ตอนที่8 บทที่ 8 ดอกไม้งามอาบยาพิษ
1/
ตอนที่8 บทที่ 8 ดอกไม้งามอาบยาพิษ
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่8 บทที่ 8 ดอกไม้งามอาบยาพิษ
บทที่ 8 ดอกไม้งามอาบยาพิษ โจทย์แรกที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นประกาศออกไปหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา นั่นคือการให้นางสนมเตรียมตัวมางานเลี้ยงถัดไปด้วยชุดที่บ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง เผยโฉมความโดดเด่น ถิ่นที่มา และตัวตน โดยไม่ต้องสนใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่ เพราะบางทีคนที่ชนะอาจจะเป็นคนที่แต่งตัวแบบคนป่าเสียด้วยซ้ำ ระหว่างที่ปล่อยให้แต่ละคนเตรียมตัวกันอยู่ในตำหนักของตนเอง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและกุ้ยเฟยผู้ว่างงานก็นัดกันมาจิบน้ำชาอยู่ในอุทยานหลวง “หวงโฮ่วเพคะ ทรงคิดได้อย่างไรว่าจะให้นางสนมเหล่านั้นมาแต่งตัวประชันกัน หวงโฮ่วเองก็รู้ดีว่านอกจากเต๋อเฟยแล้ว พวกนางล้วนแล้วแต่เป็นคนที่หวงโฮ่วเสนอตัวให้พาเข้าวังมา ซึ่งแต่ละคน... ไม่ธรรมดาเลย” กุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกายเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น นางเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ขึ้นมา ครั้นนึกถึงหน้าเหล่าสนมเอกแล้วก็ต้องหวั่นใจอยู่ลึก ๆ เมื่อต้องเห็นสตรีเหล่านั้นรุมฆ่าแกงกันเพื่อแย่งตำแหน่งใหม่ “ไม่ธรรมดาหรือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจิบชาเนิบช้า ไม่รีบร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น “เพราะพวกนางไม่ธรรมดา ถึงได้มีวันนี้” นางสนมที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเลือกเข้ามาในวังหลวงด้วยตัวเอง แต่ละคนไม่มีใครที่อาจเรียกได้ว่าธรรมดาแม้แต่คนเดียว “ดูอย่างเจ้าสิกุ้ยเฟย งดงามราวกับปีศาจจิ้งจอก ฉลาดหลักแหลมวางแผนได้ลึกล้ำยิ่งกว่าขุนนางชายในราชสำนัก สตรีเช่นเจ้าไม่ว่าบุรุษผู้ใดก็ต้องยำเกรงและหวาดกลัว แต่ในโลกที่บุรุษเป็นใหญ่ เจ้ากลับทำได้แค่เก็บซ่อนความสามารถเอาไว้หลังม่านมุก” “หม่อมฉันเหนื่อยกับการที่จะต้องสู้เพื่อสิทธิ์ของตนเองแล้ว หากอยู่ในวังหลังแล้วได้สู้กับสตรีด้วยกันอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นหม่อมฉันก็ยอมติดอยู่ในกรงทองนี้ต่อไปดีกว่าเพคะ” กุ้ยเฟยกล่าวออกมาจากใจจริง นางหันหลังให้กับความรักและผู้ชาย ถ้าต้องอยู่ในสถานที่กว้างขวางทว่าตนด้อยค่าก็มีแต่จะอึดอัดใจ สู้อยู่ในที่ที่ตนเท่าเทียมกับคนอื่น ต่อให้เป็นกรงคับแคบแต่ก็ยังสบายใจกว่า “เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพวกนาง” พวกนาง... สนมเอกขั้นสองทั้งเก้าตำแหน่ง คนหนึ่งตัดออกเนื่องจากตอนนี้อยู่ในตำหนักเย็น ข้อหาปลุกปั้นเรื่องราวให้หวงโฮ่วเสียหน้า อีกคนยังคงถูกกักบริเวณมิอาจออกมาร่วมกิจกรรมได้ ยามนี้จึงเหลือเพียงเจ็ดคน กับเต๋อเฟย “หวงโฮ่วอยากให้หม่อมฉันพูดถึงเต๋อเฟยด้วยหรือไม่เพคะ” “ไม่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปฏิเสธทันทีที่กุ้ยเฟยเอ่ยถึงเต๋อเฟย สตรีเพียงคนเดียวที่ไท่โฮ่วทรงยัดเยียดมาให้กับหวงตี้ โดยที่หวงโฮ่วไม่เต็มใจ “เช่นนั้น หม่อมฉันจะเริ่มจากเจาหรง... เท่าที่หม่อมฉันรู้คือนางแต่เดิมเป็นเด็กฝึกที่โรงหมอหลวง