ตอนที่7 บทที่ 7 ความเหงาเป็นเหตุ   1/    
已经是第一章了
ตอนที่7 บทที่ 7 ความเหงาเป็นเหตุ
บทที่ 7 ความเหงาเป็นเหตุ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มค้าง สายตามองตามการเคลื่อนไหวของหวงตี้หนุ่มซึ่งเดินมานั่งลงข้างกาย การมาของลี่กุนจวิ้นเฉินนับว่าแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เดิมชายหนุ่มมักจะอยู่ในที่ของตัวเองเสมอ ถ้าไม่มีคำเชิญให้มาวังหลัง โดยเฉพาะยิ่งกับพวกงานเลี้ยง น้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าร่วม ความกังวลของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ใช่แค่เพราะเรื่องการปรากฏตัวของลี่กุนจวิ้นเฉิน นางกลัวว่าเขาจะมาขัดขวางแผนการของนางเสียมากกว่า ดูได้จากคำขอครั้งก่อนที่เขาปฏิเสธ “ฝ่าบาทอย่าได้น้อยพระทัยไปเลยเพคะ หม่อมฉันแค่เกรงว่าจะทรงยุ่งอยู่กับงานบริหารบ้านเมือง จึงมิกล้าเข้าไปรบกวน” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มโปรยเสน่ห์ ขณะเอ่ยตอบเสียงใส ลี่กุนจวิ้นเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับจะถามว่า ‘เจ้าเคยมิกล้าด้วยหรือ’ “สำหรับหวงโฮ่ว ไม่มีคำว่าไม่ว่างสำหรับเจิ้น” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มจนตาหยี ในใจอยากจะเถียงบุรุษตรงหน้าใจจะขาด แต่สิ่งที่นางทำได้มีเพียงแค่ยิ้มแล้วกล้ำกลืนคำพูดกลับลงท้องไป จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชามาให้อีกฝ่ายจิบดับกระหาย แสร้งสวมหน้ากากเป็นภรรยาที่ดีแทน “ฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น หม่อมฉันก็ดีใจ” “ว่าแต่เจ้าจัดงานเลี้ยงวันนี้ด้วยจุดประสงค์ใดกัน” เมื่อหวงตี้ถามถึง เหล่านางสนมที่พากันชมนกชมไม้รอเวลาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ต่างก็พากันหันกลับมาสนใจนางอีกครั้ง เพราะทุกคนต่างได้เทียบเชิญให้มางานเลี้ยง แต่ไม่รู้ว่าเนื่องในโอกาสอะไร และคนอย่างหวงโฮ่วย่อมไม่มีทางจัดงานเลี้ยงขึ้นเล่น ๆ เป็นแน่ “อาหารจานหลักยังมิทันยกออกมา ฝ่าบาทก็อยากจะทานของหวานแล้วหรือเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังคงยิ้ม แม้แววตาของนางจะเริ่มปรากฏร่องรอยความไม่พอใจ “เจ้าจะบอกเจิ้นสักหน่อยมิได้เลยหรือ” ดวงตาสีดำคมกล้าแฝงแววขี้เล่นยามพูดจาหยอกล้อเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “ท่านนี่นะ” นางหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนจะตัดสินใจเผชิญหน้ากับทุกคน ว่าด้วยนางสนมในที่แห่งนี้ ทุกคนต่างเรียกได้ว่างดงามเหมือนกันหมด และนั่นคือปัญหาหลัก เนื่องจากทุกคนสวยเหมือนกัน จึงแทบหาความโดดเด่นไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่นางสนมทุกนางที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเลือกเข้ามาในวัง ล้วนแล้วแต่มีความงามโดดเด่นในแบบของตนเอง ทว่าด้วยเรื่องของสังคมนิยม พวกนางต่างพากันแต่งตัว แต่งหน้าเลียนแบบกันจนคล้ายหลุดมาจากพิมพ์เดียว มองแล้วก็เหมือนทุ่งดอกไม้ป่าหายาก สวยงามแต่ไม่น่าสนใจ แทนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะได้ชื่นชมดอกไม้แต่ละดอกด้วยความสุขใจ นางกลับต้องเห็นอะไรเดิม ๆ จนเริ่มเบื่อหน่าย ถึงเวลาที่ต้องแก้ไข... วังหลังคือสถานที่ของหวงโฮ่ว และหวงโฮ่วคือกฎ “หม่อมฉันเห็นว่าพักหลังมานี้ เหล่าน้องสาวของหม่อมฉันดูจะเหงาและเปล่าเปลี่ยว อยู่เฉย ๆ ในวังหลังไม่ได้พบปะสังสรรค์กัน อีกไม่นานคงได้เฉาตายกันไปหมด จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นมาให้ทุกคนได้พูดคุยกระชับมิตรกัน แล้วก็...