ตอนที่ 4
ครบรอบ 4 ปี จุดเริ่มต้นของความรักของฉัน
รัก..ที่ไม่ต้องการครอบครอง
รัก..ที่ได้แค่แอบมอง
รัก..ที่เห็นเขาสุข ฉันก็สุขใจ..
ถ้าย้อนกลับไปได้ ฉันก็จะยังเดินไปยังซอยนั้นเหมือนเดิม..
ฉันปิดสมุดสีหวานแหววเล่มโปรดวางไว้ข้างกาย ก่อนจะทอดสายตามองไปยังริมน้ำของสวนในมหาลัยด้วยสายตามีความสุข
เวลามันผ่านไปเร็วมาก รู้ตัวอีกที บันทึกที่ฉันเขียนเกี่ยวกับเขาเล่มนี้ ก็เหลือหน้าเปล่าเพียงแค่ไม่กี่หน้า อาจจะมองว่า 4 ปี สมุดเพิ่งหมดเหรอ ใช่แล้วล่ะ เพราะฉันได้แต่แอบมองดูเขาเท่านั้น เรื่องราวที่เขียน จึงมีเฉพาะโมเมนต์สำคัญ วันที่ฉันคิดถึงเขา เหตุการณ์ที่บังเอิญเจอเขาหรือเรื่องราวที่ฉันได้รู้เกี่ยวกับเขา ฉันถึงจะจดลงในเล่มนี้ เหมือนอย่างเช่นวันนี้ วันที่ครบ 4 ปี ที่ฉันเจอเขา
ตึกบริหารอยู่ข้างๆ ตึกเรียนฉันแค่นี้เองและนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันเลือกเรียนคณะนี้ด้วย มาคิดๆ ดูแล้วฉันก็เป็นเอามากเหมือนกันนะเนี่ย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตั้งแต่เรียนมา ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาที่ตึกเรียนเลยสักครั้ง คงเป็นเหมือนที่ใครๆพูดกัน เฮียเคและเพื่อนๆ แทบไม่เข้าเรียน แต่เอาเวลาไปบริหารจัดการกิจการตัวเองซะมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังได้ A ทุกวิชาอยู่ดี
“Rrr Rrr”
“[ยัยพลอย ตอนนี้แกอยู่ไหน]” ยังไม่ทันที่ฉันจะเอื้อนเอ่ยคำทักอะไรไป ยัยลูกศรก็พูดสวนมาทันที
“อยู่ตรงสวนหลังตึกเราไง ทำไมเหรอ”
“[ไอ้บ้า ไปทำอะไรตรงนั้น วันนี้มีประชุมนะเว้ย]”
เฮ้ย!! ฉันลืมไปซะสนิท ฉันเลยยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา ซึ่งมันบ่งบอกว่าอีกสิบห้านาทีก็ถึงเวลาประชุมแล้ว
“เฮ้ยแก ฉันลืม เดี๋ยวฉันรีบไปเลย” หลังวางสายฉันก็ลุกขึ้นวิ่งไปในทันที
ฉันและเพื่อนในกลุ่ม เป็นตัวแทนของคณะ เพื่อร่วมช่วยจัดงานใหญ่ของมหาลัย SIANTA ที่จะเกิดขึ้นในทุกปี งานนี้จะจัดขึ้นอีกสามเดือนและวันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มประชุม ฉันจะไปสายไม่ได้ ฉันรีบวิ่งจนสุดแรงเกิด เพื่อไปยังหอประชุมมหาลัย ซึ่งมันไกลจากที่นี่พอสมควร
สุดท้ายฉันก็สายจนได้
พรึบ!
