ตอนที่9 บทที่ 9 มาตรฐานความงามฉบับหวงโฮ่ว
1/
ตอนที่9 บทที่ 9 มาตรฐานความงามฉบับหวงโฮ่ว
ฮองเฮามากรัก
(
)
已经是第一章了
ตอนที่9 บทที่ 9 มาตรฐานความงามฉบับหวงโฮ่ว
บทที่ 9 มาตรฐานความงามฉบับหวงโฮ่ว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่น” ลี่กุนจวิ้นเฉินในชุดสีเหลืองทองแทบจะลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทำงาน หลังจากได้ยินความคิดบ้าบิ่นดังออกมาจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น หวงโฮ่วผู้มีความพิสดารแตกต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไป ทางฝั่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับไม่สะทกสะท้าน นางยังคงสนุกสนานอยู่กับภาพวาดของตนเองพลางพูดไปเรื่อย “ท่านอย่าบอกข้าว่าท่านไม่เบื่อกรงทองอันเก่าแก่แห่งนี้ ราชวงศ์มีมานานกี่ร้อยปีแล้ว พบเจอแต่ภาพเดิม ๆ ทุกวัน จะให้พูดว่าพอใจแล้วก็พูดได้มิเต็มปาก ในเมื่อพวกเรานั้นถูกขังอยู่ในรั้วเดียวกันแล้ว เหตุใดยังจะต้องตีกรอบให้ตนเองอยู่แต่กับสภาพเดิม ๆ ตลอดไปด้วยเล่า” “ถ้าแค่ข้ากับเจ้า คงไม่มีปัญหาใด แต่สิ่งที่เจ้าคิดมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องเราสองคน...” “ก็แค่ทั้งวังหลัง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบพร้อมรอยยิ้ม ส่วนมือก็สะบัดพู่กันจนสีน้ำสาดกระจายไปทั่วผืนผ้าใบ เพิ่มให้ภาพท้องฟ้าดูงดงามราวกับมีดวงดาวประกายระยิบระยับ “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าไท่โฮ่วจะมาร่วมงานนี้กับเจ้าด้วยน่ะ” “ข้ารู้ ถึงผลักดันให้เรื่องมันบานปลายอย่างไรเล่า วังหลังข้า กฎของข้า แม้แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์” หวงโฮ่วคนงามย้ำเตือนหวงตี้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบลื่น เป็นเขาเองที่ขอร้องให้นางอยู่ข้างกายในฐานะหวงโฮ่ว ทั้งที่นางสามารถหนีออกไปจากวังวนแห่งกรงทองได้ และก็เป็นเขาเองที่มอบอำนาจวังหลังไว้ในกำมือของนาง “ฮุ่ยหมิ่น สถานการณ์ของเจ้าในช่วงนี้ยังไม่ค่อยเหมาะที่จะทำเรื่องเอิกเกริกนะ” พูดคุยถูกคอกันได้ไม่กี่คำ จู่ ๆ ลี่กุนจวิ้นเฉินก็ดึงเรื่องเคร่งเครียดมาให้ทั้งสองจมอยู่กับความคิดอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าคมสวยของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจางลงเล็กน้อยเมื่อพิจารณาตามถ้อยคำที่เขาพูดถึง แต่ความกลัวที่ผ่านเข้ามาก็หายไปในเร็วพลัน เมื่อนางปรับเปลี่ยนความคิด “ชีวิตหนึ่งช่างสั้นนัก เหตุใดจะต้องกังวลอยู่แต่กับเรื่องในอนาคต จนลืมที่จะดูแลตนเองในปัจจุบัน” “หากไม่วางแผนอนาคต เช่นนั้นเราจะรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าเป็นหวงตี้ ย่อมต้องวางแผนเพื่อให้ราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข และที่สำคัญคือคนข้างกายข้าต้องไม่เดือดร้อน” ในที่สุดเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มหันไปสนใจลี่กุนจวิ้นเฉิน ดวงตาหงส์คู่งามดำขลับ เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้ “ท่านคิดว่าบิดาของกุ้ยเฟยนั้นมีกำลังคนสนับสนุนมากมายเพียงใด” “แล้วเหตุใดเจ้าเปลี่ยนจากเรื่องของตัวเจ้าไปเป็นกุ้ยเฟยได้เล่า” “ตอบข้ามาก่อน” “ถ้าหากที่ชงซานสืบมา ข้าพอจะทราบว่าขุนนางเกินครึ่งล้วนแล้วแต่เคารพนับถือใต้เท้าจิ่น ...