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลากเสียงยาว พร้อมแย้มยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็พากันหวั่นใจ “แล้วก็?” ลี่กุนจวิ้นเฉินทวนถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง เขากล้าสาบานต่อป้ายชื่อบรรพบุรุษเลยว่า เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ได้มีแผนแค่ชวนทุกคนมาสังสรรค์พบหน้ากันแน่นอน “หม่อมฉันเห็นน้องสาวทุกคนของหม่อมฉันล้วนงดงามคล้ายกันหมด แต่ไม่เห็นผู้ใดที่งดงามโดดเด่นต้องตามาสักพักแล้ว จึงอยากจะให้ทุกคนมาประกวดความงามกันด้วยการแต่งตัวที่บ่งบอกความเป็นตัวเอง ผู้ใดที่หม่อมฉันเห็นว่าแตกต่างมากที่สุด หม่อมฉันจะทูลขอฝ่าบาทให้มอบตำแหน่งซูเฟยให้เพคะ” หลังเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวจบ ทุกสายตาก็เงยขึ้นมองนางอย่างไม่ปิดบัง เสียเสียนเฟยไปไม่ทันถึงเดือน หวงโฮ่วคนงามก็คิดจะหาคนใหม่มาแทนที่ แล้วยังเป็นตำแหน่งที่สูงกว่า ข้ามหน้าข้ามตาเต๋อเฟยไปอย่างไม่เหลียวแล ด้วยการให้ทุกคนมาแข่งเรื่องรูปโฉมกัน พูดถึงหน้าตา เหล่านางสนมแต่ละคนต่างพากันเชิดหน้าขึ้น พยายามอวดโฉมกันแบบลับ ๆ โดยยังไม่รู้ว่าเรื่องไม่จบเพียงเท่านี้ “และนอกจากเรื่องรูปโฉมแล้ว เปิ่นกงอยากจะให้พวกเจ้ารังสรรค์สิ่งที่ตนเองถนัดขึ้นมา จะเป็นภาพวาด กลอน งานเขียนหรือสิ่งของใด ๆ ก็ได้” “ช้าก่อนหวงโฮ่วยอดรัก หากให้แข่งขันกันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งซูเฟย เช่นนั้นแล้วกุ้ยเฟยก็ไม่ได้เข้าร่วมน่ะสิ” หวงตี้หยิบกุ้ยเฟยขึ้นมาพูด โดยผู้ที่ถูกกล่าวถึงกำลังนั่งเงียบสงบเสงี่ยมไม่มีท่าทีตื่นตกใจใด ๆ “กุ้ยเฟยจะเป็นกรรมการกับหม่อมฉันเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบไปแบบไม่ต้องคิด “ได้อย่างไรกัน จะแต่งตั้งผู้หญิงของเจิ้น เช่นนั้นเจิ้นก็ต้องได้ร่วมตัดสินด้วยสิ” ตาซ้ายของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเริ่มกระตุก แต่ยังคงรักษาสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ได้อยู่ ส่วนสองมือซึ่งกุมอยู่ที่หน้าตักเริ่มกำแน่นเข้าหากันเบา ๆ ครั้นหันไปทางกุ้ยเฟยซึ่งเดิมทีเคยนั่งฟังอย่างสงบ พอได้ยินว่าหวงตี้จะร่วมในแผนการด้วย นางก็หน้าถอดสีฉับพลัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่านางกลายเป็นคนกลาง หากเข้าข้างหวงโฮ่วมากเกินไป ฝ่าบาทอาจจะไม่พอใจ แต่หากเข้าข้างฝ่าบาทมากเกินไป แน่นอนว่าหวงโฮ่วจะต้องโกรธที่นางหักหลังเป็นแน่ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเองก็เข้าใจเรื่องดังกล่าวดี เห็นได้ชัดว่าลี่กุนจวิ้นเฉินกำลังกลั่นแกล้งนาง โทษฐานที่นางไปกลั่นแกล้งนางสนมคนอื่น ด้วยการทำให้ตุ๊กตาตัวโปรดของนางตกอยู่ในที่นั่งลำบาก “หม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะว่างถึงเพียงนั้นนะเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกัดฟันตอบ “ว่างสิ ช่วงนี้เจิ้นว่างมากเสียด้วย หรือเจิ้นทำให้หวงโฮ่วไม่สะดวกใจเช่นนั้นหรือ” ลี่กุนจวิ้นเฉินถามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับด้วยใบหน้านิ่งเฉย คำพูดของเขานั้นดูน่าสงสาร หากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบว่าไม่สะดวกออกไป นางคงกลายเป็นนางจิ้งจอกร้ายในสายตาทุกคนเป็นแน่ “ฝ่าบาทก็กล่าวเกินไป หม่อมฉันย่อมต้องเต็มใจอยู่แล้วสิเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบด้วยเสียงหวานหยดย้อย เห็นได้ชัดว่านางจำใจตอบออกมา หากลี่กุนจวิ้นเฉินอยากจะเข้าร่วมสงครามนี้มากนัก ก็ย่อมได้ แล้วมาดูว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายหมดความอดทนไปก่อนกัน “ท่านต้องการอะไร” ร่างบางในชุดสีแดงซีดหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับลี่กุนจวิ้นเฉิน หลังจากที่ทั้งคู่ได้อยู่กันสองต่อสองอย่างเป็นส่วนตัว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงเปิดประเด็นถามกับหวงตี้ตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ยามที่เลือดขึ้นหน้า ยศ ตำแหน่ง ย่อมไม่มีความหมาย “ตอนนี้เจ้าเริ่มสนใจข้าแล้วอย่างนั้นสิ” ลี่กุนจวิ้นเฉินเดินตามหลังมาเงียบ ๆ เขาเอ่ยตั้งคำถามแทนที่จะกล่าวตอบ ใบหน้าหล่อเหลาราบเรียบเหมือนคนที่เตรียมพร้อมมารับมือสำหรับเหตุการณ์โต้เถียง การยื่นมือเข้าไปยุ่งกับของเล่นของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ไม่ต่างอะไรจากการไปกระตุกหนวดเสือเลยสักนิด แต่เมื่อลี่กุนจวิ้นเฉินขึ้นหลังเสือสาวนางนี้ไปแล้ว เขาย่อมไม่คิดลงง่าย ๆ “อ้อ ที่ท่านจะบอกก็คือท่านขาดความรัก จึงวิ่งเต้นมาวังหลังเพื่อหาความรักเช่นนั้นสิ” เสียงหวานใช้โทนสูง ความโกรธขึ้นหน้า ทำให้พลั้งปากพูดถ้อยคำไม่สมควร “ฮุ่ยหมิ่น” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยปรามเสียงเข้ม หากเป็นคนอื่นกล่าวต่อว่าหวงตี้เช่นนั้น คงถูกประหารไปแล้ว แต่นี่คือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น สตรีผู้ที่หวงตี้อย่างเขา พร้อมที่จะมองข้ามทุกความผิด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นชะงักไปชั่วขณะ เสียงทุ้มเตือนจากลี่กุนจวิ้นเฉินเหมือนเป็นน้ำเย็นซึ่งสาดซัดใส่ ช่วยให้สติของนางกลับคืน เพราะหากย้อนกลับมามองแล้ว นางไม่ต่างอะไรจากสตรีทั่วไปที่มีนิสัยงี่เง่า และความงี่เง่าของสตรีคือนิสัยที่นางเกลียดมากที่สุด หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ ขณะสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนให้ดับมอดลง ไม่นานนัก นางก็สามารถกลับมาเผชิญหน้ากับหวงตี้ด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น “ฝ่าบาท หากทรงเข้ามาร่วมงานครั้งนี้ด้วย มันจะไม่เป็นการรบกวนงานราชการหรือเพคะ” พอปรับอารมณ์ได้ นางก็ใช้เสียงหวานหยดย้อยคุยกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผล “อย่าทำมาเป็นพูดจาดีกับข้า ทั้ง ๆ ที่เจ้าไม่พอใจ” ลี่กุนจวิ้นเฉินยังคงใช้น้ำเสียงราบเรียบ คล้ายเป็นเขาเองที่ยังคงไม่สบอารมณ์ ตาขวาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเริ่มกระตุก ทั้งที่ยังคงฝืนยิ้มอยู่ “ท่าน ต้อง การ อะไร” นางกัดฟันถามออกมาทีละคำ “ข้าต้องการให้เจ้าเป็นเจ้าเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่ปิดบัง ไม่มีความลับ ไม่ฝืน หากไม่พอใจก็พูดออกมา ไม่ใช่เก็บมันเอาไว้แล้วยิ้มเสแสร้งเช่นนี้” คำพูดของลี่กุนจวิ้นเฉินนุ่มนวลลง