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ทั้งห้องก็มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว
“ขอโทษค่ะ” ฉันมองกวาดไปรอบห้อง จนเห็นยัยเกรวี่กวักมือเรียกฉันอยู่ไกลๆ ฉันเลยเดินไปหามันทันที
“เพิ่งรู้นะคะ ว่าน้องพลอยใส คนดัง ที่แท้เป็นคนแบบนี้นี่เอง หึหึ”
พี่ยีนส์ ประธานของกิจกรรมครั้งนี้ พูดออกไมค์ขึ้นมา จนทำให้ทุกสายตามองมาที่ฉันเป็นทางเดียวอีกครั้ง
ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่ฉันรู้สึกได้ในหลายๆ ครั้งว่าพี่ยีนส์มักจะมองฉันด้วยสายตาเย้ยหยัน และพูดจาถากถางฉันเสมอเหมือนเช่นตอนนี้
“เป็นคนยังไงเหรอคะ!!” เสียงยัยศรพูดโพล่งขึ้นมาทันที พร้อมกับจ้องไปยังพี่ยีนส์ไม่ลดละ ทำให้ฉันต้องรีบหันไปส่งสายตาตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่งสายตาให้มันใจเย็นแทน
“ก็.. เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบและไม่ตรงต่อเวลา ยังไงล่ะคะ” พี่ยีนส์พูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันฉันสุดๆ
ฉันไปทำอะไรให้พี่ยีนส์เกลียดฉันเนี่ย ฉันยังนึกไม่ออกเลย
“พลอยไ..”
“เออ ขอโทษทุกคนอีกครั้งนะคะ พลอยผิดเองค่ะ” ฉันรีบพูดแทรกยัยศรที่กำลังลุกขึ้น จะพูดออกไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ มันแล้วฉุดมือให้มันนั่งลงมาด้วยกัน
ส่วนเพื่อนๆ ฉันก็มองหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่พอใจใส่พี่ยีนส์ ฉันได้แต่แตะมือพวกมันเบาๆ ให้ปล่อยไป เพราะครั้งนี้ฉันผิดจริง
“เอาละ งานครั้งนี้ เราต้องมี..บลาๆๆ.” จากนั้นพวกเราก็คุยงานกันค่อนข้างยาวนานเลยทีเดียว เนื่องจากว่า มันเป็นการประชุมครั้งแรก เพราะฉะนั้นยังไม่มีการแบ่งหน้าที่และความชัดเจนในกระบวนการทำงาน รวมถึงเสียเวลาไปกับการแนะนำตัวและแบ่งงานกันพอสมควร
กว่าการประชุมวันนี้จะเสร็จ ก็ปาไปสามทุ่มแล้ว พอเดินออกมาฉันก็เห็นพื้นเปียกเล็กน้อย สงสัยว่าช่วงระหว่างประชุมฝนคงตกสินะ
“โอ๊ยย ถ้ารู้ว่าต้องประชุมมาราธอนอย่างนี้นะ ฉันไม่รับอาสามาทำงานนี้หรอก เหนื่อยชะมัด” ยัยศรพูดทันทีที่เราเดินออกมาจากห้องประชุม
“แหมม ไม่ใช่แกเหรอ ที่ลากพวกฉันมา บอกว่าถ้ามาทำงานตรงนี้มีโอกาสจะได้เจอพี่เคตัวเป็นๆ” ยัยมินหันไปพูดใส่ยัยศรทันที
เหตุผลที่พวกเราสี่คนเป็นตัวแทนคณะ ก็เพราะยัยศรตามที่มินมันพูดนั่นล่ะ ก็เพราะว่ามหาลัยนี้เป็นของเฮียเคไงล่ะ งานใหญ่ระดับมหาลัยขนาดนี้ ยังไงซะเฮียเคก็ต้องมาร่วมงานด้วย แต่จากที่คุยงานวันนี้ ก็รู้แล้วว่าพวกเราคิดผิด นอกจากจะไม่มาประชุมแล้ว พี่ยีนส์ยังประกาศบอกกลางที่ประชุมว่า เฮียจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับงานนี้แม้แต่น้อย คงเพราะเห็นในห้องประชุมมีแต่สาวๆ ทั้งนั้น เลยพูดออกมาและมันก็เป็นเรื่องจริง เพราะหลังประกาศไปแบบนั้น เสียงโวยวายอย่างเสียดายก็เกิดขึ้นกันทั่วห้อง รวมถึงฉันด้วยที่แอบร้องอยู่ในใจ
“ว่าแต่ แกรู้สึกม่ะ พี่ยีนส์ดูเกลียดยัยพลอยยังไงชอบกล” อยู่ๆ ยัยมินก็แสดงความคิดออกมา ซึ่งฉันว่าใครๆ ก็ดูออก
“เออ ลูกชะนี ไปทำอะไรให้นางไม่พอใจมาป่ะ”
“เปล่านะ ฉันก็เพิ่งรู้จักพี่เขาตอนงานนี้พร้อมพวกแกมั้ยละ!”
