ตอนที่5 บทที่ 5 คนผิดคือผู้ชนะ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่5 บทที่ 5 คนผิดคือผู้ชนะ
บทที่ 5 คนผิดคือผู้ชนะ เสียงดนตรีหยุดชะงักลงทันใดเพราะประโยคของพระสนมขั้นหนึ่งเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหวงโฮ่ว ทุกเสียงเฮฮาเงียบสนิทหลงเหลือไว้แค่เพียงเสียงร้องของจักจั่นยามค่ำคืน เหวินซิวหรงจากที่ยิ้มชื่นบาน หน้าเสียในทันใด อย่างหนึ่งที่นางสนมทุกคนในวังหลังต่างรู้ดี พวกนางจะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องกับหวงโฮ่วเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าหวงตี้ ท่ามกลางงานเลี้ยงที่ทุกฝ่ายต่างแสดงใบหน้าขาวซีด เสวี่ยหวงโฮ่วดูเหมือนจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับไม่สนใจพฤติกรรมข้ามหน้าข้ามตาตนเองของเหวินซิวหรง ในขณะเดียวกัน คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เหวินซิวหรง หากแต่เป็นหวงตี้ เขาเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ปกติลี่กุนจวิ้นเฉินอาจเป็นคนที่สุภาพ มีความคิดลุ่มลึก ไม่เคยแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมาต่อหน้าสาธารณชน ทว่าหากเป็นเรื่องของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น เขากลับพร้อมจะแหกทุกกฎเกณฑ์ “เจ้ามอบผ้ามุกให้ซิวหรง หรือแบ่งให้กันแน่” ลี่กุนจวิ้นเฉินถามคนข้างกายเสียงเย็น ด้วยความที่ลี่กุนจวิ้นเฉินมักหวงของ ทุกครั้งที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมอบข้าวของซึ่งได้รับมอบจากเขาให้แก่ผู้อื่น นางจึงมักหาข้อแก้ต่างเพื่อให้เขาสบายใจ เช่นเดียวกับผ้ามุกหายากผืนนี้ นางก็แสร้งทำเป็นบอกว่าแบ่งให้ซิวหรงส่วนหนึ่ง ทั้งที่ความจริงนางยกให้ไปหมดเลย “หม่อมฉันก็บอกฝ่าบาทไปแล้วเรื่องนี้ หม่อมฉันเห็นว่าเหมาะสมกับซิวหรงจึงแบ่งให้นางไป อย่างไรเสียก็มีอีกผืนอยู่ที่ฝ่าบาทมิใช่หรือ” เห็นสหายโกรธ นางย่อมต้องพยายามเป็นน้ำดับไฟ อธิบายให้ชายหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เจิ้นพูดกับเจ้าหลายครั้งแล้วนะเรื่องนี้” เขาถอนหายใจ ข้าก็บอกท่านไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ว่าของนอกกายตายไปมันก็เอาไปด้วยไม่ได้เสียหน่อย นางได้แต่พูดอยู่ในใจ “หม่อมฉันขออภัยเพคะ” การเป็นเชื้อพระวงศ์ สิ่งสำคัญคือการพูด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะพูดเรื่องอัปมงคลอย่างความตายออกมาไม่ได้ และนางต้องไม่แสดงตนข้ามหน้าข้ามตาหวงตี้จนเกินไป เพราะขนบธรรมเนียมอย่างบุรุษเป็นผู้นำยังคงอยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่นางเกลียดแต่มิอาจทำอะไรได้ “ซิวหรง เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าตนเองกลายเป็นสาเหตุให้ฝ่าบาทกับหวงโฮ่วทรงขุ่นเคืองกันน่ะ” ซิ่นเสียนเฟยเอ่ยถามด้วยเสียงใสซื่อ “แต่จากที่หม่อมฉันฟัง เหมือนจะเป็นพี่หญิงมิใช่หรือ ที่นำเรื่องผ้ามุกนี้ขึ้นมาพูด” แม้จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่หญิง แต่จากน้ำเสียงของเหวินซิวหรง