เหตุใดถึงถาม” “เขาเป็นคนของข้า หากสถานการณ์เลวร้ายขั้นสุดจริง ๆ อย่างไรตระกูลจิ่นก็หนุนหลังข้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยกถ้วยชาร้อนมาเป่าเบา ๆ หลังจากตอบคำถามของลี่กุนจวิ้นเฉิน แม้นางจะมาจากต่างแดน ไร้ซึ่งคนสนับสนุนในวังหลวง แต่ใช่ว่านางจะไม่สั่งสมบารมีจากข้างนอกวังหลวง การที่นางรับจิ่นเลี่ยนลี่ผู้มีชื่อเสียงย่ำแย่เข้าวังหลวง ดันจนนางกลายมาเป็นกุ้ยเฟย ลบภาพลักษณ์ด้านลบไปจากตระกูลจิ่น มีหรือใต้เท้าจิ่นเฟิงหนานจะไม่ซาบซึ้ง และด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างนางกับกุ้ยเฟย ย่อมทำให้ชายชราผู้นั้นเข้าข้างนางยามตกยากแน่นอน จะกำจัดหวงโฮ่ว ย่อมต้องกำจัดหมากเสียก่อน เมื่อไรที่ขาดนางไป สตรีที่งามอย่างร้ายกาจเช่นกุ้ยเฟย ย่อมถูกคนรอบข้างปองร้ายจนเสียตำแหน่งไปในท้ายที่สุด ใต้เท้าจิ่นไม่มีทางนิ่งดูดายปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเป็นแน่ “เจ้าไปเกี่ยวข้องกับตระกูลจิ่นตั้งแต่เมื่อไรกัน” ลี่กุนจวิ้นเฉินหรี่ตาลงจับผิด “ก็ตั้งแต่ที่ข้าชุบเลี้ยงจิ่นเลี่ยนลี่อย่างไรเล่า นางมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะใคร ท่านอย่าลืมสิ หากไม่ได้ข้าป่านนี้นางก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกไปแล้ว อีกอย่างชื่อเสียงตระกูลจิ่นเองคงจะแปดเปื้อนไปไม่น้อย ข้าช่วยล้างมลทินและฟื้นฟูชื่อเสียงให้ตระกูลนั้น ถึงขนาดทำให้บุตรสาวเขากลายเป็นกุ้ยเฟย บุญคุณนี้คงจะลืมกันไม่ได้ง่าย ๆ” “แล้วเจ้าก็กำลังจะบอกว่าในบรรดาสนมเอกล้วนแล้วแต่เป็นคนของเจ้าทั้งหมดอีกอย่างนั้นสิ” โฉมงามในชุดสีน้ำเงินเข้มหันมาทำสีหน้าตกใจ “ท่านก็ฉลาดเหมือนกันนี่” หากไม่นับเจาอี๋ที่ยังอยู่ในตำหนักเย็นกับซิวหรงที่ถูกกักบริเวณ สนมเอกทั้งเจ็ดคนล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บัญชาของนางอย่างเต็มตัว ทุกคนต่างมีอดีตที่ไม่อาจลบล้างและไม่อาจให้อภัย แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือผู้ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นจริง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมักช่วยเหลือคนที่ทำผิดพลาดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ทุกคนจึงพากันเทิดทูนว่านางเป็นหวงโฮ่วที่เปี่ยมด้วยเมตตาอันลึกซึ้ง ทว่าการช่วยเหลือคนโดยปราศจากเงื่อนไข สำหรับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคือการลงทุนซื้อใจ วันนี้นางอาจยังไม่ได้อะไร แต่สักวันนางจะทวงคืนบุญคุณนั้นเอง “ฝ่าบาท กงกงนำป้ายชื่อมาให้ฝ่าบาทเลือกพ่ะย่ะค่ะ” ชงซานเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกงกงชราผู้หนึ่ง เขาถือถาดที่เต็มไปด้วยป้ายชื่อมากมายแล้วไปคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะทำงานของลี่กุนจวิ้นเฉิน