“เออ ก็จริง สงสัยคงอิจฉาแกมั้ง ดูจากการกระแทกเสียงและคำพูดตอนที่แกมาสายสิ อิจฉาชัวร์” ยัยเกรวี่เอ่ยสันนิษฐานออกมา ทำเอาทุกคนพยักหน้าตามกัน ยกเว้นฉันที่ได้แต่มองอยู่นิ่งๆ
“โอ๋ๆ พลอยใสของพี่ ไม่ต้องกลัวไปนะ ลูกศรคนนี้จะปกป้องแกเอง” แล้วลูกศรก็ดึงฉันไปกอดไว้
“แหม พวกแก ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซะหน่อย”
“หราาาาา” แล้วทุกคนก็ประสานเสียงมาพร้อมๆ กัน
“ฉันดูเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอออออ” และเหมือนเดิม ทุกคนก็ประสานเสียงพร้อมกันอีกครั้ง
ฉันเลยได้แต่ยิ้มกลับไป ฉันต้องเข้มแข็งแล้วล่ะ จะอ่อนแอให้เพื่อนๆ เป็นห่วงแบบนี้ไม่ได้ คนที่จะปกป้องฉัน ฉันอยากให้เป็นเฮียเคคนเดียวเท่านั้น คิดแล้วก็เขินนน
เอ๊ะ!! อยู่ๆ ฉันก็นึกอะไรได้ ฉันรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วควานหาทุกซอกทุกมุมในกระเป๋าทันที
“เป็นอะไรแก หาอะไรอ่ะ” ตอนนี้ใครพูดอะไรมาฉันไม่ได้สนใจแล้ว
“พวกแกกลับไปก่อนเลยนะ ฉันขอตัวก่อน” ฉันพูดจบไม่รอฟังเสียงพูดหรือเสียงเรียกของเพื่อนแม้แต่น้อย
ฉันได้แต่วิ่ง วิ่ง วิ่งเท่านั้น วิ่งเร็วยิ่งกว่าตอนมาประชุมซะอีก
ตอนนี้หัวใจฉันตกลงไปที่ตาตุ่ม สมองเลอะเลือนไปหมดแล้ว
ฉันลืมสมุดไว้ที่สวนหลังคณะ!
สมุดเล่มนั้นจะยังอยู่ที่เดิมมั้ย แล้วเมื่อกี้ฝนตกหนักหรือเปล่า ตรงนั้นจะตกเหมือนตรงนี้มั้ย แล้วถ้าตกสมุดเล่มนั้นก็ต้องเปียกสิ แต่เอาเถอะ เปียกก็ยังดีกว่ามีคนเก็บไป
ตรงนั้นไม่ค่อยมีใครไปสักเท่าไร ยังไงมันต้องยังอยู่ละหน่า ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ ระหว่างวิ่งไปด้วยใจที่ร้อนรน
“แฮ่กๆๆ”
ในที่สุด ฉันก็วิ่งมาถึงตรงที่ฉันเคยนั่งอยู่ ฉันหอบไปมาด้วยความเหนื่อยล้า แต่ฉันไม่สนใจ ฉันหอบไปพร้อมควานหามือถือไป ก่อนที่จะเปิดไฟฉายส่องบริเวณที่ฉันนั่งก่อนหน้านี้ทันทีและภาพที่เห็นนั่นทำให้ฉันถึงกับเข่าทรุด
สมุดฉันหายไปแล้ว!!!!