จะรู้สึกได้ถึงความแข็งกระด้างอย่างชัดเจน “แต่เปิ่นกงก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำเรื่องข้ามหน้าข้ามตาหวงโฮ่ว ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผ้าผืนนี้มีความสำคัญอย่างไร หวงโฮ่วเพคะ จะทรงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้นะเพคะ” “เปิ่นกงรู้” เสวี่ยหวงโฮ่วพยักหน้า ขณะรับฟัง “หรือซิวหรงจะไม่รู้เรื่องราวของผ้ามุกกันเพคะ” กุ้ยเฟยผู้ร่วมทุกงานกระโดดลงสงครามในทันใด โดยที่นางไม่ได้จงใจอยู่ฝั่งไหน นอกจากฝั่งผู้ที่จะพ่ายแพ้จริง ๆ “ใครบ้างจะไม่รู้เรื่องนั้นกัน” เสียนเฟยแทบจะเค้นเสียงหัวเราะออกมา “แค่ผ้าผืนเดียว พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเองเลย” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเล่นบทหวงโฮ่วผู้แสนดีอีกครั้ง นางแสดงความเมตตา พยายามหยุดการโต้เถียงด้วยการทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ใช่ว่านางจะไม่สนุกที่นางสนมจิกกัดกัน แต่ความน่าสนุกหลัก ๆ ไม่ใช่เรื่องการโต้เถียง เนื่องจากทุกคนมีปากเหมือนกัน ความรู้มากพอกัน เถียงกันก็รังแต่จะยื้อเวลา สู้หาเรื่องให้พวกนางเจ็บช้ำน้ำใจไม่ดีกว่าอีกหรือ “ซิวหรง” เมื่อหวงโฮ่วอยากจะหยุดการโต้เถียง หวงตี้ก็ยื่นมือเข้ามาทันใด “เพคะ ฝ่าบาท” ซิวหรงเงยหน้าสบตากับผู้ที่อยู่เบื้องบนด้วยแววตากลมโตใสซื่อบริสุทธิ์ “ครั้งนี้เจ้าทำเกินไป” ลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ฟังเช่นนั้นก็ลอบยิ้มมุมปากอยู่เงียบ ๆ ขณะที่เล่นกับปลายเส้นผมตนเองราวกับไม่ใส่ใจ เหวินซิวหรงอาจจะเป็นสตรีที่พยายามอยู่อย่างสงบ ทว่าคนเช่นนางย่อมมีขีดจำกัด และผู้ที่จะมาทลายขีดจำกัดนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล หากแต่เป็นซิ่นเสียนเฟย “เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรดี หวงโฮ่วที่รัก” ลี่กุนจวิ้นเฉินหันมาถามความเห็นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ทั้งที่ตนคือผู้ครอบครองวังหลังที่แท้จริง เมื่อหวงตี้จะกล่าวโทษ เหวินซิวหรงก็รีบมายืนกลางลาน โขกศีรษะขออภัยจนหน้าผากแดงเถือก “ฝ่าบาท หวงโฮ่ว ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ” เสียงหวานของนางสั่นเครือ เหวินซิวหรงเหมือนลูกนกตัวคนเดียว นางจากบ้านมาไกลแสนไกล ไม่มีเส้นสายใด ๆ อยู่ในวังหลวงให้หวงตี้ต้องหวาดระแวง แต่นั่นก็หมายถึง ไม่มีใครสามารถปกป้องนางได้นอกจากตัวเอง “แค่กักบริเวณก็พอแล้วเพคะ ฝ่าบาท” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาราวกับแม่พระผู้มีเมตตา ทั้งที่ข้ามหน้าข้ามตาหวงโฮ่วควรจะได้รับโทษหนักกว่านั้น แต่นางกลับไม่คิดเอาความ “อืม” ลี่กุนจวิ้นเฉินพยักหน้ารับแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ทุกอย่างในวังหลังเขาออกปากให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นดูแล ชายหนุ่มจึงต้องทำตามที่รับปากเอาไว้อย่างเคร่งครัด “แค่กักบริเวณ เปิ่นกงว่าสตรีบ้านนอกอย่างเจ้า น่าจะถูกส่งกลับไปอยู่กับครอบครัวคนป่าได้แล้วนะ” หลังซิ่นเสียนเฟยได้ยินว่าโทษของเหวินซิวหรงไม่หนักหนาเท่าที่คิด