ตอนที่6 บทที่ 6 ความงามของสตรี   1/    
已经是第一章了
ตอนที่6 บทที่ 6 ความงามของสตรี
บทที่ 6 ความงามของสตรี ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ไม่อาจทำร้ายหัวใจที่ด้านชา จากเสียนเฟย กลายมาเป็นเจาอี๋ จากที่อยู่สุขสบาย กลับไร้ซึ่งคนข้างกาย อำนาจภายในมือหายไปในชั่วข้ามคืน เพียงเพราะแตะต้องผิดคน ซิ่นจิวซื่อเดินเข้าไปในตำหนักอันทรุดโทรม ผนังกั้นมีรอยขาด พื้นไม้ผุพังพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ ในยามนี้นางสวมใส่เพียงอาภรณ์ผืนบางสีขาวสว่าง ไร้สีสัน ไร้เครื่องประดับพริ้งพรายดังเช่นวันวาน มีเพียงความว่างเปล่าที่หลงเหลือ ดวงตาคู่งามเหม่อลอยขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีซีด จนกระทั่งสาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาตั้งแต่ยังไม่ออกเรือน กลับมาพร้อมกับถ้วยน้ำข้าวต้มเย็นชืด “นายหญิง ทานข้าวสักนิดนะเพคะ” สาวใช้ในชุดสีน้ำตาลพยุงร่างบางให้ลุกไปยังโต๊ะทานอาหาร ซิ่นเจาอี๋ยืนนิ่ง ไม่ขยับตามแรงของสาวใช้ตัวน้อย นางมองถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะด้วยแววตาแข็งกร้าว อารมณ์กรุ่นโกรธค่อย ๆ ปะทุขึ้นในอก ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีเข้าไปในห้องข้างหลัง แต่เมื่อมาถึง นางกลับเจอกล่องไม้สีขาวสลักได้รูปงดงามวางทิ้งเอาไว้บนเตียงเก่า หัวใจดวงน้อยเต้นคร่อมจังหวะทันควัน มือบางขาวซีดหยิบกล่องขึ้นมาเปิดช้า ๆ เมื่อเห็นของที่อยู่ข้างใน มือทั้งสองข้างของนางก็เกิดอ่อนแรงจนทำกล่องขาวหล่นลงพื้น ส่งผลให้ตุ๊กตาซิวหรงในชุดผ้ามุกสีขาวกลิ้งออกมา นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น “นายหญิง!” สาวใช้ของซิ่นเจาอี๋รีบวิ่งเข้ามาในห้อง นางเห็นตุ๊กตาผ้าที่ตกอยู่ที่พื้น มองแค่ครั้งเดียวก็รู้ว่านั่นคือตัวแทนของใคร เมื่อหันไปมองที่เจ้านายตนเอง นางถึงได้เห็นว่าใบหน้าสวยคมราวกับใบมีด ได้เผยสีหน้าอำมหิตน่าหวาดกลัว มือทั้งสองข้างที่ผอมแห้งกำแน่นจนสั่นระริก ความสิ้นหวังมิอาจดับไฟ ต่อให้ซิ่นเจาอี๋พ่ายแพ้ แต่นางไม่มีวันยอม “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่น” ยามเที่ยงอันน่าเบื่อหน่าย เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนอนเอกเขนกบนตั่งยาวมองดูใบไม้หลากสีค่อย ๆ ร่วงโรย ส่วนมือซึ่งไว้เล็บยาวสีแดงสดค่อย ๆ หยิบเอาผลองุ่นรสหวานล้ำมากินเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย “หวงโฮ่ว เหตุใดถึงลงโทษเจาอี๋เช่นนั้นละเพคะ” หยาตาอิ้งเอ่ยถามนายเหนือหัว หลังจากอดทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว “นางแพ้ในสงครามตัวร้าย” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบอย่างไม่คิดปิดบัง ในเมื่อรอบข้างมีเพียงนางและหยาเอ๋อร์ “เปิ่นกงไม่อยากได้คนอ่อนแอมาอยู่ร่วมด้วย ซิวหรงแสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมา โดยที่ไม่สนสายตาใคร แม้นางจะถูกต้อนกระทั่งจนมุมแต่ยังหันกลับมาสู้ ต่างจากเจาอี๋ ที่ลำพองใจ คิดว่าแค่ใช้คำพูดก็เพียงพอที่จะชนะ ...