ฉับพลันนั้นคนผู้เป็นใหญ่ได้หันหน้าส่งสายตาเฉียบคมมาทางเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น นางฉีกยิ้มท้าทายไปให้ ลี่กุนจวิ้นเฉิน พร้อมมองเขานิ่งนานด้วยสายตาคมกล้าเช่นเดียวกัน หากจะให้หวงตี้บรรยาย สายตานั้นเหมือนกับว่านางได้ส่งมือล่องหนมาบีบบังคับให้เขาหยิบป้ายชื่ออย่างไม่เต็มใจ “คืนนี้เจิ้นอยาก...” ไม่ทันที่ลี่กุนจวิ้นเฉินจะได้พูดคำว่าพักออกมาเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็พูดกลบ “คืนนี้ฝ่าบาทจะบรรทมที่ตำหนักกุ้ยเฟย” ชงซานหันมามองปรามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่สตรีผู้สูงศักดิ์กลับยิ้มสุภาพ ไม่แสดงอาการหึงหวงใด ๆ ออกมา และไม่สนใจว่านางจะทำตนข้ามหน้าข้ามตาใคร เพราะบุคคลภายในห้อง ไม่ว่าจะชงซาน กงกง หรือแม้แต่ลี่กุนจวิ้นเฉิน ต่างก็รู้ดีว่าทุกอย่างในวังหลังล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนกระดานหมากสำหรับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น และพวกเขาทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ไม่ต่างอะไรจากหมากตัวหนึ่งที่นางหยิบจับ ขยับซ้ายขวาได้ตามแต่ใจต้องการ “คืนนี้เจิ้นจะไปพบกุ้ยเฟยเสียหน่อย” ลี่กุนจวิ้นเฉินรับคำอย่างว่าง่าย “แต่ฝ่าบาท...” ชงซานกำลังจะเอ่ยค้าน เขาพยายามที่จะให้หวงตี้เดินแผนแข็งใจต่อหวงโฮ่วต่อไป “ชงซาน ตั้งแต่เมื่อไรที่เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องหลับนอนของฝ่าบาท” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโพล่งขัดจังหวะการสนทนา ลี่กุนจวิ้นเฉินมองปรามชงซานให้อยู่นิ่ง ๆ ไปก่อน ในตอนนี้เขาอาจจะยอมทำตามที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นต้องการ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมตลอดไป “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ชงซานรีบกล่าวขออภัยหวงโฮ่ว “อืม” นางพยักหน้ารับ ก่อนจะยกภาพวาดราชวังยามค่ำคืนไปวางตรงหน้าลี่กุนจวิ้นเฉิน “ฝ่าบาท หม่อมฉันฝากให้ ฝ่าบาทมอบภาพนี้เป็นของขวัญให้แก่กุ้ยเฟยด้วยนะเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดจาไพเราะ แต่การกระทำอุกอาจโดยไม่สนใจใคร หลังจากนางมอบหมายงานให้ลี่กุนจวิ้นเฉินเสร็จสรรพ ก็พาร่างสูงโปร่งของตนเองเดินจากไป โดยที่ไม่มีใครกล้าทักท้วง สิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักทรงงาน ก็ต้องอยู่ในตำหนักทรงงาน ชงซานรู้จักเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมานาน ย่อมรู้ว่าการล่วงเกินกันระหว่างหวงตี้กับหวงโฮ่วนั้นเป็นเรื่องปกติ ส่วนกับกงกง... แม้เขาจะรับใช้หวงตี้ แต่กลับถูกเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นซื้อตัวไปตั้งแต่ที่นางได้รับตำแหน่งพระอัครชายาแล้ว “เป็นอย่างไรบ้างเพคะหวงโฮ่ว” หยาเอ๋อร์เอ่ยถามหลังจากที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินกลับมาถึงเกี้ยว ข้างหลังนางยังเต็มไปด้วยนายทหารองครักษ์และนางกำนัลกว่ายี่สิบคนเดินออกมาส่ง “เป็นอย่างไรเช่นนั้นหรือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขยับคอที่ปวดเมื่อยไปมาขณะกล่าวเสียงเนิบช้า “ตอนนี้บนผืนน้ำอาจดูสงบ แต่ใต้น้ำนั้นกำลังมีพายุลูกใหญ่เริ่มก่อตัว ...