ตอนที่10 บทที่ 10 เก้าต่อหนึ่ง   1/    
已经是第一章了
ตอนที่10 บทที่ 10 เก้าต่อหนึ่ง
บทที่ 10 เก้าต่อหนึ่ง วันที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรอคอยมาถึงในท้ายที่สุด นางส่งเสื้อผ้าไปให้สนมเอกทั้งเจ็ดพร้อมของมีค่าจำนวนหนึ่งและจดหมายเยินยอชักจูงให้อีกฝ่ายสวมใส่มางานเลี้ยง แน่นอนว่าเมื่อคนเป็นหวงโฮ่วเอ่ยปากขอ มีใครในวังหลังกล้าพอที่จะปฏิเสธด้วยหรือ นอกจากเรื่องชุด เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยังไม่จบแค่นั้น นางยังส่งนางกำนัลส่วนตัวไปแต่ละตำหนัก คอยจัดแจงเรื่องเครื่องประดับและการแต่งหน้าให้สนมทั้งหลายเสร็จสรรพ ยามบ่ายที่ไร้แดด บรรยากาศรอบข้างในอุทยานหลวงปกคลุมไปด้วยร่มเงา บนลานกว้างเต็มไปด้วยที่นั่งมากมาย เตรียมเอาไว้ให้ผู้ร่วมงานแต่ละคน งานที่หวงโฮ่วจัดขึ้นมานั้นงดงามเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ส่งกลิ่นหอมและฉายสีสันสวยงาม เจ้าภาพการจัดการอย่างหวงโฮ่วไม่จำเป็นต้องมาถึงก่อน แต่นางกลับเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานเป็นคนแรกพร้อมกับสีหน้าชื่นบาน เหล่านางกำนัลที่อยู่รอบข้างรีบมาถวายความเคารพนางด้วยความนับถือ ส่วนเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นก็ตอบรับอย่างเป็นมิตร เพราะท่าทีของนางช่างแสนดีอยู่เป็นนิจ ย่อมไม่แปลกที่ไม่ว่าใครในวังหลังต่างรักและเคารพนางยิ่งกว่าใคร “ดูเหมือนวันนี้หวงโฮ่วจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยทักทายสตรีรูปงามในชุดสีแดงเข้ม อาภรณ์ของนางปักด้วยดิ้นสีทองเป็นลวดลายหงส์สยายปีก และยังประดับผมด้วยเครื่องทองประจำตำแหน่งหวงโฮ่ว ส่งเสริมให้นางเปี่ยมไปด้วยอำนาจสูงส่ง เหมาะสมพอที่จะยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างไร้ข้อกังขา “ฝ่าบาทมาเร็วจังเลยนะเพคะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นคำนับลี่กุนจวิ้นเฉินง่าย ๆ พอเป็นพิธีก่อนจะพูดหยอกล้อกับเขา ฟากฝ่ายชายหนุ่ม เขาสวมใส่ชุดดำปักดิ้นทองลายมังกร มองเผิน ๆ แล้วชุดของนางกับเขาต่างมีลวดลายที่เข้าคู่กันอย่างน่าบังเอิญ เมื่อมองข้ามไหล่ร่างสูงขององค์จักรพรรดิก็เห็นชงซานในชุดสีขาวเดินตามติดเป็นเงาด้วยท่าทีสุขุม หากกล่าวกันว่าไท่โฮ่วนั้นน่ากลัวแล้ว คนที่น่ากลัวกว่าคงไม่พ้นชงซาน ชายผู้ที่บางครั้งก็มีความคิดบ้า ๆ ทำอะไรแปลกประหลาดอย่างที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างเช่นการที่เขายุยงให้ลี่กุนจวิ้นเฉินต่อต้านนางอย่างไร้เหตุผล “อืม... ดูเหมือนวันนี้จะมีเรื่องสนุก เจิ้นเลยไม่อยากพลาดทุกช่วงเวลาที่หวงโฮ่วอุตส่าห์รังสรรค์ขึ้นมาน่ะสิ” “ฝ่าบาทก็อวยหม่อมฉันมากเกินไป ผู้ที่จะทำให้งานเลี้ยงวันนี้สมบูรณ์หาใช่หม่อมฉันเสียหน่อย” “แต่หากไม่มีเจ้า ก็คงไม่มีวันนี้” ลี่กุนจวิ้นเฉินกล่าวเสียงทุ้มต่ำแฝงความนัย ราวกับสิ่งที่เขาพูดถึง ไม่ใช่เรื่องงานเลี้ยง ทางฝั่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแสร้งทำเป็นเมินเฉยต่อใจความสำคัญที่แฝงไว้ นางจูงมือบุรุษหนุ่มไปยังที่นั่งซึ่งถูกเตรียมเอาไว้ ตรงกลางคือที่นั่งของหวงตี้ ซ้ายคือไท่โฮ่ว และขวาคือหวงโฮ่ว “เชิญฝ่าบาทนั่งจิบน้ำชาทานขนมรอเหล่าสนมทั้งหลายเดินทางมาก่อนนะเพคะ ระหว่างนี้หม่อมฉันจะให้นักดนตรีมาสร้างเสียงเพลงมิให้ฝ่าบาททรงเบื่อ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าวและกำลังจะหันหลังเดินหนีไปยืนรอข้างนอก แต่แล้วข้อมือบางกลับถูกรั้งเอาไว้ “เจ้าจะไปไหน” หวงตี้ถาม “หม่อมฉันจะไปดูแลงานที่เหลือเพคะ” ลี่กุนจวิ้นเฉินยังคงไม่ปล่อย มือของเขากำข้อมือบางแน่น ขณะที่เงยหน้ามองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยแววตาลึกล้ำอยู่เช่นนั้นไม่หลบไปไหน “อยู่กับข้าก่อนสิ” ลี่กุนจวิ้นเฉินพูดออกมาโดยใช้คำแทนตัวซึ่งลดระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่โดยไม่สนใจสายตาข้ารับใช้รอบข้าง เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพยายามบิดข้อมือออกจากมือหนาด้วยท่าทีลนลาน สายตาหงส์คู่งามหันมองซ้ายขวาด้วยสีหน้าแตกตื่นเล็กน้อย “ฝ่าบาท” เสียงหวานเอ่ยย้ำเตือนสถานะ “ทำไมหรือ เดี๋ยวนี้เจ้าไม่เห็นค่าข้าในสายตาแล้วหรือไร” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นขำแห้งออกมาเบา ๆ “ฝ่าบาทล้อเล่นอะไรอีกเพคะ” นางหันไปหาชงซาน แต่พบว่าเจ้าเงาติดตามส่ายศีรษะไว ๆ ราวกับจะบอกว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับตน “เจ้า” ลี่กุนจวิ้นเฉินเรียกหยาเอ๋อร์ สาวใช้ข้างตัวเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น “จัดการงานที่เหลือแทนหวงโฮ่วด้วย” “เพคะ” หยาเอ๋อร์รับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปอย่างคล่องแคล่ว เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นใช้สายตามองลี่กุนจวิ้นเฉินราวกับจะพูดกับเขาว่า ‘ข้าไม่อยากจะเชื่อท่านเลยจริง ๆ’ ขนาดคนใช้ข้างกายซึ่งติดตามนางตลอดเวลา เขายังรู้ว่าฝ่ายนั้นรับผิดชอบหน้าที่อะไรแทนนางบ้าง แม้จะไม่พอใจที่ถูกก้าวก่าย แต่นางไม่คิดโกรธเคือง การที่ลี่กุนจวิ้นเฉินมีสายสืบอยู่ในตำหนักของนาง นับเป็นเรื่องดีในการหาผู้ที่คิดร้ายโดยที่นางไม่ต้องออกแรงเอง ลี่กุนจวิ้นเฉินดึงร่างบางมานั่งข้างตัวทันใด “ดูเหมือนท่านจะรู้เรื่องในตำหนักข้ามาไม่น้อยเลยนะ” นางกระซิบถามลอดไรฟัน แพขนตายาวงอนหรี่ลงจ้องจับผิด เป็นสีหน้าขี้เล่นของเจ้าตัวที่มีเพียงลี่กุนจวิ้นเฉินเท่านั้นที่จะได้เห็น ในระยะใกล้ชิด ใบหน้างามห่างจากตัวไม่ถึงเอื้อมมือ หวงตี้หนุ่มจึงโอบเอวบางเข้ามาใกล้แล้วแสร้งทำหน้าตกใจ “จริงหรือ... แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องใจเจ้าเลยเล่า” ตั้งแต่เมื่อไรที่ลี่กุนจวิ้นเฉินคอยนึกถึงแต่เรื่องความรู้สึกในหัวใจของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น... หวงโฮ่วผู้งามพิไลนั่งแนบชิดอยู่กับหวงตี้ด้วยสีหน้างงงวย ดวงตาหงส์ของนางที่มักมีความมั่นใจปกคลุมอยู่เสมอเริ่มเลือนรางด้วยความหวั่นไหว ข้อมือซึ่งถูกกุมแน่นกลายมาเป็นฝ่ามือที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ ลี่กุนจวิ้นเฉินกระชับมือนางแน่นราวกับจะย้ำเตือนว่าเขาคอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ “อย่าสร้างเรื่อง” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน หญิงสาวหลุดจากภวังค์ฉับพลันเมื่อได้ยินคำว่า ‘เรื่อง’ คิ้วงามเลิกขึ้นสูงพร้อมรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ “ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดไม่ทันขาดคำ เสียงโวยวายของสตรีกลุ่มหนึ่งก็ดังลั่นเข้ามาถึงบริเวณจัดงาน สองหนุ่มสาวที่ต่างกำลังสบตา จึงแยกตัวออกจากกันในทันใด สีหน้าของหวงตี้คล้ายปวดศีรษะตุบ ๆ ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ในขณะที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นแย้มยิ้มมากเล่ห์ “งานเริ่มแล้วสินะ” หญิงสาวคว้ามือหนาของร่างสูงข้างตัวมากุมไว้ ก่อนจะดึงตัวเขาไปที่หน้าทางเข้าอย่างเร่งรีบ ซิวอี๋ในชุดกระโปรงยาวสีส้มเพลิงราวกับเปลวไฟประกายด้วยแสงประดับระยิบระยับสีทอง ยืนเท้าเอวประจันหน้าอยู่กับกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าเดือดดาล ใบหน้ากรุ่นโกรธของนางดูน่ากลัว แต่ในสายตาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เห็นสตรีตรงหน้าเริ่มเปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา “ต่อให้ท่านเป็นถึงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร ในเมื่อชุดนี้เป็นชุดที่หวงโฮ่วทรงออกแบบและประทานมาให้หม่อมฉัน ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำให้เปรอะเปื้อน หรือคนอย่างกุ้ยเฟยนึกอิจฉานางสนมตัวเล็กอย่างหม่อมฉันกันล่ะ” ซิวอี๋กล่าวออกมาเสียเป็นไฟแลบ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นหลังจากดูถูกกุ้ยเฟย ฝ่ายคนถูกต่อว่าลอบกำหมัดและขบกรามแน่น ขณะพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ กุ้ยเฟยสามารถลงโทษซิวอี๋ได้โดยง่าย ฐานที่นางบังอาจมากำเริบเสิบสานกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า ต่อให้อีกฝ่ายมีชุดของหวงโฮ่วเป็นเครื่องประกัน แต่กุ้ยเฟยเป็นถึงคนโปรด มีหรือที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะไม่เข้าข้าง ขอเพียงแค่นางเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเท่านั้น “ฮ่า! เปิ่นกงเนี่ยนะนึกอิจฉาเจ้า ซิวอี๋ ต่อให้เจ้ากับเปิ่นกงยังไม่เข้าวังเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เปิ่นกงก็ไม่คิดลดตัวเองไปนึกอิจฉาอะไรจากเจ้าแน่” “อ้อ เป็นเช่นนั้นเองสินะ แล้วที่ท่านพยายามร่ำเรียนศิลปะแทบเป็นแทบตายเพื่อไม่ให้ด้อยกว่าหม่อมฉันนั่นคืออะไรเล่า ไม่ใช่ว่าเพราะท่านกลัวบิดาจะนำตนเองมาเทียบกับหม่อมฉันหรือ” ครั้นพูดถึงบิดา กุ้ยเฟยก็แทบหลุดอารมณ์ร้อนออกมา แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยืนหลบดูอยู่เงียบ ๆ กับหวงตี้ นางก็ค่อย ๆ ระงับอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนจะระบายยิ้มหวาน “เชิญเจ้าคิดอย่างที่เจ้าอยากต่อไปเถิด หากนั่นทำให้เจ้านอนหลับลงในแต่ละคืน เปิ่นกงก็สบายใจแล้ว” กุ้ยเฟยกล่าวจบก็เดินหนีไปโดยไม่คิดยืนต่อล้อต่อเถียงกับซิวอี๋อีก เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนจะหันมาคุยกับลี่กุนจวิ้นเฉินต่อ “เป็นอย่างไรบ้าง คนของข้าไม่เคยทำให้ผิดหวัง” “กุ้ยเฟยเป็นเหมือนมือขวาของเจ้า ข้าอยากจะรอดูอีกเจ็ดคนที่เหลือมากกว่า พวกนางจะรับมือกันอย่างไรบ้าง” “ท่านกล่าวผิดแล้ว พวกนางไม่ได้จะรับมือกันเอง แต่พวกนางจะต้องรับมือกับเต๋อเฟยต่างหากเล่า” “เต๋อเฟย... เจ้ากับกุ้ยเฟยและสนมเอกทั้งเจ็ดจะพากันรุมเต๋อเฟยเช่นนั้นหรือ” “เก้าต่อหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะพาหวงตี้กลับไปด้านใน เก้าต่อหนึ่ง เต๋อเฟยผู้งดงามและเพียบพร้อมจะต้องรับมือกับนางสนมเอกถึงเจ็ดคน แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับหวงโฮ่วและกุ้ยเฟย หากเรื่องนี้ไม่มีไท่โฮ่วลงมาเกี่ยวข้อง นางย่อมไม่ต่างอะไรจากกระต่ายน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่าเลยสักนิด “เจ้าช่างไร้ความเมตตายิ่งนัก” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยชื่นชม “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” ร่างบางในชุดลายหงส์หันกลับมาคำนับขอบคุณแบบประชดอีกฝ่าย เมื่อเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและหวงตี้นั่งประทับอยู่ข้างกายกัน เหล่านางสนมกับคนอื่นในราชวงศ์ที่มาร่วมงานเป็นสีสันก็เริ่มนั่งประจำที่ของตัวเอง จากเสื้อผ้าที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นออกแบบ ครั้นนางสนมแต่ละคนได้สวมใส่มานั่งเรียงกัน มันทำให้เป็นภาพการไล่สีสันวรรณะอย่างงดงามหลากรูปแบบแตกต่างกันไป ซึ่งอาภรณ์แต่ละชุดเสริมเน้นให้ผิวพรรณของพวกนางยิ่งผ่องใสโดดเด่น ใบหน้าเองก็เสริมแต่งเน้นจุดเด่นของแต่ละคนแต่ละส่วนอย่างไร้ข้อติติง เป็นภาพที่งดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้ บางทีการแข่งขันอาจจะออกมาไม่ดี แต่เพียงแค่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ชื่นชมความงามของสตรีแต่ละคนอย่างใกล้ชิด นางก็พอใจแล้ว ในเมื่อนางสนมเอกแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนศิลปะชิ้นเอกของนางทั้งสิ้น “ช่างงดงามเสียจริง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหลงใหล ลี่กุนจวิ้นเฉินที่นั่งอยู่ข้างกายรู้สึกอยากเอามือมากุมขมับทันใด ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่อาจแก้นิสัยชมชอบรูปร่างสตรีของนางให้หายไปได้ หากคนอื่นที่รู้ความลับดังกล่าวเข้า พวกเขาอาจคิดว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นชมชอบสตรี แล้วตัดสินว่านางประพฤติตนผิดจารีต ทั้งที่จริงนางเพียงแค่ชอบรูปร่างหน้าตาของสตรีเท่านั้น นางมองหน้าตาของสตรีเป็นเหมือนศิลปะชนิดหนึ่ง แต่ไม่เคยมีความคิดชู้สาวอยู่ในหัว นางสนมเอกทั้งเจ็ดเปรียบเสมือนอัญมณีสีรุ้ง