ตอนที่ 9
ร่างเพรียวระหงต้องหยุดกึกและรีบกลืนก้อนน้ำรื้นกลับเข้าไปเมื่อรถสปอร์ตคันหรูสีน้ำเงินเบรคลงกะทันหันห่างจากตัวเธอแค่คืบ มัสมินรู้สึกตกใจเมื่อเห็นประตูข้างคนขับถูกเปิดออกโดยมีร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยนก้าวลงมายืนประชิดร่างของเธอซึ่งรูปร่างอย่างชาวยุโรปข่มหญิงเอเชียให้ดูเล็กไปถนัดตา
“ริค!...”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะรูม่านตาขยายเต็มที่รับภาพอันชัดเจนใต้แสงจันทร์สาดส่องของบุรุษผมสีน้ำตาลเข้มประกายทองซึ่งเธอพบเขาที่ห้องอาหารเมื่อครู่
“คุณยังจำผมได้หรือ...มิวซีอา แล้วนี่รีบร้อนจะไปไหน”
ลอวเรนซ์ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบหากทว่าประกายตากลับกล้าแข็งสวนทางกับท่าทีนิ่มนิ่งนั้น
“นุ่น...เอ้อ...ฉันกำลังจะกลับที่พักค่ะ ขอตัวนะคะ...อุ๊ย!”
มัสมินร้องออกมาเบา ๆ เมื่อแขนเรียวถูกมือหนารั้งเอาไว้ด้วยท่าทีไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ผมจะไปส่ง!”
“ฉันกลับเองได้ค่ะ...โอ๊ย! ริค...ฉันเจ็บนะคะ!”
หญิงสาวร้องดังขึ้นเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบนต้นแขนจากแรงบีบของบุรุษใบหน้าหล่อเหลาทว่าเหี้ยมเกรียมนัก
“ที่ร้องออกมานี่ ไม่อยากไปจริง ๆ รึแค่มารยา...ต้องให้เขียนเช็คให้รึไงถึงจะตกลงใจไปกับผู้ชายคนไหนก็ได้!”
“คุณพูดเกินไปแล้วนะคะ ริค! ฉันจะกลับที่พักของฉัน!”
“คุณยังไปไหนไม่ได้ มิวซีอา! คุณต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้ ต้องไปกับผมเท่านั้น!”
มัสมินตัวปลิวไปตามแรงกระชากซึ่งในที่นั้นไม่มีใครแม้สักคนเดินผ่านไปมา เขาเหวี่ยงร่างของเธอเข้าไปในรถสปอร์ตอย่างไม่ปราณีปราศรัยก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพ้นออกไปจากป้ายแกรนิตขนาดใหญ่ใต้แสงสปอร์ตไลต์ของสวรรค์บนดินอย่างเซลิโน่
มัสมินไม่พูดอะไรกับ เขา คนเคยรักไปตลอดทาง มีแต่ความหวาดหวั่นแล่นจับขั้วหัวใจอันเหน็บหนาว เธอกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ที่รู้ตัวดีว่าอาจแก้ได้ไม่ตก ท่าทีที่เคยนุ่มนวลอ่อนหวานของลอวเรนซ์เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแล้วในตอนนี้
หนุ่มอิตาเลี่ยนคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตั้งแต่เธอพาตัวเองออกห่างจากชีวิตของเขาแลกกับเงินก้อนใหญ่เพื่อยื้อลมหายใจของปัทมาซึ่งเธอไม่เคยบอกลอวเรนซ์เลยว่าน้องสาวของเธอกำลังเผชิญโรคร้ายในระยะวิกฤติ
ทว่าเธอก็ตัดสินใจไปแล้ว เฉือนหัวใจตัวเองทิ้งไปทั้งรู้ก็รู้ว่าเจ็บปวดทุรนทุรายเหลือที่ แต่ทุกอย่างก็น่าจะเหมาะควร ลูกชายมหาเศรษฐีอย่างจิอานนี่ควรมีอนาคตอันงดงามกับคนที่คู่ควรกับเขามากกว่าเธอ
หญิงสาวอยากร้องไห้ทั้งไม่กล้าหันไปมองใบหน้าขึ้งเคียดด้วยครั่นคร้ามต่อความโมโหของลอวเรนซ์ เธอยังคงนึกถึงคำพูดของจิอานนี่ที่กล่าวถึงบุตรชายของเขาและยังจำมันได้ดี
“ลูกชายของผมมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำยังไงผมก็ยังกำราบเขาไม่ลง เขาเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากและหัวแข็งจนไม่เคยอ่อนข้อให้ใครเลยแม้แต่พ่อของเขาเอง ถ้าเขาเชื่ออะไรแล้วก็จะยึดติดกับความเชื่อของตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกว่าเขาจะค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดเป็นเรื่องที่ผิด”