เตรียมรับแรงกระแทกไว้ให้ดี” การที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นโดนลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวหาว่าเสียสตินั้นมีมูลเหตุมาจากไท่โฮ่ว เนื่องจากหญิงชราผู้นั้นคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับแผนการของนาง และด้วยเกียรติของหวงโฮ่วผู้แสนเมตตา เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงยกเลิกการแข่งขันเรื่องความงามทิ้งไป เพราะไท่โฮ่วคงไม่มาสนใจว่าใครหน้าตาดีกว่าใคร เนื่องจากในสายตาของหญิงสูงวัยมีเพียงเต๋อเฟยเท่านั้น เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นประกาศปรับเปลี่ยนแผนการเป็นให้ทุกคนได้แสดงความสามารถของตนเองหรือจะสร้างสรรค์สิ่งที่ตนเองถนัดออกมาประกวดประขัน อาจฟังดูน่าเบื่อ แต่ทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ด้วยความที่สตรีทุกคนล้วนแล้วแต่มีความงามแตกต่างกัน ผู้ดำรงตำแหน่งสนมเอกขั้นสองทั้งเจ็ดมีนางเป็นคนคัดสรรมาตั้งแต่แรกที่เลือกเข้าวัง ทุกคนย่อมงดงามจนยากตัดสินกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่อยากให้พวกนางแต่งตัวประชันกันเอง ในเมื่อแต่ละคนไม่เข้าใจในจุดเด่นของตน เพราะอย่างนั้นนางจึงเรียกตัวช่างตัดชุดชื่อดังเข้ามาในวังและออกแบบชุดให้กับสนมเอกทั้งเจ็ดด้วยตัวเอง “เหตุใดหวงโฮ่วต้องตัดชุดให้สตรีเหล่านั้นด้วยเพคะ” กุ้ยเฟยนั่งอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยถามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นที่กำลังแจกแจงแบบภาพให้กับช่างตัดชุด นี่เป็นอีกวันที่กุ้ยเฟยมานั่งเล่นพูดคุยกับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แม้ค่ำคืนที่ผ่านมา กุ้ยเฟยจะอยู่กับหวงตี้ แต่คนทั้งคู่ก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุ้ยเฟยไม่คิดจะอวดเบ่งใครว่าตนเหนือกว่าเพียงเพราะได้รับความโปรดปรานจากหวงตี้ เนื่องด้วยนางรู้ดีว่า ถ้าอยากใช้ชีวิตเหนือคนอื่น ใครกันแน่ที่ต้องประจบ “เปิ่นกงไม่ชอบชุดที่พวกนางสวมใส่” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบทั้งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วเต๋อเฟยละเพคะ” พู่กันในมือขาวเนียนชะงักคร่อมจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มละเลงร่างแบบต่อไป “นางไม่ใช่คนของเปิ่นกง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบออกมาเสียงเย็นชา ช่างตัดชุดมีนามว่า เชี่ยวเอ๋อร์ เป็นอีกคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นซื้อความภักดีเอาไว้ ไม่ว่าคำสนทนาใดของนาง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกเก็บเป็นความลับหมดทั้งสิ้น “หากเป็นเช่นนั้น