นางก็อดกระซิบเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาไม่ได้ ซึ่งช่างเป็นอะไรที่เหมาะเจาะนัก เมื่อซิวหรงอยู่ห่างจากนางไม่กี่ก้าว ใกล้มากพอให้ได้ยินทุกคำพูดที่อีกฝ่ายดูถูกตนเองและครอบครัว “ท่านกล่าวอะไรออกมาน่ะ” ครั้นโดนกล่าวปรามาสถึงครอบครัว ซิวหรงผู้แสนเรียบร้อยจึงเลือดขึ้นหน้าในฉับพลัน จากที่คุกเข่าก็ลุกขึ้นหันไปเผชิญหน้ากับเสียนเฟยด้วยสีหน้าเดือดดาลและไม่เกรงใจผู้ใด แม้จะเป็นต่อหน้าหวงตี้หรือหวงโฮ่วก็ตาม “ช่วยระวังกิริยาของตนเองด้วย ซิวหรง เจ้าไม่ไว้หน้าหวงโฮ่วเรื่องชุดแล้ว ยังจะทำลายงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์ของฝ่าบาทอีกหรือ” คราวนี้ถึงตาเสียนเฟยตีหน้าใสซื่อ นางกล่าวเหน็บแนมอีกฝ่าย แล้วยังพาดพิงเบื้องบนทำให้ซิวหรงดูกลายเป็นสตรีป่าเถื่อนที่ปฏิบัติตัวไม่รู้จักกาลเทศะ “เสียนเฟย ท่านจะว่าหม่อมฉันอย่างไร หม่อมฉันไม่เคยคิดมาโกรธเคือง แต่การที่ท่านกล่าวร้ายใส่ครอบครัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันมิอาจยอม” “ทำไมหรือ หรือเจ้ารับความจริงไม่ได้” ซิวหรงกำหมัดแน่นพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพลุ่งพล่าน ผู้คนรอบข้างต่างชมละครเบื้องหน้าด้วยความสนุกสนาน จนลืมการระบำผ้าไหมไปจนสิ้น แม้แต่หวงโฮ่วที่มีท่าทางคล้ายกับเบื่อหน่ายเมื่อครู่ ยามนี้ถึงกับนั่งตัวตรงมองเรื่องราวตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย “ท่านต้องเป็นคนเช่นไร เสียนเฟย” ซิวหรงส่ายหน้าไม่เข้าใจ “เปิ่นกงก็เกิดมาในครอบครัวที่มีการสั่งสอนดีกว่าเจ้าอย่างไรล่ะ” เพียะ! สิ้นคำพูดของเสียนเฟย ซิวหรงก็มิอาจทนต่อวาจาย่ำยีได้อีก นางง้างมือตบหน้าเสียนเฟยผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าโดยไม่สนใจใครหน้าไหน นางรู้แค่ว่าเสียนเฟยต้องได้รับบทลงโทษ แม้หลังจากนี้นางจะกลายเป็นฝ่ายผิดเองก็ตาม “เปิ่นกงชอบนาง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดโพล่งขึ้นมาหลังจากที่ทั่วทั้งลานกลับไปตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หลังจากได้เห็นสตรีผู้แสนเรียบร้อยอย่างซิวหรงเผยด้านมืดออกมา บุคคลผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกเหตุการณ์อย่างเสวี่ยหวงโฮ่วก็ฉายสีหน้าเปล่งประกาย พร้อมรอยยิ้มร้ายบนใบหน้างาม น้ำเสียงของนางยามเอ่ยถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จนหวงตี้ที่นั่งอยู่ข้างกายลอบถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ลี่กุนจวิ้นเฉินได้แต่อิจฉาเหล่านางสนมที่สามารถดึงความสนใจจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไปได้ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร กลับไม่เคยได้ความสนใจจากนางขนาดนี้มาก่อน “ฝ่าบาท หวงโฮ่ว หม่อมฉันต้องการความเป็นธรรมเพคะ” เสียนเฟยล้มลง มือขาวเนียนกุมแก้มข้างซ้ายที่ถูกตบจนหันไปอีกทาง ดวงตาคู่งามเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา พลางส่งสายตาน่าสงสารไปทางหวงตี้ ช่างน่านับถือที่เจ้าตัวสามารถเปลี่ยนจากนางร้ายกลายเป็นผู้อ่อนแอได้ในพริบตา ทั้งที่ เหวินซิวหรงไม่ได้ออกแรงมากมาย แต่ซิ่นเสียนเฟยกลับทำให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ กฎหลักอีกข้อของการอาศัยในวังหลวง คือต้องควบคุมอารมณ์ ใครที่เป็นฝ่ายระเบิดออกมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถูก สุดท้ายก็จะถูกมองให้เป็นผิด อย่างเช่นเหวินซิวหรงในยามนี้ ที่ตกเป็นเหยื่อคำพูดของซิ่นเสียนเฟย “ฝ่าบาท การที่พระสนมซิวหรงทำเช่นนี้ นอกจากจะไม่ให้เกียรติบุตรสาวกระหม่อมแล้ว เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่เห็นหัวกระหม่อมเช่นกันนะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าราชทูตแคว้นเพ่ย ซิ่นจินหม่า บิดาของซิ่นเสียนเฟยก็อยู่ในงานเลี้ยง ด้วยฐานะของเขาย่อมมิอาจทนเห็นบุตรสาวถูกทำร้ายโดยคนจากหุบเขาในดินแดนอันห่างไกลได้ ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องเข้าข้างเขา เหวินซิวหรงทั้งล่วงเกินหวงโฮ่ว แล้วยังล่วงเกินตระกูลซิ่นจากแคว้นสำคัญ ไม่ว่าอย่างไรเงาหัวของนางก็หายไปเกือบครึ่งแล้ว “ใต้เท้าซิ่น เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหวงโฮ่ว เจิ้นมิอาจยุ่งเกี่ยว” “แต่ฝ่าบาท เรื่องภายในวังล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกครองของฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซิ่นโต้แย้ง คำพูดของชายวัยกลางคน สื่อออกมาเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยที่หวงโฮ่วอยู่เหนือกว่าหวงตี้ “หวงโฮ่วคืออัครมเหสีของเจิ้น การตัดสินใจของหวงโฮ่วก็คือการตัดสินใจของเจิ้นเช่นกัน หรือใต้เท้าซิ่นมีเรื่องใดจะโต้แย้ง” “ใต้เท้าซิ่นจะกล่าวว่าการตัดสินใจของฝ่าบาทบกพร่องหรือ” เสวี่ยหวงโฮ่วทนถูกกดขี่ได้ไม่นานจึงยื่นมือเข้ามาเกี่ยว แต่เดิมนางไม่เคยชอบคนตรงหน้าอยู่แล้ว คิดว่าตนเองเป็นตัวแทนสำคัญจากแคว้นที่ส่งออกแร่ เขาถึงทำตัวถือยศถือศักดิ์ กดขี่ข่มเหงผู้ที่ต้อยต่ำกว่า จนนิสัยเช่นนั้นส่งต่อมาให้บุตรสาวโดยไม่รู้ตัว “กระหม่อมมิบังอาจ” ใต้เท้าซิ่นยอมถอยหนึ่งก้าว “หากเป็นเช่นนั้น หวงโฮ่วก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่บุตรสาวและตระกูลของกระหม่อม อย่าให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาประพฤติตนไม่เหมาะสมใส่เช่นนี้” “เปิ่นกงจะลงโทษผู้ใดหรือมิลงโทษผู้ใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใต้เท้าต้องมากังวลแทน” จบคำของหวงโฮ่ว ใต้เท้าซิ่นจึงเหมือนถูกตบหน้ากลางสี่แยกในตลาด เขาคิดจะตอบโต้ แต่หากทำเช่นนั้นต่อไป สตรีหน้าใสใจคดก็คงจะหยิบยกอำนาจในมือมาข่มขู่กลับ ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าจึงทำได้แค่กำมือกัดฟัน “พ่ะย่ะค่ะ” “แต่ถ้าใต้เท้าซิ่นอยากให้เปิ่นกงตัดสินใจตรงนี้เลยก็ย่อมได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นระบายยิ้มกรีดกราย ดวงตาหงส์ฉายประกายแววตาชั่วร้ายออกมาวูบหนึ่งก่อนหายวับไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงผู้เดียวที่ทันสังเกตมัน