นางอาจจะชนะซิวหรง แต่นางแพ้ในสายตาเปิ่นกง” “หวงโฮ่วหมายความว่า ในตอนนี้ทรงอยากที่จะให้นางสนมตีกันหรือเพคะ” รอยยิ้มร้ายระบายบนหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “ใช่ เปิ่นกงอยากเห็นพวกนางตีกัน และวันเงียบเหงาเช่นนี้ช่างน่าเบื่อ จนเปิ่นกงเริ่มทนไม่ไหว” ทุกอย่างเงียบสงบและสดใสเกินทน ตั้งแต่ซิ่นเจาอี๋ถูกส่งไปตำหนักเย็น ก็ไม่มีใครลุกมาเคลื่อนไหวสร้างแผนการอะไรเลย จนท้ายที่สุด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็หมดความอดทน บางทีนางต้องเริ่มปลูกต้นกล้าต้นใหม่อีกแล้ว ว่าด้วยนางสนมภายในวังหลัง ทุกคนต่างเพียบพร้อมไปด้วยความงาม ฝีมือด้านศิลปะ และกิริยามารยาทอันไร้ที่ติ กิริยาอาจมองข้าม ฝีมืออาจแตกต่าง แต่สิ่งที่เทียบเคียงกันแล้ว ไม่อาจระบุผลลัพธ์เด็ดขาดคงจะเป็นเรื่องหน้าตา สตรีทุกคนที่รับใช้ฝ่าบาท ล้วนแล้วแต่มีรูปโฉมงดงามไร้ที่ติ เป็นโฉมสะคราญพริ้งเพรา ชดช้อยอ่อนหวาน งามหยาดฟ้ามาสู่ดิน นับว่า ‘ดวงหน้า’ คือสิ่งที่พวกนางล้วนภูมิใจจนมิอาจนำมาแข่งกันได้ อย่างไรก็ดี จิตใจของสตรีล้วนมีความริษยาฝังรากลึกอยู่ข้างใน ฉากหน้าอาจยิ้มหวานกล่าวชมผู้อื่นว่าดีพร้อม แต่ในใจกลับคิดว่าตนเองคือที่หนึ่งอยู่เสมอ หากอยู่เฉย ๆ คงไม่มีอะไร แต่เมื่อนำมาประชันกัน ก็ยากที่จะหลีกหนีการผิดใจ “เปิ่นกงอยากจัดงานเลี้ยง... นางสนมที่งดงามที่สุดในวังหลัง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโพล่งขึ้นมาก่อนจะลุกนั่งตัวตรง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายความสนุก “หวงโฮ่วจะจัดงานเลี้ยงที่ให้พระสนมมาประชันโฉมกันหรือเพคะ” หยาตาอิ้งอยากจะให้ตัวเองฟังผิดไป สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดระหว่างสตรี คือการประชันรูปโฉมซึ่งกันและกัน เพราะไม่ว่าใครต่างก็หวังให้ตัวเองงามที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าหวงตี้ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นวางแผนในใจด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหมายมั่นปั้นมือด้วยท่าทีเด็ดขาด “ใช่แล้ว พอดีเปิ่นกงเบื่อเกินไปน่ะ เลยอยากจะเล่นแต่งตัวให้ตุ๊กตาผ้าเสียหน่อย” “ช่วงนี้หวงโฮ่วเป็นอย่างไรบ้าง” ลี่กุนจวิ้นเฉินกำลังทำงานอยู่ในห้องตำรา เขาเอ่ยถามกับองครักษ์ชุดดำข้างตัว นอกจากชงซาน คนที่อยู่ข้างกายเขาก็มีองครักษ์หน้าตายผู้นี้อีกคน นามของเขาคือไป๋หนาน นอกจากมีหน้าที่ปกป้องหวงตี้ หน้าที่ของเขาอีกประการคือติดตามชีวิตประจำวันของหวงโฮ่วอย่างลับ ๆ “ช่วงนี้พระนางดูเบื่อหน่ายเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” “เบื่อหรือ...” มือที่เขียนหนังสือหยุดชะงัก ในใจเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาแปลก ๆ หากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเบื่อ สิ่งที่นางจะทำคือสร้างเรื่อง… “สืบมาให้เจิ้นที ว่านางกำลังวางแผนอะไรต่อไป ระวังอย่าให้นางทำอะไรเกินขอบเขตจนเป็นผลเสียต่อตัวเอง” “พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋หนานรับคำสั่งก่อนจะจากไปด้วยความว่องไว “ฝ่าบาททรงกังวลว่าหวงโฮ่วจะสร้างเรื่องใหญ่หรือ” ชงซานเงยหน้าขึ้นจากหนังสือถามผู้เป็นนาย “เจ้าเคยเห็นนางเบื่อแล้วอยู่อย่างสงบหรือไม่เล่า” ชงซานพยายามคิด “ไม่พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของชงซานคือทุกอย่าง ดูเหมือนว่าวังหลังจะมีบทละครเรื่องใหม่เปิดม่านแสดงอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ได้มีผู้เขียนบทเพียงคนเดียว ลี่กุนจวิ้นเฉินใช้มือเท้าศีรษะขณะยิ้มมุมปากบาง ๆ การจะเข้าไปในใจของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือการไปอยู่ในสายตานาง ในวันที่ท้องฟ้าสดใส แม้จะเป็นยามบ่ายแต่อากาศกลับเย็นสบาย เหมาะสมแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง และในวันดี ๆเช่นนั้น ตำหนักฮุ่ยหมิ่นจึงค่อนข้างครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากความเบื่อหน่ายของหวงโฮ่ว นางได้ประกาศเรียก สี่พระมเหสีและเก้าสนมเอกมารวมตัวกัน ขั้นต่ำไปกว่านั้นล้วนแล้วแต่ไม่อยู่ในสายตา คนบางคนอาจจะงาม แต่งามอย่างไร้ซึ่งเสน่ห์ ตำแหน่งสี่พระมเหสี ในวันนี้เหลืออยู่เพียงสองคน คือกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย ว่าด้วยเจ้าของตำแหน่งกุ้ยเฟย จิ่นเลี่ยนลี่ สตรีที่งามที่สุดในวังหลัง งามจนเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเองยังมิอาจละสายตาไปได้ ทุกครั้งที่สตรีผู้นี้ก้าวเข้ามาในฉาก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ราวกับถูกบดบังรัศมีไปจนหมด อย่างเช่นในเวลานี้ กุ้ยเฟยก็ยังคงพริ้มพรายไม่เปลี่ยนแปลง ร่างบางสูงโปร่งสวมใส่ชุดสีม่วงไล่โทนอ่อนลงไป ชายเป็นสีเข้ม ปักดิ้นลายดอกไม้หลากสีสัน เสริมเน้นให้ผิวของนางดูสว่าง ใบหน้าขาวใสแต่งแต้มสีสันด้วยโทนสีธรรมชาติ ที่เปิดเผยความงามที่เฉียบคมออกมาได้ชัดเจน และเสน่ห์สูงศักดิ์อันเป็นเอกลักษณ์ของจิ่นเลี่ยนลี่ ก็สามารถทำให้วันน่าเบื่อของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสดใสในทันตา “ถวายบังคมเพคะ หวงโฮ่ว” ครั้นมาถึง กุ้ยเฟยก็ย่อตัวคุกเข่าคารวะหวงโฮ่วด้วยท่าทีอ่อนช้อย ทางฝั่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลัวว่าคนงามจะเสื้อผ้าเปื้อนดิน นางไม่สนใจว่าตนเองดำรงยศสูงกว่า แต่กลับตรงเข้าไปพยุงกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง “อย่าพูดจาห่างเหินกับเปิ่นกงไปเลย กุ้ยเฟย มานี่ มานั่งข้างเปิ่นกงสิ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจูงมือนุ่มนิ่มของกุ้ยเฟยให้มาหย่อนตัวลงนั่งข้างตัวเอง ด้วยฐานะตำแหน่งของนางจึงไม่แปลกที่จะได้ใกล้ชิดหวงโฮ่ว แต่หากมองด้วยฐานะสตรีที่มีสามีคนเดียวกัน หลายคนย่อมคิดว่าแปลก หวงโฮ่วกับกุ้ยเฟยควรจะเป็นเหมือนศัตรูตัวฉกาจต่อกัน แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกับจิ่นเลี่ยนลี่เปรียบเสมือนสหายที่มีนิสัยใจคอเหมือนกันเสียมากกว่า แต่เดิมจิ่นเลี่ยนลี่เป็นสตรีซึ่งช้ำรักจากบุรุษ ชายที่นางมีใจและเป็นคู่หมายบอกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับสตรีธรรมดา ที่มีใบหน้าหวานสวย ดูเป็นสตรีบอบบางน่าทะนุถนอม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านั้นตรงข้ามกับจิ่นเลี่ยนลี่โดยสิ้นเชิง