้สึกอะไรเลย การถูกปฏิเสธคงไม่กระทบจิตใจเป็นแน่ “ฝ่าบาทเริ่มต้นได้ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชงซานกล่าวชม “ดีอย่างไร เจิ้นเพิ่งทำร้ายจิตใจนางไปนะ” “หรือฝ่าบาทจะยึดแผนเดิม ที่ว่าพาหวงโฮ่วไปเที่ยวกลางสวนดอกไม้และสารภาพความในใจออกมาขณะที่กลีบดอกไม้โปรยปราย แล้วบอกไปว่าในใจของท่านหลงรักนางตั้งแต่เพียงแรกเห็นที่พบหน้า หัวใจท่านรู้สึกถึงรักอันเป็นนิรันดร...” “หยุด ๆ หยุดพูดแค่นั้นแหละ” ลี่กุนจวิ้นเฉินร้องเสียงดังกลบเสียงชงซาน ขณะที่ตนเองเร่งขยับเท้าเดินสำรวจรอบห้องเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง “เจ้าเป็นคนบอกเจิ้นเองไม่ใช่หรือ หากทำแบบนั้นไป คนที่จะถูกปฏิเสธกลับมาต้องเป็นเจิ้นแน่ ๆ” หวงตี้หนุ่มแทบแยกเขี้ยว “ก็ถ้าหากฝ่าบาทสงสัยวิธีการของกระหม่อม แล้วจะกลับไปยึดวิธีการเดิม กระหม่อมก็พร้อมที่จะย้ำเตือนแผนการนั้นให้ฟังอีกรอบอย่างไรเล่า ฝ่าบาท” ลี่กุนจวิ้นเฉินนึกอยากจะโขกศีรษะกับชั้นหนังสือแทบทันที ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนรอบข้างแต่ละคนจึงมีนิสัยประหลาด คนหนึ่งเป็นสตรีรูปงามที่ชมชอบโฉมของสตรีด้วยกันเอง ส่วนอีกคนก็เป็นบุรุษที่ทำตัวเป็นเหมือนชั้นหนังสือเดินได้ ไร้อารมณ์ รู้จักแต่พูดจาตรง ๆ ไม่ไว้หน้าคนฟัง “ชงซาน” “ในฐานะคนนอกที่คอยสังเกตพฤติกรรมของฝ่าบาทกับหวงโฮ่วมาตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปี กระหม่อมมั่นใจว่าหวงโฮ่วมีใจให้ฝ่าบาท เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น” “แล้ว?” หวงตี้เลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ปล่อยให้หนังสือเดินได้พูดต่อไป “แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฝ่าบาทคราวนี้ จะทำให้หวงโฮ่วเริ่มรู้ใจตัวเองอย่างแน่นอน” ถามว่าลี่กุนจวิ้นเฉินไว้ใจชงซานหรือไม่ เขาคงตอบได้ไม่เต็มปาก แต่กับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ด้วยระยะเวลาห้าปีที่แต่งงานกันมา เขายังไม่เคยได้แตะต้องนางเลยสักครา แล้วถ้ายังยื้อเวลาต่อไปอีก เขากลัวว่าตนเองจะปกป้องนางไม่ได้หาก ‘เรื่องร้ายนั้น’ มาถึง เรื่องที่เขาไม่อาจควบคุม... ด้วยเหตุดังกล่าว ต่อให้ชงซานไม่น่าเชื่อถือในเรื่องแผนการความรักมากเพียงใด แต่ลี่กุนจวิ้นเฉินก็พร้อมที่จะลองเสี่ยง “เจิ้นหวังว่าเจ้าจะคิดถูก เพราะนี่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเจิ้น แต่มันเพื่อตัวนางเองด้วย” ลี่กุนจวิ้นเฉินเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดในพริบตา ถ้าวันที่เรื่องร้ายนั้นมาถึงเข้าจริง ๆ เขาเองก็ไม่อยากฝืนใจช่วยหากนางไม่เต็มใจ สาเหตุเพราะคำว่ารัก เขาถึงอยากให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ทำตามอิสระที่ใจต้องการ และเพื่อเป็นการทดแทนที่ครอบครัวเขาพรากชีวิตอิสระไปจากเด็กสาวคนหนึ่ง และตัวเขาก็ไม่รู้ว่าจะปกป้องนางไปได้อีกนานแค่ไหน... “ฟ้าจะมืดแล้ว ฝ่าบาทจะไปตำหนักฮุ่ยหมิ่นเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” “อืม...” ลี่กุนจวิ้นเฉินมองดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังลับขอบฟ้าผ่านทางหน้าต่าง