ขณะที่เอื้อมมือหนาออกไปลากไล้ตามริมฝีปากบางที่ประดับด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่จำความได้ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็มักยิ้มเช่นนี้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องใดที่ทำร้ายจิตใจนางมาก็ตาม นางมักซ่อนเอาไว้แล้วปฏิบัติกับผู้คนรอบข้างด้วยท่าทีที่น่าคบหาเสมอ แม้นางจะไม่สบายใจเลยสักนิด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มค่อย ๆ จางหาย แต่ใบหน้าดวงน้อยยังคงรับรู้ถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของร่างสูงที่สัมผัสอย่างแผ่วเบา “สตรีไม่สมควรที่จะแสดงความรู้สึกด้านลบออกมา หากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะพูดตรง ๆ กับท่านได้อย่างไร” “สตรี บุรุษแล้วอย่างไร ในเมื่อมนุษย์ก็มีชีวิตเหมือนกันหมด เรื่องขนบประเพณีอะไรพวกนั้น เราเคยพูดกันแล้วไม่ใช่หรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นครุ่นคิด “ในโลกของเราสองคน เราคือกฎสินะ...” นางพึมพำ บางครั้งเราก็เจออะไรแย่ ๆ ในชีวิตมามากเกินไป อย่างอำนาจก็มาพร้อมกับภาระอันแสนหนักอึ้ง สายเลือดบังคับให้เราต้องทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ รอบข้างมองเราแปลกแยกเพราะความแตกต่างทางสังคม ไม่มีใครที่หันหน้าไปปรึกษาแล้วทำตัวเหมือนตนเป็นมนุษย์ปกติได้เลย ลี่กุนจวิ้นเฉินเคยพูดกับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นในยามที่ทั้งคู่ยังเยาว์วัย เขาชวนนางเล่นบางอย่างโดยมีกฎคือการสร้างโลกใบใหม่ โลกที่ไร้กฎเกณฑ์ ที่มีเพียงเขาและนาง หากทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ก็สามารถคุยกันได้ราวกับเพื่อนสหายกันเอง แต่ด้วยความที่โตมาพร้อมหน้ากาก บางครั้งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ลืมเรื่องราวในโลกใบนั้นไป จนหน้ากากที่จำต้องสวมใส่กำลังจะกลายเป็นตัวตนที่แท้จริง “ฮุ่ยหมิ่น เจ้าลำบากใจยามที่อยู่กับข้าหรือ” เสียงของเขาแผ่วเบาราวกระซิบถาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหลุบสายตาลงมองพื้นเพื่อปิดบังอารมณ์สั่นไหว มือคู่บางข้างลำตัวกำแน่น เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกที่แท้จริง นางลำบากใจหรือไม่เวลาที่อยู่กับลี่กุนจวิ้นเฉิน... คำตอบคือไม่ เพียงแต่... นางกลัวเกินไปถ้าต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองให้คนอื่นเห็น ยิ่งคนคนนั้นเป็นคนใกล้ชิด นางก็ยิ่งกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก “ข้าไม่เคยลำบากใจเวลาอยู่กับท่าน แต่เราสองต่างมีหน้าที่ที่ต้องดูแล ท่านต้องดูแลบ้านเมือง ข้าต้องดูแลบ้านให้ท่าน ไม่มีทางเลยที่เราทั้งคู่จะสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นส่ายหน้าไปมา นางไม่อาจปล่อยใจตัวเองได้เด็ดขาด หากเพียงแค่เผลอใจ ปล่อยกายให้ทำตามความต้องการแล้วละก็ เส้นที่ขีดขึ้นมากำหนดทุกอย่างคงจะขาดในไม่ช้า ความสมดุลอาจจะต้องพังทลาย ถ้าวันหนึ่งนางมีใจให้ลี่กุนจวิ้นเฉินจริง ๆ สิ่งที่นางและเขามีอยู่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนไป มีสตรีคนไหนกล้าพูดได้เต็มปากว่าตนเองเต็มใจให้บุรุษที่รักมีสตรีคนอื่นอยู่ข้างกาย หากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยากจะเล่นบทหวงโฮ่วผู้ใจกว้างมีแต่คนเคารพรัก นางจำต้องไม่คิดเริ่มต้นความรู้สึกใด ๆ กับชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอันขาด “เจ้าไม่กล้าปล่อยวาง หรือเจ้ากลัวหัวใจตนเอง” คำพูดของชายหนุ่มทิ่มแทงหัวใจของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ร่างบางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาของนางไหวระริก แต่ไม่นานนัก นัยน์ตาสีดำคู่งามกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยต่อหน้าต่อตา ราวกับมีวิญญาณแปลกหน้าเข้ามาสิงร่างโดยพลัน “จวิ้นเฉิน... ท่านอย่าได้คิดทำลายความสัมพันธ์ของเราเลย ท่านมิรู้บ้างหรือ สตรีนั้นมีความรู้สึกหึงหวงมากเพียงใด หากท่านมาทำให้นางหวั่นไหว วันหนึ่งจะเป็นท่านเองที่นึกเสียใจ เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ที่เกินเลยมากไปกว่าคำว่าสหายสำหรับหวงตี้กับหวงโฮ่วมันมักจะจบลงเช่นไร แรงแค้นมันน่ากลัวเกินกว่าจะเอาเรื่องของเราในตอนนี้ไปเสี่ยงนะ” ลี่กุนจวิ้นเฉินชะงักมือที่แตะประคองใบหน้าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ขณะเดียวกันเขาก็นึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เคยพบเจอในอดีต คำว่ารักระหว่างหญิงชายไม่เคยจบลงด้วยดีเลยสักครา เขาเคยเห็นบิดาทะเลาะกับมารดาเพราะเรื่องนางสนมในยามเด็ก เรื่องราวเหล่านั้นยังเป็นแผลฝังลึกที่ทำให้เขาไม่อาจเปิดใจให้ใครได้โดยง่าย และเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเข้าใจดี เพราะนางเองก็เผชิญโชคชะตาเดียวกันมาก่อน เขาและนาง เห็นความรักเหมือนยาพิษ เป็นเหมือนความรู้สึกต้องห้ามที่มีแต่จะทำร้ายตัวเองในท้ายที่สุด “ท่านกับข้าควรรักษาระยะห่างกันเหมือนเดิม ท่านอย่าได้หลงฟังคำของชงซาน แล้วคิดว่าเรื่องระหว่างเราสองมีโอกาสเป็นไปได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังคงพูดผลักไสลี่กุนจวิ้นเฉินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางเก่งเรื่องสวมหน้ากากปิดบังความรู้สึก ทว่าถึงจะทำเป็นสงบนิ่งมากเพียงใด บุรุษตรงหน้าก็ยังคงมองทะลุปรุโปร่ง “ฮุ่ยหมิ่น ในตอนนี้เจ้าอาจจะบอกข้าว่าความรู้สึกนั้นไม่มีจริงระหว่างเรา แต่ถ้าเราทั้งสองเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ใช่จักรพรรดิหรืออัครมเหสี เจ้าคิดว่าเรื่องของเรายังจะมีทางเป็นไปได้หรือไม่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถอยหลัง ปล่อยให้มือของลี่กุนจวิ้นเฉินค้างอยู่กลางอากาศ โดยที่นางยังไม่ได้ละสายตาไปจากเขา “โธ่... จวิ้นเฉิน อย่าใช้คำว่า ‘ถ้า’ ในเมื่อเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีต ไยท่านและข้าไม่ตื่นขึ้นมาแล้วลืมเลือนฝัน จากนั้นก็ตั้งสติมาเผชิญหน้ากับความจริง อย่าไปจมอยู่ในความฝันที่มีแต่หมอกควันเลย” “ฮุ่ยหมิ่น...” น้ำเสียงของลี่กุนจวิ้นเฉินสั่นเครือ เขาคิดจะก้าวขึ้นไปสัมผัสตัวเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่นางกลับเบี่ยงตัวหลบ “ท่านกลับไปเถิด” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอ่ยไล่ด้วยน้ำเสียงห่างเหิน นางคิดว่า ลี่กุนจวิ้นเฉินเพียงแค่จิตใจอ่อนไหว เขายังหลงอยู่กับสิ่งที่ชงซานพยายามเป่าหู หากวันใดที่เขาตื่นขึ้นมา เมื่อนั้นเขาก็จะตาสว่างเอง ความรักที่รู้สึก มันเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกลวง ไม่มีวันเป็นไปได้เลยที่จะรักใครจากใจจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในวัง
已经是最新一章了
加载中