วันงานเลี้ยงเต๋อเฟยคงจะดูหม่นแสงไปไม่น้อยเลยนะเพคะ” กุ้ยเฟยนึกภาพตามเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแล้วก็นึกสนุก เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นหวงโฮ่วที่ชมชอบสีสันสดใสฉูดฉาด เสื้อผ้าที่นางใส่มักจะโดดเด่นจนไม่อาจละสายตาได้เสมอมา ในขณะที่เต๋อเฟยชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสบายตา เรียบง่ายไม่โดดเด่น ส่วนเหล่านางสนมคนอื่นก็แต่งตัวตามฐานะตัวเองกันไป อาจมีบ้างที่แต่งตามความนิยมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งความนิยมเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่หวงโฮ่วชอบเลยสักนิด “คิดว่าไม่... นางอาจจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดก็เป็นได้” แตกต่างที่สุดในกลุ่ม ย่อมโดดเด่นเป็นธรรมดา ทว่าเตะตาคนได้ ใช่ว่าจะดึงดูดผู้คนได้เสมอไป “ไม่ว่าทางไหน ทุกอย่างก็น่าสนใจไปหมด” กุ้ยเฟยฉีกยิ้มร้าย หลายวันมานี้นางสนมในวังหลังล้วนแต่พากันกักตัวอยู่ในตำหนักฝึกซ้อมและเตรียมตัวแสดงความสามารถของตน ยามเช้าถ้าเข้าเฝ้า พวกนางก็พากันเงียบ เมินหน้าไม่พูดจากัน ทำตัวเป็นเหมือนแมวซ่อนเล็บกันไปหมด “ว่าแต่วันนั้นเปิ่นกงเล่าให้เจ้าฟังถึงไหนแล้วนะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถาม เมื่อคิดจะเล่าเรื่องราวนางสนมที่ตนเองรับเข้ามาให้สนมเอกขั้นหนึ่งคนสนิทฟังต่อ “หวงโฮ่วพูดถึงซิวอี๋ ผู้ที่เป็นญาติของหม่อมฉันเองเพคะ” “อ้อ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพยักหน้ารับ หลังจากที่ยื่นแบบชุดทั้งหมดไปให้กับช่างตัดชุด นางจึงย้ายไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างเพื่อรับลมยามเย็นพร้อมกับกุ้ยเฟย “เช่นนั้นต่อไปคงเป็น ซิวเยวี่ยน” “ซิวเยวี่ยนผู้งามวิจิตร พูดน้อยและมักเก็บซ่อนตัวน่ะหรือเพคะ” “แต่เดิมนางมีที่มา” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเงยมองท้องฟ้า มองราวกับอยากให้ทะลุขึ้นไปในดินแดนที่ไกลแสนไกล “อย่างที่เจ้าทราบ นางคือบุตรสาวคนเล็กในตระกูลแม่ทัพซีผู้เกรียงไกร มีพี่ชายที่องอาจและหล่อเหลาอีกทั้งยังรักนางยิ่งกว่าใคร” “เหตุใดสตรีที่เกิดมาในตระกูลที่เพียบพร้อมถึงอยากเข้าวังหลวงเพคะ หรือบิดานางเป็นผู้ส่งนางมาเป็นหลักประกันให้กับตัวเอง” “นางเสนอตัวเข้ามาเอง โดยมีเปิ่นกงเป็นผู้ชักชวน แต่เดิมแม่ทัพซีเป็นชายผู้ที่เหยียดสตรีผู้หนึ่ง เขามีภรรยาและอนุมากมายเพียงเพื่อให้ตนเองมีบุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล และบุตรที่เขาต้องการคือบุตรชาย หากเป็นสตรีเขามักจะไม่เหลียวแล ซิวเยวี่ยนเป็นบุตรสาวของอนุ รูปโฉมงดงามและยังเก่งกาจดุจชายชาตรี ทว่านางไม่เคยถูกยอมรับ ตั้งแต่เด็กต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้บิดาเห็นหน้า มิเช่นนั้นจะถูกต่อว่าด้วยความรังเกียจ และที่แย่ที่สุด นางเคยถูกนำไปทิ้งในป่าเมื่อตอนอายุสิบห้า ทว่านางกลับมาได้ในสภาพไร้รอยขีดข่วน ข่าวลือกล่าวหาว่านางยอมให้โจรป่าข่มขืนเพื่อแลกชีวิต แต่ความจริงคือนางสังหารโจรเหล่านั้นด้วยตัวเองจนหมดสิ้น