เหมือนกับเป็นแสงความหวังสุดท้ายที่เขาจะคว้าเอาไว้ ได้แต่หวังว่าแผนพิชิตใจนางจะสำเร็จก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป “หยาเอ๋อร์ เหตุใดมื้อเย็นของเปิ่นกงถึงได้มีอาหารเยอะถึงเพียงนี้” เสวี่ยหวงโฮ่วเอ่ยถาม หลังออกมาจากห้องนอนในสภาพผมยาวตรงถูกปล่อยสยายกลางหลัง ยามบ่ายหลังจากที่หวงตี้กลับไปแล้ว ด้วยความเกียจคราน เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงเข้าไปนอนกลางวันลากยาวยันฟ้ามืด จนถึงเวลาอาหารค่ำ แต่แล้วกลับต้องแปลกใจเมื่อบนโต๊ะมีอาหารจำนวนมากเกินกว่าจำนวนปกติที่นางมักทานอยู่คนเดียว... “ใครจะมาจะไป ทำไมเจ้าไม่แจ้งเปิ่นกง” น้ำเสียงหวานนุ่มพูดดุหยาเอ๋อร์ ถ้อยคำแฝงสำเนียงไม่พอใจของนางส่งผลให้นางกำนัลตัวน้อยหวั่นใจจนมือสั่นเบา ๆ “หม่อมฉันนึกว่าฝ่าบาทบอกหวงโฮ่วแล้วเพคะ...” ถึงจะใจสั่น แต่หยาเอ๋อร์ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีขณะตอบเสวี่ยหวงโฮ่ว “เพิ่งจะรู้ว่าหวงโฮ่วของเจิ้นก็มีมุมดุดันเหมือนกัน” ทันใดนั้นเสียงทุ้มอันคุ้นเคยที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้จักเป็นอย่างดีก็ดังแทรกบทสนทนา ตามมาด้วยการปรากฏตัวของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ เขาเดินเข้ามาด้วยมาดขี้เล่นที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ประดับด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ เขายังคงสวมใส่ชุดสีดำตัวเดิม แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไป มันดูลึกลับน่าค้นหา กระทั่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเผลอมองจนลืมตัวไปชั่วขณะ “เป็นอะไรไป คิดถึงเจิ้นจนลืมตัวไปแล้วหรือ” หวงตี้เดินเข้าไปใกล้ร่างบางในชุดสีครามที่ยังตาค้างด้วยความงุนงง ก่อนจะค่อย ๆ โอบตัวนางแล้วเชยคางขึ้นชื่นชมใบหน้างามด้วยความคุ้นเคย “ข้า...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสมองเบลอไปชั่วขณะ ความรู้สึกที่ถูกมือหนาสัมผัสชวนให้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างจนสติเริ่มหลุดลอย นางไม่คุ้นชินกับการที่ลี่กุ้นจวิ้นเฉินขึ้นเป็นฝ่ายควบคุม แต่ยามที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นนางจำเป็นต้องโอนอ่อนทำตาม “ฝ่าบาทจะมาหาหม่อมฉัน เหตุใดถึงไม่บอกกันก่อน” ถ้าจำไม่ผิด เขาบอกเองมิใช่หรือว่าคืนนี้ไม่ว่าง ถึงขนาดปฏิเสธแผนการของนางอย่างไม่ไยดี “เจิ้นได้ยินมาว่าเจ้ากำลังหลับฝันหวาน เลยไม่อยากจะเข้าไปขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุข” “ฝ่าบาทก็พูดเกินไป จะมีช่วงเวลาใดที่ดีไปกว่าการได้อยู่กับฝ่าบาทอีกล่ะเพคะ” เสียงของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหวานจับใจ ขณะที่มองไปยังนัยน์เนตรพระจันทร์เสี้ยวด้วยแววตาลึกซึ้ง ลี่กุนจวิ้นเฉินได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่สตรีในอ้อมกอดแสดงออกมาในยามนี้เป็นเรื่องจริง “ปากหวานเสมอ ยอดดวงใจของเจิ้น” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มค้าง ยอดดวงใจ? ลี่กุนจวิ้นเฉินไม่เคยใช้คำนี้กับนางมาก่อน ...ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าใครเป็นคนเป่าหูเขา ดวงตาคมกล้าดั่งหงส์ของเสวี่ยหวงโฮ่วเหลือบไปมองชงซานก่อนหันไปหาหยาเอ๋อร์ “หยาเอ๋อร์ บอกให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด อีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับเข้ามา” “เพคะ หวงโฮ่ว” ถึงจะอยู่ในวังมาทั้งชีวิต คุ้นชินกับการได้รับการปรนนิบัติมาทุกฝีก้าว แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและลี่กุนจวิ้นเฉินยังคงต้องการช่วงเวลาส่วนตัวอยู่เสมอ เพื่อจะได้ถอดหน้ากากหวงตี้หวงโฮ่วออก แล้วใช้ชีวิตเป็นแค่บุรุษกับสตรีธรรมดา ที่ไม่ต้องคิดเรื่องการเมืองหรือวังหลังให้ปวดหัว “หม่อมฉันจำได้ว่าฝ่าบาทมีธุระไม่ใช่หรือเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นละสายตาออกจากใบหน้าคมสัน ผิวแก้มของนางร้อนผ่าวกะทันหัน จากการถูกรุกล้ำด้วยประกายแวววาวแฝงความนัยอันลึกซึ้งของหวงตี้หนุ่ม บุรุษผู้นี้อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่เคยว่า ขอแค่ให้เขาช่วยทำตามคำขอของนางก็เพียงพอ แต่ครั้งนี้เขาปฏิเสธ ซ้ำร้ายยังจะมาหานางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หน้าตาเฉย “ไยเจ้าต้องพูดจาห่างเหินกับข้าถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ฮุ่ยหมิ่น มานี่เถิด มาทานข้าวเป็นเพื่อนข้าหน่อย” หวงตี้หนุ่มกล่าวพลางพยุงร่างบางไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเบามือ ถึงแม้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอาจยังไม่เห็นค่าเขาในสายตา แต่อีกไม่นาน นางต้องกลายเป็นฝ่ายที่ถามหาเขาก่อน “ฮุ่ยหมิ่น” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยเรียกหญิงสาวขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศต้องมนต์ “หืม?” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบกลับเสียงสูง นับเป็นครั้งแรกที่รู้จักลี่กุนจวิ้นเฉินแล้วนางไม่สามารถคาดเดาความคิดของบุรุษตรงหน้า “ข้าเคยบอกเจ้าหรือยัง ว่านางสนมทั่วทั้งวังหลัง ยังไม่มีผู้ใดงดงามเทียบเคียงเจ้าได้เลย” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกะพริบตาปริบ ๆ จนคำพูดไปชั่วขณะ อดคิดไปไม่ได้ว่ามีวิญญาณตนไหนแอบเข้ามาสิงร่างหวงตี้แคว้นช่างหรือไม่ “ท่านไม่สบายหรือเปล่า ให้ข้าตามหมอหลวงมาดีหรือไม่” ในฐานะภรรยาที่ดี ย่อมเห็นสุขภาพของสามีเป็นเรื่องสำคัญ อาการผิดปกติเล็กน้อยของลี่กุนจวิ้นเฉิน ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไปได้ ยิ่งอยู่ด้วยกันมานาน ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน “ข้าสบายดี” ลี่กุนจวิ้นเฉินตอบ ส่วนภายในใจกลับนึกคาดโทษชงซานไปเรียบร้อย “ชมเจ้าว่างามมันทำให้ข้าดูตลกอย่างนั้นหรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจ ชงซาน... เจ้าโง่นั่น “ใช่ มันทำให้ท่านดูน่าขันยิ่ง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบออกมาตามตรง “แต่บุรุษรูปงาม