ฉลาดเกินกว่าแพทย์หลวงคนอื่น แพทย์หลวงชายอาวุโสเห็นว่านางมีความสามารถโดดเด่นเกินไปจึงพยายามกดนางเอาไว้ไม่ให้มีตัวตน หวงโฮ่วทรงทราบจึงพานางเข้าวังมา ใช่หรือไม่เพคะ” “ใช่ แต่ยังไม่จบแค่นั้นนะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ “มีอะไรอีกหรือเพคะ” “นางเป็นคนที่มีบุคลิกสองแบบในร่างเดียวกัน เจาหรงปกติที่เจ้าเห็นทุกคืนวันคือสตรีที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นทุกเมื่อ แต่หากมีใครไปกระตุ้นให้นางเกิดความตึงเครียดหนัก ๆ เข้า ตัวตนอีกร่างก็จะเผยออกมา เป็นสตรีที่มีจิตใจด้านชา เยือกเย็นไม่สนใจใครเหมือนน้ำแข็ง และที่สำคัญคือนางร้ายกาจพอที่จะปรุงยาพิษนานาชนิดเพื่อฆ่าคนที่หาเรื่องนาง” “เจาหรงไม่ใช่สตรีเพียงคนเดียวที่มีสัญชาตญาณในการฆ่าใช่ไหมเพคะ” กุ้ยเฟยหรี่ตาลง พร้อมจับผิดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น คู่สนทนายิ้มขำ ๆ “เจ้าเองยังเคยถูกกล่าวหาว่าบุกเข้าบ้านอดีตคู่หมั้นแล้วเข้าไปทำร้ายเขาอยู่มิใช่หรือ” “เฮอะ! บุรุษผู้นั้นสมควรแล้วเพคะ” กุ้ยเฟยเค้นเสียงหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงหน้าอดีตคู่หมั้น ผู้ที่ทิ้งนางไปหาสตรีคนอื่นที่ตรงข้ามกับตนเองทุกประการ แล้วเขายังจะมีหน้ามาปล่อยข่าวโคมลอยว่านางเป็นแค่ของเล่น ที่เขาอยากจะทิ้งเมื่อไรก็ได้ นางจึงกลายเป็นตัวตลก ด้วยความโกรธจนหน้ามืด ครั้นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมาเชิญนางไปเป็นกุ้ยเฟย นางจึงใช้โอกาสที่ตนเองจะจากไปบุกเข้าบ้านของชายผู้นั้น แล้วกระทืบเขาจนสาแก่ใจ “เจ้าเองก็รู้ ว่าสตรีใดที่ไม่แข็งแกร่ง ย่อมไม่อาจทนอยู่ในวังหลังได้ และยิ่งกับตำแหน่งสนมเอก ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ หากไม่พิเศษจริงคงไม่อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้” “ส่วนเจาเยวี่ยน หวงโฮ่วคิดว่านางโดดเด่นด้านใดหรือเพคะ” “เจาเยวี่ยน...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเคาะปลอกเล็บทองเล่นกับโต๊ะขณะคิด “หัวสมองหลักแหลมเรื่องการค้า สุขุม งดงาม ร้ายกาจพอที่จะเป็นคู่ปรับกับเจ้าได้เลย หากเพียงแค่นางได้ดำรงตำแหน่งซูเฟย ตำแหน่งกุ้ยเฟยของเจ้าอาจถึงคราวที่ต้องสั่นคลอน” กุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะร่าออกมา “นางเกรงกลัวหม่อมฉันเพียงแค่เพราะตำแหน่งหรือเพคะ หวงโฮ่วพูดเป็นเล่นไป ต่อให้นางมีตำแหน่งสูงใหญ่มาจากไหน แต่ถ้ายังไม่กล้าเล่น หม่อมฉันเกรงว่านางก็ไม่ต่างอะไรจากแมวซ่อนเล็บเลยเพคะ คนเช่นนั้นยังขาดความกล้า ถ้านางกล้าสั่นคลอนตำแหน่งหม่อมฉันจริง ต่อให้เป็นสนมเอก ก็ย่อมทำได้” ความกล้าของคนไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่งหรืออำนาจ เรื่องดังกล่าวเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้ดียิ่งกว่าใคร นางรู้ดีเลยว่าต่อให้กุ้ยเฟยเป็นเพียงแค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ ทว่าด้วยความฉลาดเฉลียว นางต้องสามารถเล่นงานคนใหญ่คนโตให้ล้มทับอำนาจตัวเองได้สบาย ๆ โดยที่ไม่ต้องรอพึ่งปัจจัยอื่นใดรอบกาย เพียงแค่มีใจและสมองก็แค่นั้น “แล้วซิ่วอี๋เล่า นางเป็นญาติเจ้ามิใช่หรือ” เมื่อพูดถึงซิวอี๋ กุ้ยเฟยก็ขนลุกซู่ ให้สู้กับคนฉลาดนางยอมสู้ แต่ให้สู้กับคนจิตไม่ปกติ นางยอมถอย “ซิ่วอี๋... หม่อมฉันขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่าเพคะ” “หึ ๆ นางก็แค่เป็นพวกสตรีสองหน้า ที่มีจิตใจรุนแรงกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้นเอง” “หวงโฮ่วอย่าได้ไปขัดใจนางเชียว ตอนเด็กนางเคยเผาผมกับห้องนอนหม่อมฉันมาแล้วนะเพคะ” “จิตไม่ปกติ สตรีเช่นนี้ก็ถือเป็นสีสันในวังหลังอย่างหนึ่ง” กุ้ยเฟยถอนหายใจ “หม่อมฉันถือว่าเตือนหวงโฮ่วแล้วนะเพคะ” ซิ่วอี๋เป็นลูกพี่ลูกน้องของกุ้ยเฟย เป็นสตรีที่มีจิตไม่ปกติ ยามนางกล้าบ้าบิ่นอารมณ์จะพุ่งทะยานรุนแรงอย่างน่ากลัว ชอบเล่นกับไฟ เคยเผาผมกุ้ยเฟยสมัยที่ยังเป็นเด็ก เผาห้องนอนและตุ๊กตาอีกฝ่าย จนกุ้ยเฟยหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้หญิงสาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องแม้แต่น้อย หากบอกว่าเต๋อเฟยคือจุดอ่อนของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแล้วละก็ ซิวอี๋ก็คือจุดอ่อนของกุ้ยเฟยดี ๆ นี่เอง “นี่ยามใดแล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหันไปถามหยาเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างกาย “ใกล้จะยามอิ๋นแล้วเพคะ หวงโฮ่ว” ยามอิ๋น! เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทันใด เท่าที่จำได้คือนางได้รับจดหมายจากไท่โฮ่ว เรียกให้ไปพบเป็นการส่วนตัวในยามอิ๋น ไม่คิดเลยว่าตนจะเผลอคุยกับกุ้ยเฟยจนเวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ หากคำนวณเวลากลับตำหนักไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วละก็ พนันได้เลยว่านางต้องไปพบไท่โฮ่วสายเป็นแน่ เพียงแค่นี้ไท่โฮ่วก็ไม่ชอบขี้หน้านางมากพอแล้วแท้ ๆ “กุ้ยเฟย เปิ่นกงนึกได้ว่ามีธุระที่ต้องรีบไปจัดการ ไว้วันหลังจะมาคุยเล่นกับเจ้าอีกก็แล้วกัน” “ได้เลยเพคะหวงโฮ่ว” กุ้ยเฟยกล่าวลาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนคนฟังกลับแทบไม่ใส่ใจ นางรีบตรงกลับไปยังตำหนักฮุ่ยหมิ่นของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเรียบร้อย ก่อนจะขึ้นเกี้ยวไปยังตำหนักของไท่โฮ่ว ซึ่งไม่ว่าจะมีเรื่องใดก็ตาม เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะต้องทนฝืนรับมันให้ได้ ในเมื่อนางทนมาได้ตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว แค่วันเดียวคงไม่ทำให้ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของนาง ตำหนักของไท่โฮ่วนั้นเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ และอบอวลไปด้วยความเป็นธรรมชาติไร้ซึ่งการปรุงแต่ง สถานที่แห่งนี้ในความทรงจำของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหาใช่เป็นอย่างในปัจจุบัน แต่เดิมแล้ว อดีตหวงโฮ่วผู้เป็นมารดาของลี่กุนจวิ้นเฉิน เป็นสตรีผู้ชื่นชอบนิยมวัตถุภายนอกยิ่งกว่าสิ่งใด มองเผิน ๆ อาจจะดูเป็นสตรีที่หลงใหลในรูปโฉมจนน่ากลัว แต่นางกลับเป็นสตรีที่น่ายำเกรงคนหนึ่งแห่งวังหลัง ไท่โฮ่วไม่เคยยอมให้สนมนางไหนเล่นงานตนเองได้แม้แต่ปลายเส้นผม แม้ไท่ช่างหวัง จะหลงใหลผู้ใดมากแค่ไหน มากมายเพียงใด ก็ไม่มีใครทำให้ตำแหน่งหวงโฮ่วของนางสั่นคลอนได้ ตำหนักแห่งนี้จึงเคยเฟื่องฟู อวดโฉมเรืองอำนาจ ข่มขวัญให้ผู้คนยำเกรง