ถึงกระนั้นในสายตาแม่ทัพซี สตรีไม่มีทางเก่งกาจไปกว่าชายชาตรี เขาจึงคิดว่าบุตรสาวตัวเองเปื้อนราคี เปิ่นกงได้ยินข่าวเช่นนั้นจึงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และรับนางเข้ามาในวัง” “ช่างเป็นสตรีที่น่าชื่นชมยิ่งนัก” กุ้ยเฟยตาเป็นประกาย เพราะนางเองมักชื่นชมสตรีที่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองเสมอ “แต่น่าเสียดายที่นางเกิดมาผิดเพศ มิเช่นนั้นคงได้เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่” “แล้วใครว่าสตรีมิอาจจะเป็นวีรสตรีได้เล่า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มน้อย ๆ “เพชรไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ยังเป็นเพชร แต่ก่อนแม่ทัพซีอาจจะกดขี่ซิวเยวี่ยน แต่ดูยามนี้สิ เป็นเขาเองมิใช่หรือที่ต้องก้มหัวให้นาง” “แล้วซงอี๋ละเพคะ” “ซงอี๋... องค์หญิงคนงามผู้ที่เมืองตนเองไม่ยอมรับในความเฉลียวฉลาด วันงานเลี้ยงครบรอบยี่สิบสองปีหวงตี้ เปิ่นกงเห็นนางถูกญาติพี่น้องหัวเราะเรื่องความฉลาด จึงเสนอนางไปว่าหากมาเป็นนางสนมในวังของเปิ่นกง เปิ่นกงจะให้นางได้ทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจต้องการ โดยที่ไม่มีใครคอยมาดูถูกเหยียดหยาม ในยามนี้นางจึงสามารถวางแผนเพื่อรับมือวิกฤตของแคว้นช่างไปได้หลายสิบปีเลยทีเดียว เพียงแต่เปิ่นกงยังไม่ให้นางนำออกมาเผยแพร่ก็เท่านั้น” “แคว้นช่างจะมีวิกฤตหรือเพคะ” “เจาอี๋เป็นใคร เจ้าก็รู้ดี” พูดถึงเจาอี๋ กุ้ยเฟยก็พอเดาเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เจาอี๋คือบุตรสาวของอัครราชทูตจากแคว้นเพ่ย การที่ส่งนางไปตำหนักเย็นอย่างไม่มีกำหนด เห็นได้ว่าบิดาของนางคงไม่ยอมอยู่เฉยมองบุตรสาวได้รับความอยุติธรรม ไม่นานนักอาจไปเป่าหูหวงตี้แคว้นเพ่ยให้ผิดใจกับแคว้นช่างก็เป็นได้ “ต่อมาเป็นชงหรง คนนี้เปิ่นกงบอกเลยว่าเจ้าต้องไม่เชื่อเปิ่นกงแน่” เมื่อพูดถึงชงหรง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็เริ่มเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ทำไมหรือเพคะ” “เจ้าเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างหรือไม่ ว่าทางตอนใต้ของแคว้นช่างมีผู้ร่ำเรียนมนต์ดำอาศัยอยู่” “หวงโฮ่วอย่าบอกนะเพคะว่าชงหรงมาจากที่นั่น...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นปรบมือหนึ่งที “ใช่แล้วล่ะ และที่สำคัญ มนต์ดำที่ทุกคนหาว่าเป็นข่าวลือ แท้จริงแล้วชงหรงของเราสามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้จริง ๆ ด้วยนะ” กุ้ยเฟยหน้าซีดเผือด นางอาจจะชมชอบการที่สตรีตบตีกัน แข่งขันแก่งแย่งต่าง ๆ นานา แต่หากมีมนต์ดำเข้ามาเกี่ยว เรื่องดังเช่นที่ว่ามันออกจะ... “เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ชงหรงแค่ต้องการมาอยู่ในวังเพื่อเข้าถึงยาสมุนไพรหายากที่ใช้ในการปรุงยาลับของนางก็เท่านั้น หากไม่มีใครไปสะกิดหางเข้า นางก็คงไม่ร่ายมนตร์ดำใส่แน่ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอดเลยนะ มิเช่นนั้นชงหรงอาจได้พบโทษประหาร