ข่าวคราวว่าคุณหนูจิ่นถูกทิ้งแม้จะเป็นโฉมสะคราญล่มเมือง กลายเป็นเรื่องตลกขบขันวงกว้าง จิ่นเลี่ยนลี่ผิดหวังกับความรักจนประกาศว่าจะไม่แต่งงาน นางเกลียดบุรุษ เกลียดคำหวานลวงหลอก ต่อไปในอนาคตนางจะสนใจแต่ความสุขของตนเอง แม้ใครจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ตาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ยินเข้าก็มิอาจอยู่เฉย ด้วยความงามล้ำของจิ่นเลี่ยนลี่ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ลั่นคำปฏิญาณที่จะพาสตรีผู้นี้มาอยู่ในวังหลังให้จงได้ นางจึงเข้าไปทาบทามตระกูลจิ่น และสนทนากับจิ่นเลี่ยนลี่เป็นการส่วนตัว พร้อมทั้งยื่นอำนาจที่ไม่มีวันสิ้นสุดให้แก่จิ่นเลี่ยนลี่ ตำแหน่งกุ้ยเฟยอันสูงศักดิ์ มีเงินทอง อำนาจ คนปรนนิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิ่นเลี่ยนลี่ปรารถนา ล้วนจะถูกนำมาประเคนตรงหน้าถ้านางยอมรับตำแหน่งกุ้ยเฟย และนางไม่จำเป็นต้องรัก หรือพบเจอกับคำลวงของบุรุษคนไหนให้ช้ำใจอีก จะไม่มีใครมองว่านางเป็นตัวตลกอีกต่อไป จิ่นเลี่ยนลี่จึงรับตำแหน่งกุ้ยเฟย และหักหน้าทุก ๆ คนที่เคยเหยียดหยามนาง แม้จิ่นเลี่ยนลี่จะไม่รู้จุดประสงค์อันแท้จริงของเสวี่ยหวงโฮ่ว แต่นางก็พร้อมจะสนับสนุนอีกฝ่ายทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อเป็นการตอบแทนชีวิตใหม่ที่เสวี่ยหวงโฮ่วมอบให้ “ตามแต่ที่พี่หญิงปรารถนาเลยเพคะ” กุ้ยเฟยเอ่ยตอบเสียงหวาน ดวงตาของนางหรี่ลงโค้งเป็นดวงจันทร์เสี้ยวพร้อมกับรอยยิ้ม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ได้ตอบอะไร ขณะเห็นสตรีในชุดสีชมพูอ่อนหวานท่าทางงดงามหยดย้อยเดินนวยนาดเข้ามาทางประตูหลัก นางเป็นสตรีที่มีผิวขาวอมชมพูกระจ่างใส ผมตรงดำยาวราวกับนกกาน้ำ ดวงตากลมโตแวววาวสดใส รับกับจมูกน้อยและริมฝีปากบางเล็กจิ้มลิ้มสีชมพู นางคือเต๋อเฟย นามเดิมคือหลี่ลี่จ้ง เป็นญาติห่าง ๆ ของไท่โฮ่ว ผู้ซึ่งไท่โฮ่วเป็นคนพานางเข้ามาในวังเอง แต่เดิมสตรีผู้นี้คือคนที่ไท่โฮ่วหวังว่าจะให้มาเป็นหวงโฮ่วแทนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ทว่าลี่กุนจวิ้นเฉินกลับยืนกรานเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งหวงโฮ่วจะไม่ยกให้ใครนอกจากพระอัครชายาท เท่านั้น ว่าด้วยนิสัยของหลี่เต๋อเฟย นางคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคำว่าสตรีร้ายกาจ มารยาร้อยเล่มเกวียน นางเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนหวานนุ่มนวล มากพร้อมด้วยกิริยามารยาทในแบบกุลสตรีทุกประการ แม้แต่รูปร่างใบหน้ายังตอกย้ำว่านางเป็นสตรีที่น่าทะนุถนอมมากเพียงใด รังแกเพียงเล็กน้อย นางก็พร้อมที่จะหลั่งน้ำตา ส่วนปากกลับกล่าวให้อภัยราวกับแม่พระ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเกลียดสตรีเช่นนางเข้ากระดูกดำ เพราะมันทำให้นางนึกถึงน้องสาวของตนเองในบ้านเกิด ผู้ที่แสร้งทำตัวอ่อนแอเพื่อเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นสาเหตุหลักทำให้นางต้องจากบ้านมาอยู่ในดินแดนที่ห่างไกล