อย่างไรก็ดีตั้งแต่ที่ไท่ช่างหวังจากไป ไท่โฮ่วก็ส่งอดีตนางสนมทุกคนไปบวชชีอยู่ที่วัดบนภูเขาสูง ห่างไกลจากวังหลวง ส่วนตนเองเข้าสู่ทางธรรม จำศีลมิสนใจเรื่องราวบ้านเมืองภายนอกอีก นาน ๆ ครั้งจึงจะเรียกเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเข้าพบ ทุกครั้งที่มาพบไท่โฮ่ว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมักจะต้องเข้ามาเพียงคนเดียว ทว่าหนนี้กลับต่างออกไป หลังจากเกี้ยวของนางจอดลงที่หน้าประตูใหญ่ นางจึงได้เห็นเกี้ยวประจำตำแหน่งของสตรีอีกคนจอดแน่นิ่งอยู่ก่อนแล้ว “เต๋อเฟย...” เสียงนุ่มพึมพำชื่อของเจ้าของเกี้ยวออกมา ขณะที่นัยน์ตาหงส์สีดำจ้องไปยังเกี้ยวไม้ด้วยท่าทางเฉยเมย ปลอกเล็บสีทองขูดเล่นไปมาอยู่กับผิวฝ่ามือขาวบางของตนเอง ความกังวลผุดขึ้นมาในใจ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเริ่มลังเลที่จะก้าวขาเข้าไปในตำหนักของไท่โฮ่ว ทันใดนั้น นางกำนัลอาวุโสเห็นว่าหวงโฮ่วมาเยือน จึงรีบวิ่งเข้ามายอบตัวทำความเคารพให้ในทันที “ถวายบังคมหวงโฮ่วเพคะ ไท่โฮ่วทรงรอหวงโฮ่วอยู่ข้างในมาสักพักแล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นชายตามองนางกำนัลผู้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก นางแอบนึกสงสัยว่ากับเต๋อเฟย อีกฝ่ายจะมีทีท่าเย็นชาเช่นนี้หรือไม่ “นั่นสินะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังนางกำนัลผู้นั้นไป โดยที่ข้ารับใช้ของนางที่เหลือต่างพากันรออยู่ที่หน้าประตูของตำหนัก “เจ้ามาช้านะ” ไม่ทันที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะได้ถวายความเคารพไท่โฮ่ว หญิงสูงวัยก็เอ่ยตำหนิเสียงดังออกมาโดยที่ไม่คิดไว้หน้านาง ผู้คนรอบข้างต่างมองมาที่ร่างระหงในชุดสีขาวด้วยสายตาจับผิดและกังขา ในตำหนักแห่งนี้ไม่มีใครมองว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งหวงโฮ่วแม้แต่คนเดียว ในสายตาพวกเขา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่ต่างอะไรจากเชลย ที่แคว้นอื่นส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ “ถวายบังคมเพคะไท่โฮ่ว ขอให้ไท่โฮ่วทรงมีพระวรกายแข็งแรง อายุขัยยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับหวงตี้ตลอดไปเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตีสีหน้าประดับรอยยิ้มงดงามเผชิญหน้ากับไท่โฮ่ว นางน้อมกายคำนับอีกฝ่าย และก้มอยู่เช่นนั้นชั่วครู่กระทั่งไท่โฮ่วพอใจ จึงค่อยสั่งให้นางลุกขึ้น “ลุกขึ้นมาได้แล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นลุกขึ้นยืน แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม หากไท่โฮ่วไม่สั่งให้นางเดิน นางก็ไม่มีสิทธิ์ หญิงสาวยืนอยู่กลางห้อง ในขณะเดียวกันเต๋อเฟยที่มาถึงก่อนหน้านั้น ยามนี้กำลังนั่งข้างไท่โฮ่ว และนวดไหล่ให้กับหญิงวัยกลางคนด้วยท่าทีสนิทสนม “ไท่โฮ่ว แม้จะทรงถือศีล บำเพ็ญตนมากเพียงใด แต่ก็อย่าหักโหมตนเองมากเกินไปนะเพคะ” เต๋อเฟยกล่าวกับไท่โฮ่วด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางทำเหมือนเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่มีตัวตน ไม่มีการกล่าวคำทักทายหรือคำนับให้ ราวกับเสวี่ยหวงโฮ่วเป็นเพียงอากาศธาตุ “อืม... มีเจ้าคอยดูแลอยู่เช่นนี้ ไอเจีย