ทว่าเต๋อเฟยที่เดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้ายกลับสวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ เรียบง่ายแต่ประดับไปด้วยเครื่องมุกล้ำค่า ช่วยส่งเสริมตำแหน่งให้นางไม่ดูต้อยต่ำ แต่ถึงจะดูสูงส่งมากเพียงใดก็ยังถูกรัศมีของสตรีผู้อื่นกลบเสียจนแทบหาที่ยืนให้ตนเองไม่ได้ “ดูเหมือนเต๋อเฟยจะแต่งกายถ่อมตนเกินไปหรือไม่นะ” กุ้ยเฟยเห็นเป้าหมายมาถึงนางก็แสร้งพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นการพูดลอย ๆ ที่ทุกคนต่างได้ยินกันไปทั่ว เต๋อเฟยเงยขึ้นเผชิญหน้ากับกุ้ยเฟยอย่างไม่กลัวเกรง ดวงตาคู่งามที่มักอ่อนโยนของนาง ดูเยือกเย็นไร้ซึ่งความรู้สึก เสมือนว่านางพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ที่ตนเองเสียเปรียบ “เจ้าก็กล่าวเกินไปกุ้ยเฟย เปิ่นกงบอกแล้วมิใช่หรือ วันนี้เราจะมาอวดโฉมกันด้วยฝีมือ หาใช่หน้าตา” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นพูดเข้าข้างเต๋อเฟย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้กับสนมทั้งเจ็ด ในใจนางเพียงแค่ประชดไท่โฮ่ว เนื่องด้วยฝ่ายนั้นไม่กล้าพอจะเอาหน้าตาของเต๋อเฟยมาประชันกับสนมเอกในวังหลัง ต่อให้นางชราภาพอยู่ในวัยกลางคนแล้วก็ตาม นางยังมองออกอยู่ดีว่าเต๋อเฟยมิอาจเทียบได้กับหนึ่งในสนมทั้งเจ็ดเสียด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ที่นางนอนกอดตำแหน่งเต๋อเฟยได้เพราะมีไท่โฮ่วคอยปกป้องเท่านั้น “ขอบพระทัยหวงโฮ่วที่กล่าวเข้าข้างหม่อมฉันเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันเองเข้าใจพี่หญิงกุ้ยเฟยดี เพราะอย่างไรเสียหน้าตาเยี่ยงหม่อมฉัน ไม่ว่าจะแต่งตัวงดงามเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับพี่น้องคนอื่นในวังหลังได้เพคะ” คนที่มีนิสัยนางเอก ไม่ว่าจะขยับตัวหรือพูดจาอะไรออกมา ย่อมมีทีท่าดูอ่อนหวานนอบน้อมเสมือนกับเป็นนางเอกทุกกระเบียดนิ้ว คำพูดถ่อมตัวของเต๋อเฟยจึงทวีความเป็นหญิงสาวผู้แสนดีซึ่งยอมให้ตนเองถูกเหยียบย่ำอย่างไม่ถือสา หวงโฮ่วกับกุ้ยเฟยพลอยดูคล้ายเป็นตัวร้ายกลาย ๆ เสียแทน เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกำลังจะเสียหน้า และลี่กุนจวิ้นเฉินเห็นดังนั้นจึงยื่นมือเข้าไปช่วยนางในฐานะผู้สนับสนุนซึ่งต้องช่วยเหลือคนกันเองเสมอ “เหตุใดเต๋อเฟยต้องถ่อมตัวเช่นนั้นด้วยเล่า หรือเจ้าจะหาว่าเจิ้นสติไม่ดีหรือไร ถึงได้แต่งตั้งเจ้ามาเป็นเต๋อเฟย” คำพูดของลี่กุนจวิ้นเฉินเป็นผลให้เต๋อเฟยตระหนักได้ว่าตนเองกล่าวอะไรออกไป นางจึงรีบคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นขอความเมตตา “หม่อมฉันมิกล้าเพคะฝ่าบาท” ลี่กุนจวิ้นเฉินหันไปมองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นที่อยู่ข้างกาย เขาเห็นใบหน้าของนางในยามนี้ไร้อารมณ์ แต่ดวงตาหงส์คู่งามกำลังพอใจที่เต๋อเฟยร้อนรน จึงยังไม่รีบร้อนสั่งให้สตรีรูปงามในชุดสีขาวนวลลุกขึ้น ทว่าการตัดสินใจของเขากลายเป็นเรื่องผิดมหันต์ เมื่อแม่เสือได้มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว “ไท่โฮ่วเสด็จ”
已经是最新一章了
加载中