แบบที่เปิ่นกงก็มิอาจใช้อำนาจช่วยได้เลย” “เพคะ” กุ้ยเฟยรับคำหนักแน่น “ส่วนคนสุดท้ายชงเยวี่ยน” “โอ้... หวงโฮ่วเพคะ สตรีผู้นี้เป็นอีกคนที่หม่อมฉันมิกล้าเข้าใกล้ถัดมาจากซิวอี๋เลยเพคะ” “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าก็พูดเกินไป แค่เพียงนางมีนิสัยป่าเถื่อน ใช่ว่าจะเป็นคนไม่น่าคบหาเสมอไป... แต่เปิ่นกงจะบอกให้ก็ได้ ว่านางน่ากลัวยิ่งกว่ามนต์ดำของชงหรงอีก” “ทำไมหรือเพคะ” “เคยมีคดีฆาตกรรมฉาวโฉ่ที่ทางการไม่อาจสืบหาตัวคนร้ายได้นานนับสามเดือน มีสตรีเคราะห์ร้ายตายไปกว่าสิบศพ แต่ชงเยวี่ยนกลับสืบหาคนร้ายจนเจอ และเปิ่นกงก็พบนางตอนที่นางกำลังจะฆ่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้น ด้วยความที่นางต้องการจะหนีความผิดฐานฆ่าคน เปิ่นกงเองก็เห็นพ้องกับเรื่องที่นางทำ จึงชวนนางเข้าวังมา เพียงแต่ก่อนเข้ามาอยู่ในวังได้รู้อดีตมาว่า นางเคยอาศัยอยู่กับมารดาที่จิตไม่ปกติ ทดลองการแพทย์นานาชนิดกับตัวเองและกับนาง จนเมื่อมารดาทิ้งไป นางยังถูกชุบเลี้ยงต่อด้วยบุรุษจิตผิดปกติอีกคน ที่พยายามลวงหลอกจิตใจให้นางหลงรักเขา กว่าจะหนีออกมาจากวังวนนั้นได้ก็แทบแย่ และเพราะชีวิตเจอแต่อะไรแย่ ๆ นางจึงมักดื่มสุราดับความกังวล” กุ้ยเฟยอ้าปากค้าง ไม่ว่าราชวงศ์ไหนจะรับผู้หญิงของหวงตี้เข้าวังย่อมต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่หวงโฮ่วผู้นี้ไม่รู้ใช้วิธีใดกันถึงได้ข้ามขั้นตอนเหล่านั้นมาโดยไม่มีผู้ใดทักท้วง แล้วแต่ละคนที่เข้ามาในวังก็ไม่มีทีท่าเหมือนสตรีที่จะแย่งสามีกันเอง แต่ราวกับพวกนางมาเป็นลูกหนี้บุญคุณหวงโฮ่วทั้งสิ้น ถ้ากล่าวกันตามตรง คนที่ควรมีอาการหึงหวงควรจะเป็นหวงตี้ผู้น่าสงสาร เขาเป็นชายที่ไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากรับนางสนม ในเมื่อเขาเคยประกาศออกมาแล้วว่าชายาของเขามีเพียงคนเดียวคือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น แต่เหมือนหวงโฮ่วกลับไม่รู้จักพอ นางรับสตรีอื่นเข้ามาเรื่อย ๆ ภายใต้หน้ากากของหวงโฮ่วผู้มีเมตตา โดยไม่สนใจความรู้สึกของหวงตี้แม้เพียงนิด สตรีเจ็ดคนนี้ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งในวังหลัง ยศต่ำไปกว่านั้นยังมีอีกหลายคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับเข้ามาเอง ส่วนอีกครึ่งเป็นคนที่ไท่โฮ่วเสนอเข้ามา แต่ช่างน่าเสียดายที่คนของไท่โฮ่วมีเพียงแค่เต๋อเฟยเท่านั้นที่เชิดหน้าชูตาได้สูงสุด “มีสตรีคนไหนของหวงโฮ่วที่ไม่มีวี่แววจะกลายเป็นฆาตกรบ้างเพคะ” คำถามของกุ้ยเฟยค่อนข้างน่าขบขัน แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับคิดหนัก และคำตอบก็ทำให้กุ้ยเฟยคิดอยากจะหนีออกจากวังหลังเป็นครั้งแรกในชีวิต เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นใช้นิ้วชี้ที่มีปลอกเล็บสีทองแตะปลายคางพร้อมทั้งเอียงคอตอบ... “ไม่มีนะ”
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
ตอนที่9 บทที่ 9 มาตรฐานความงามฉบับหวงโฮ่ว
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A