ยังจะต้องไปกังวลเรื่องใดอีก” คนสองคนหัวเราะคิกคักชื่นบานอยู่ด้วยกันพักใหญ่ เต๋อเฟยก็แสดงท่าทีเหมือนเพิ่งสังเกตการณ์มีอยู่ของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “อ้าว! หวงโฮ่ว เหตุใดยังทรงไม่มานั่งตรงนี้ล่ะ ยืนอยู่เช่นนั้นไม่เมื่อยขาหรือเพคะ” เสียงหวานแหลมเสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยจากเต๋อเฟย ทำให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหนังตากระตุก เพลิงไฟเล็ก ๆ ในใจกำลังโหมลุกไหม้ขึ้นมาทีละน้อย แต่ใบหน้าของนางยังคงเย็นเยียบปราศจากอารมณ์โกรธแค้น มีแค่รอยยิ้มหวานงดงามราวกับนางเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ไร้ซึ่งอารมณ์อื่น “หากไท่โฮ่วยังมิสั่งสิ่งใด เปิ่นกงก็ไม่อาจทำสิ่งนั้นโดยพลการได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบอีกฝ่ายเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นเองหรือ” เต๋อเฟยเผยสีหน้าแปลกใจ ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่เห็นต้องเคร่งครัดดังคำพูดของนางเลย “เจ้ามานั่งได้แล้ว” ไท่โฮ่วเงียบดูการโต้ตอบระหว่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและเต๋อเฟยมาสักพักหนึ่งแล้ว จึงกล่าวขึ้นมา “เพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคำนับ ก่อนจะตรงไปนั่งยังที่นั่งประจำตนเอง แม้ตำแหน่งของเก้าอี้จะต้อยต่ำกว่าเต๋อเฟย ทว่านางก็มิปริปากบ่น เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นชินชากับการกระทำของไท่โฮ่วที่มีต่อตนเองมาเนิ่นนานแล้ว ไท่โฮ่วไม่เคยอยากให้นางแต่งงานกับ ลี่กุนจวิ้นเฉิน แต่ไท่ช่างหวังกลับมีประสงค์และยังออกราชโองการเพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่ง เรื่องการหมั้นหมายและแต่งงานระหว่างเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกับลี่กุนจวิ้นเฉิน นอกจากหวงตี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงอีกหรือไม่ เพราะราชโองการฉบับนั้น ไท่ช่างหวังและไท่โฮ่วจึงทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ลี่กุนจวิ้นเฉินและเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเห็นคนทั้งสองมีปากเสียงกันอยู่หลายครา จากเรื่องหนึ่งนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง กลายเป็นปัญหาค้างคาไม่มีวันจบ และนำไปสู่วันที่ทั้งสองต่างหมดใจให้กัน มีเพียงแค่คำว่าอำนาจและตำแหน่งเท่านั้นที่ผูกพันคนทั้งคู่ ในวันที่คนคนหนึ่งหมดใจ วันนั้นจึงนับเป็นวันที่น่ากลัวมาก เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเคยคิดว่าตนเองเป็นตัวปัญหาทำให้ไท่ช่างหวังและไท่โฮ่วแตกหัก แต่หลังจากที่ได้เรียนรู้ นางถึงได้ทราบว่าสิ่งที่ทำให้คนทั้งสองพังทลายออกจากกันคือคำว่ารัก มากรัก ก็ไม่อาจรักษารัก ไม่มี ‘คำรัก’ คำใดจะอยู่คงทนไปได้ตลอดกาล “หวงโฮ่ว ไอเจียได้ยินมาว่าเจ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งซูเฟยเช่นนั้นหรือ” หลังจากที่ไท่โฮ่วและเต๋อเฟยคุยเล่นกันจนพอใจเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดไท่โฮ่วก็เริ่มหันมาสนใจเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “เพคะ” “เจ้าจะให้เต๋อเฟยลดตัวไปแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งกับบรรดานางสนมเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ยินคำถามดังกล่าวก็เงยหน้าขึ้น แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “หม่อมฉันมิได้บังคับให้เต๋อเฟยลดตัวไปแข่งกับผู้ใดนะเพคะ เต๋อเฟยเองก็เป็นน้องหญิงที่หม่อมฉันรักมากผู้หนึ่ง ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเต๋อเฟยมิเคยแสดงท่าทีมักใหญ่ใฝ่สูง ทั้งเรียบร้อยอ่อนหวาน รักสงบอยู่แต่กับที่ของตนเองมาโดยตลอด หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องหญิงเต๋อเฟยจะอยากได้ตำแหน่งซูเฟย” คำพูดราบเรียบของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นเหมือนหอกทิ่มแทงใจเต๋อเฟย ท่าทีอ่อนหวานของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะจะเข้าไปแย่งชิงตำแหน่งอำนาจกับใครอื่น ถึงแม้ตำแหน่งซูเฟยจะสูงใหญ่กว่านาง แต่ด้วยชื่อเสียงที่เพียบพร้อม จะให้นางไปดิ้นรนแสดงความต้องการได้เช่นไร ถึงแม้ตอนแรกตนจะมาเป่าหูไท่โฮ่วให้ต่อว่าหวงโฮ่วเรื่องที่ทำให้นางต้องลดตัว แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายตอกกลับมา นางก็มิอาจขยับแขนขาได้อีก “เช่นนั้นแล้วเจ้าจะปล่อยให้ผู้อื่นได้รับตำแหน่งซูเฟยข้ามหน้าข้ามตาเต๋อเฟยได้เช่นนั้นหรือ” “อย่างที่หม่อมฉันกล่าว หม่อมฉันไม่ได้บังคับว่าใครจะเข้าร่วมแข่งขัน แม้แต่กุ้ยเฟย หากจะอยากร่วมลดตำแหน่งตนเองหม่อมฉันก็มิว่าเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังคงยิ้ม รอยยิ้มที่สามารถทำให้ผู้มองเห็นรู้สึกร้อนรุ่มจนอยากจะกระโดดออกมากรีดร้องด้วยความเคียดแค้น จะแตะต้องเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ยังคงเร็วไปร้อยปี เต๋อเฟยเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่ปี แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอยู่ในวังแห่งนี้มาสิบเจ็ดปี นางเห็นไท่โฮ่วรบรากับอดีตนางสนมมานับครั้งไม่ถ้วน ลูกไม้ตื้น ๆ อย่างขอความเห็นใจจากผู้สูงศักดิ์มิอาจทำอะไรนางได้ง่าย ๆ “หากเป็นเช่นนั้น ไอเจียจะเข้าร่วมการตัดสินครั้งนี้ด้วยเพื่อความเท่าเทียม” ไท่โฮ่วตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ม ๆ แต่ฟังดูเด็ดขาด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขบกรามแน่น นางเริ่มไม่พอใจที่มีคนเข้ามายุ่มย่ามกับแผนการของนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้าเป็น ลี่กุนจวิ้นเฉิน เวลานี้ก็ยังจะไท่โฮ่ว “แต่ตอนนี้ผู้ตัดสินมีถึงสามคนแล้วนะเพคะ” “เช่นนั้นก็เพิ่มอีกคน ไอเจีย เจ้า ฝ่าบาท กุ้ยเฟยและก็ชงซาน หากเป็นเช่นนี้ยังจะมีอะไรโต้แย้งไอเจียอีกหรือไม่” “ไม่เพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นส่ายหน้าเบา ๆ ขณะเหยียดรอยยิ้มเป็นเส้นตรง คนมากมายเริ่มก้าวก่ายแผนการของนางมาโดยไม่ได้ตั้งตัว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอาจไม่พอใจ แต่ใช่ว่านางจะยอมแพ้ ยิ่งถนนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากเพียงใด นางก็ยิ่งสู้ต่อไปมากเท่านั้น คนเพิ่มมันก็แค่หมายความว่านางต้องวางแผนเพิ่มก็เท่านั้นเอง
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่8 บทที่ 8 ดอกไม้งามอาบยาพิษ
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A