ทำสิ่งใดย่อมไม่น่าขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุรุษที่เป็นถึงหวงตี้” “ประเด็นที่เจ้าจะพูดคืออะไร” ลี่กุนจวิ้นเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงรอฟังประโยคถัดไปจากหญิงสาว “ข้าเคยบอกท่านไปแล้ว ข้าน่ะ... ไม่สนใจว่าตนเองจะงดงามหรือไม่ เพราะมนุษย์ทุกคนต่างรู้ดีว่าสักวันความงามย่อมต้องมีการสูญสลายไปตามกาลเวลา แม้ข้ารับใช้คอยกรอกหูว่าอายุมากแต่ยังสวยไม่สร่าง ถึงกระนั้นภายในใจย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเรื่องโป้ปด การที่ท่านมาชมรูปร่างหน้าตาข้าว่างาม ย่อมไม่ต่างจากคำหวานที่พูดออกมาแล้วก็หายไป” ลี่กุนจวิ้นเฉินยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก นัยน์ตาทอดมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยความหลงใหล เขาไม่ได้หลงใหลนางเพราะหน้าตาแต่เป็นเพราะความคิด หลายปีมานี้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่สนใจหน้าตาตัวเองมากมายเท่าใดนัก แม้จะพยายามแต่งตัวให้งดงามแต่ก็เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่ง ทุกครั้งที่ได้รับเครื่องประทินโฉมและของบำรุงผิวพรรณล้ำค่าจากลี่กุนจวิ้นเฉิน นางมักจะไม่เก็บไว้ใช้เอง หากแต่จะส่งมอบมันให้กับเหล่านางสนม แจกจ่ายทุกคนตามที่นางเห็นว่าดี ต่อให้ไม่ใช่หนึ่งในสี่พระมเหสี เป็นแค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ ถ้านางอยากจะมอบสิ่งนั้นให้ ก็ให้โดยไม่สนใจสายตาผู้ใด “ที่ข้าจะพูดก็คือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเว้นวรรค “คือ?” “ชงซานเป่าหูอะไรท่านมาอีก” ลี่กุนจวิ้นเฉินสำลักน้ำชาฉับพลัน เมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาจากสตรีข้างกาย “เจ้าพูดอะไรน่ะ” เขาถามก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน “อย่าทำเป็นเฉไฉ ท่านและชงซานชอบคิดอะไรประหลาด ๆ อยู่เสมอ ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ เพียงแต่เห็นพวกท่านเป็นผู้ชาย จึงไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวก็เท่านั้น” “ทำไมเจ้าไม่คิดว่าเป็นข้าเองนี่แหละที่อยากชมเจ้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหัวเราะร่าทันทีที่ได้ยินคำพูดของหวงตี้หนุ่ม “ฮ่า ๆ ท่านเนี่ยนะพูดจาหวานเสนาะหูเป็นกับผู้อื่นด้วย จวิ้นเฉิน ข้าอยู่กับท่านมานานแค่ไหนแล้ว นิสัยสุภาพบุรุษพูดแต่เรื่องมีประโยชน์อย่างท่านไม่เคยเสียเวลาพูดจาหยอดสตรีเป็นแน่ นอกเสียจากมีคนข้างกายท่านคอยเป่าหู” “ชงซานไม่ใช่คนข้างกายข้า” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง “อ้อ... เช่นนั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นฉีกยิ้มร้าย ลี่กุนจวิ้นเฉินจ้องมองไปในดวงตาหงส์คู่งามด้วยความเคืองโกรธ มันจริงอย่างที่ชงซานว่าไว้ หากเขายังปล่อยให้นางเป็นฝ่ายควบคุม ต่อให้ตายอีกสิบชาติเขาก็เป็นได้แค่สหายอยู่วันยังค่ำ “เจ้า... เป็นเจ้าที่อยู่ข้างกายข้า”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่2 บทที่ 2 กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A