K Part
วันนี้ผมต้องเข้ามาเซ็นเอกสารสำคัญของมหาลัย ผมก็เลยลงพื้นที่จริง เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย บรรยากาศ สิ่งที่ควรปรับปรุงของมหาลัยตัวเองซะหน่อย
ผมมองว่า การเรียนที่ดีและมีประสิทธิภาพนั่น ย่อมมาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างเช่นกัน ถ้าบรรยากาศดีน่าเรียน น่านั่ง นักศึกษาก็จะมีความสุขที่ได้มาเรียน ได้มานั่งพูดคุยกันภายในรั้วมหาลัย
ผมเดินไปดูตรงสวนริมน้ำหลังตึก ที่เชื่อมต่อกับตึกวารสารศาสตร์ข้างๆ ที่ปกติแล้วแทบจะไม่มีผู้คน ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะบริเวณนี้ไม่ได้รับการดูแลสักเท่าไร ทั้งๆ ที่บรรยากาศตรงนี้ดีใช้ได้เลยทีเดียว ค่อนข้างร่มรื่นและสบายตา
ถ้าตรงนี้มีโต๊ะนั่งเพิ่มอีกสัก 10 ชุด ก็น่าจะดี
ระหว่างที่ผมกำลังประเมินกับสภาพแวดล้อมในบริเวณนี้อยู่นั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นสมุดเล่มสีชมพูจี๊ดจ๊าดวางอยู่ตรงพื้นหญ้าริมน้ำ
ผมเดินไปใกล้ๆ พร้อมหยิบขึ้นมาดู
หน้าปกของสมุด มีการเอาสติ๊กเกอร์ ทั้งแมว ทั้งดอกไม้ และรูปอื่่นอีกมากมาย มาแปะไว้ พร้อมรอยขีดเขียนด้วยสีสรรสดใส ทำให้สมุดเล่มนี้ดูหวานแหววขึ้นมาทันตาและไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของเล่มนี้เป็นเพศอะไร
ผมชั่งใจอยู่นานว่าจะเปิดดูดีหรือไม่ เนื่องจากบางทีอาจจะเป็นของส่วนตัวของเจ้าของไม่อยากให้ใครมาเปิดดูก็ได้
แต่ใครละคือเจ้าของ
ผมมองซ้ายมองขวาแถวๆ นี้ ก็พบว่าไม่มีผู้คนเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างที่บอกไป ตรงนี้ไม่มีใครให้ความสนใจสักเท่าไร
เห็นทีผมต้องบูรณะบริเวณตรงนี้ใหม่ซะแล้วล่ะ อย่างน้อยก็มีเจ้าของสมุดเล่มนี้คนหนึ่ง ที่ยังสนใจบริเวณตรงนี้อยู่บ้าง
ผมคิดอยู่สักพักและก็ตัดสินใจจะวางสมุดลงทีเดิม เผื่อเจ้าของกลับมาหามัน
ครื้น ครื้น
เสียงท้องฟ้าที่ดังกระหึ่ม ทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองท้องฟ้า ก่อนจะพบว่าสีท้องฟ้าบัดนี้มันกลายเป็นมืดครึ้มและบ่งบอกว่าอีกไม่นานเม็ดฝนคงตกลงมาตรงนี้อย่างแน่นอน
ถ้าวางสมุดไว้ที่เดิม มันก็ต้องเปียก
คิดได้อย่างนั้นผมเลยเลือกที่จะเปิดดูเนื้อหาใจความสำคัญในสมุดดู เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไป มันอาจจะเป็นแค่สมุดจดเลคเชอร์ธรรมดาก็ได้
You’re my Hero
รูปภาพ
เอ๊ะ!! ทำไมถึงมีรูปผมอยู่ในสมุดเล่มนี้และที่สำคัญเป็นรูปตั้งแต่ผมอยู่มัธยม
ฉันไม่ได้จับมือเขา
ฉันไม่ได้ถูกโอบกอดโดยเขา
ฉันไม่ได้เดินข้างๆ เขา
ฉันทำเพียงแค่เดินตามหลังเขา แต่ทำไมถึงฉันถึงได้รู้สึกโดนปกป้อง รู้สึกปลอดภัย และอบอุ่นในหัวใจอย่างนี้ ... หรือนี่ มันคือ..ความรัก
รักแรกของฉัน ..เฮียเค
♥~(◠‿◕✿)
ผมอ่านประโยคที่บรรจงเขียนด้วยลายมือสวยก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนหน้าเป็นหน้าถัดไป แต่แล้วหยดน้ำที่ล่นมาจากฟ้าที่มาสัมผัสโดนมือผม ทำให้ผมต้องรีบปิดสมุดแล้ววิ่งไปจากตรงนี้ทันที ด้วยคำถามที่ก้องอยู่ในหัว
เฮียเค..เหรอ?
ใครคือเจ้าของสมุดเล่มนี้กันนะ?