นั่นคือลี่กุนจวิ้นเฉิน ลางร้ายกำลังจะมาเยือน และต่อให้เป็นร้อยล้านเหตุผลก็ไม่อาจหยุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “ซิวหรง เจ้าทำผิดฐานประพฤติตนมิให้เกียรติเปิ่นกง ให้ลงโทษกักบริเวณ ห้ามออกจากตำหนักเป็นเวลาสามเดือน ลดจำนวนเครื่องใช้ทุกอย่างลงอย่างละครึ่ง รวมไปถึงเหล่านางกำนัลที่รับใช้” “ขอบพระทัยเพคะหวงโฮ่ว” ซิ่นเสียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังไม่จางหายไป “ส่วนเสียนเฟย...” ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเรื่องวุ่นวายกำลังจบลง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็พูดขึ้นมาต่อ “ในฐานะที่นำเรื่องผ้ามุกขึ้นมากล่าว จนทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต มีโทษปลดจากตำแหน่งเสียนเฟย ลดขั้นเป็นเจาอี๋ และส่งไปตำหนักเย็นอย่างไม่มีกำหนด” “หวงโฮ่ว!” ซิ่นเสียนเฟย... หรือซิ่นเจาอี๋และใต้เท้าซิ่นพร้อมด้วยครอบครัวต่างเปล่งเสียงเอ่ยนามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยความตระหนกอย่างพร้อมเพรียงกัน เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างฝั่งตระกูลนั้น ต่างก็พากันมานั่งคุกเข่าขอความเมตตา “หวงโฮ่วโปรดตัดสินใจใหม่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางของใต้เท้าซิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คนของเปิ่นกง... กฎของเปิ่นกง... หากพวกท่านอยากจะเปลี่ยนกฎ เช่นนั้นก็ขึ้นมาเป็นหวงโฮ่วเสียสิ อ้อ... แต่คงทำไม่ได้สินะ ในเมื่อพวกท่านเป็นบุรุษ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเนิบช้า แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงดูถูกแต่คำพูดกลับทำให้คนฟังเจ็บถึงกระดูกดำ พวกเขาเป็นบุรุษ ยิ่งใหญ่ได้ตำแหน่งการงานในเส้นทางขุนนาง แต่สตรีที่มีเพียงความงาม และถูกมองว่าด้อยค่ากลับสามารถยิ่งใหญ่จนได้เป็นถึงหวงโฮ่ว หากหวงตี้ไม่กล่าว ใครหน้าไหนจะกล้าลุกขึ้นสู้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเบื่อแล้วเพคะ” ครั้นหน้าที่ของตัวเองจบ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยจากการเล่นบทบาทหวงโฮ่ว นางเหนื่อยทั้งกายและจิตใจ จนอยากจะหลบไปผ่อนคลายเป็นคนธรรมดาเสียที “ได้ เช่นนั้นเจิ้นจะพาเจ้ากลับตำหนักเอง” “ตำหนักเย็นเลยหรือ ซิ่นเสียนเฟยไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจถึงเพียงนั้น” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยถามตัวร้ายข้างกายที่ทานอาหารมื้อดึกด้วยความสบายใจ แม้ตนเองจะเพิ่งส่งคนเข้าตำหนักเย็นไปหนึ่งคน “ซิ่นเจาอี๋ ท่านต้องเรียกให้ถูกสิ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแก้คำเรียกขาน “นางจะตำแหน่งอะไรข้าสนใจที่ไหน ข้าสนแค่ว่านางทำอะไรให้เจ้ามากกว่า” “นางคิดจะดึงข้าลงจากตำแหน่ง” ลี่กุนจวิ้นเฉินมีท่าทีเปลี่ยนไปทันควันหลังได้ยินคำตอบจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ไม่ว่าจะมีปัญหาใด เขาไม่เคยนึกเดือดร้อน นอกจากภัยคุกคามที่มีต่อตำแหน่งหวงโฮ่วของนาง