ยิ่งหลี่เต๋อเฟยนอบน้อมมากเพียงใด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ยิ่งอยากบีบอีกฝ่ายให้แหลกคามือมากเท่านั้น บางครั้งสตรีก็สามารถเกลียดกันได้อย่างไร้เหตุผล “ถวายบังคมเพคะ หวงโฮ่ว” เต๋อเฟยเดินมาค้อมตัวทำความเคารพให้กับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ด้วยดวงหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง แต่การมาของเต๋อเฟยกลับได้การต้อนรับจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นต่างจากกุ้ยเฟยอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนางทำเพียงแค่ชายสายตา แล้วพยักหน้ารับเล็กน้อย จากนั้นก็ทำเมินไม่สนใจ หันไปถามสารทุกข์สุกดิบกับกุ้ยเฟยต่อ กับคนที่เกลียด แทนที่จะหาเรื่องอีกฝ่ายให้เปลืองแรง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคิดว่าทำเหมือนคนผู้นั้นเป็นอากาศธาตุเสียยังจะดีกว่า “กุ้ยเฟย เปิ่นกงอยากเห็นบรรดาเหล่าพี่น้องเราแต่งตัวประชันโฉมกัน เจ้าคิดว่าดีหรือไม่” “หากทำเช่นนั้น พี่หญิงโยนกระบี่ไปให้พวกนางแย่งมาแทงกันเลยไม่ดีกว่าหรือเพคะ” “หึ ๆ กุ้ยเฟย เจ้าก็กล่าวเกินไป เปิ่นกงแค่อยากให้พวกนางได้เผยโฉมด้านที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาก็เท่านั้น ติดตรงที่ว่า จะมอบรางวัลอะไรให้พวกนางดี” “เพียงแค่ชนะ ได้ขึ้นชื่อว่างามที่สุดในวังหลัง ก็นับว่าเป็นรางวัลที่สูงส่งสำหรับพวกนางแล้วเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มกริ่ม “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” “เพคะ” “แต่เปิ่นกงต้องมอบของกำนัลให้กับค่าเหนื่อยในคราวนี้เสียหน่อย เจ้าว่าชุดเครื่องประดับอัญมณีแดงจากเกาะโจรสลัดเป็นอย่างไร” “หวงโฮ่ว เครื่องประดับชุดนั้นมีเพียงชุดเดียว แล้วยังไม่อาจประเมินค่าได้นะเพคะ” กุ้ยเฟยเบิกตากว้าง ต่อให้เป็นผ้ามุกล้ำค่าร้อยผืนก็มิอาจเทียบกับเครื่องประดับชุดนั้นได้ “ของรางวัลล้ำค่าเช่นนี้ ถึงจะสมกับความพยายาม มิใช่หรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นดวงตาเป็นประกาย ขณะที่บรรดาสนมเอกทยอยเข้ามาถวายความเคารพ แต่ละคนล้วนแต่งตัวงดงามแตกต่างกันไป ไม่มีใครเหนือกว่าใคร นับเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากนัก ไม่ว่าใครก็คิดว่าตนดีเลิศ เช่นนั้นสิ! ถึงจะนับว่าสนุก จังหวะเดียวกันดนตรีเริ่มบรรเลง พร้อมกับอาหารเลิศรสถูกลำเลียงออกมาวาง ทันใดนั้นแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็เข้ามาในงาน ด้วยร่างสูง อกผายไหล่ผึ่ง ดูโอ่อ่าไปด้วยรังสีของอำนาจมังกรในชุดสีทองสว่าง ดึงดูดสายตาของทุกคนในลานดอกไม้หลากสีสันให้ต้องหันไปมอง ครั้นเห็นชัดว่าใครคือผู้มาใหม่ ทุกคนจึงก้มตัวลงถวายความเคารพในทันที “ถวายบังคม ฝ่าบาท” “ทำตัวตามสบายกันเถิด” ลี่กุนจวิ้นเฉินประดับรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า ระหว่างเดินตรงไปหาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยย่างก้าวที่หนักแน่น เมื่อมาถึงประชิดตัว มือหนาของชายหนุ่มก็เชยปลายคางมนขึ้นมา พร้อมกับระบายรอยยิ้มร้ายไปให้ “หวงโฮ่วยอดรักจัดงานเลี้ยงทั้งที แต่เหมือนจะลืมส่งเทียบเชิญไปให้เจิ้นนะ”
已经是最新一章了
加载中