ต่อให้เป็นแค่ความคิด เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนที่คิดเช่นนั้นมีชีวิตอยู่ร่วมในที่เดียวกันได้ “ทำไมเจ้าไม่บอกข้า” เขาถามนางเสียงทุ้มต่ำ ไม่ได้นุ่มนวลอย่างที่เคย “จวิ้นเฉิน ท่านไม่อาจปกป้องข้าได้ตลอดไป และบางเรื่อง ข้าจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยายามอธิบายให้เขาสบายใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล เมื่อใบหน้าที่งดงามราวกับหยกสลักของลี่กุนจวิ้นเฉินยังคงแข็งกระด้าง “แต่เจ้าควรจะบอกข้าเรื่องนี้ ฮุ่ยหมิ่น หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ เรื่องตำแหน่งหวงโฮ่วไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่เจ้าจะมาปิดบังกับข้า” “ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียหน่อย ท่านจะวิตกไปไย” “แล้วหากเรื่องมันบานปลาย เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร หากซิ่นเสียนเฟยยก ‘เรื่องนั้น’ ขึ้นมาในงานเลี้ยงวันนี้ ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างไร ข้าทนเป็นหวงตี้โดยไร้เจ้าข้างกายไม่ได้นะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหยุดคีบอาหารเข้าปาก เมื่อเจอคำถามหนักหน่วงใจ โดยเฉพาะ ‘เรื่องนั้น’ ที่นางแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ นับวันยิ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาหงส์คู่งามหลุบลงต่ำ มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ลี่กุนจวิ้นเฉินเหมือนจะรู้ตัวว่าทำให้สตรีในอาภรณ์สีขาวคิดมาก มือหนาข้างกายจึงยกขึ้นมากุมมือน้อยที่เย็นเยียบ ค่อย ๆ ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้ด้วยความห่วงใย เขาอยากจะโอบกอดนาง แล้วบอกว่าตนเองจะคอยปกป้อง ...แต่มิอาจทำได้ เนื่องจากสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เป็นความต้องการของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอง “ข้ารู้ว่าท่านกลัว” แต่แล้วจากคนถูกปลอบ กลับกลายเป็นคนปลอบเสียเอง เมื่อเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นดึงร่างสูงเข้ามากอด “แต่เราสัญญากันแล้วมิใช่หรือ ว่าจะไม่มีวันแยกจากกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าและท่านจะเป็นสหายเคียงคู่กัน คอยช่วยเหลือกันตลอดไป” คำพูดหวานนุ่มเอ่ยกล่อมให้เขาคลายความกังวล นางรู้ดีว่าลี่กุนจวิ้นเฉินกลัวที่จะสูญเสียนางไปมากแค่ไหน เพราะทั้งชีวิตที่เขาเติบโตมา มีน้อยคนนักที่จะสามารถเชื่อใจและสามารถปล่อยวางเป็นตัวของตัวเองได้ยามอยู่ด้วยกันอย่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น เขากับนาง ต่างเชื่อมต่ออีกครึ่งของตัวตนไว้ที่กันและกัน ไม่แปลกที่พวกเขาจะกลัวสูญเสียความสัมพันธ์ในตอนนี้ไป เพราะมันคงไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียตัวตนอีกครึ่งหนึ่ง คำว่าสหายจึงเหมาะสมสำหรับการเรียกสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เพราะมันทั้งยืนยาว และมั่นคง มากกว่าคำว่า... ‘คนรัก’
已经是最新一章了
加载中