ตอนที่ 8   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 8
“น้องพลอย นี่คุณเคเจ้าของ GBrain และเป็นพี่ชายของคุณคินนะ พอดีวันนี้คุณคินติดธุระด่วนเลยมาดูงานไม่ได้ คุณเคเลยมาดูแทน” “คุณเคคะ นี่น้องพลอยใส ที่จะมาแสดงการประดิษฐ์ของในงานวันนี้ค่ะ” “ครับ” “งั้นกิ่งขอไปดูพิธีกรก่อนนะคะ ใกล้จะเริ่มงานแล้ว พี่ไปก่อนนะน้องพลอย” “ครับ/ค่ะ” ฉันตอบรับไป แต่ในใจกลับคิดว่า พี่กิ่ง อย่าไปปป อย่าทิ้งหนูปายยย หลังพี่กิ่งออกไป ฉันค่อยๆ หันไปมองเฮียแป๊บนึง ก่อนจะส่งยิ้มที่อาจจะดูฝืนๆหน่อยส่งให้ไป ส่วนเฮียก็หน้านิ่งตอบกลับมา ไร้รอยยิ้มมิตรไมตรีใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นก็คือหน้าปกติของเขา เขาจะจำฉันได้มั้ยนะ ที่วันก่อนเลือดกำเดาไหลกลางลานสระว่ายน้ำนั่น ขอให้จำไม่ได้ทีเถ๊อะะะ “งานนี้รบกวนด้วย ขาดเหลืออะไรแจ้งคุณกิ่งได้นะครับ” เฮียเคพูดขึ้นมานิ่งๆ ถึงแม้จะไม่มีรอยยิ้มใดๆ ฉันก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจในการทำงานแทนน้องชายของเขา โอเค เขาคงจำฉันไม่ได้ “คะ ค่ะ” “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เฮียเคพูดออกมาอีกครั้ง พร้อมเดินออกจากตรงนี้ไป ทิ้งให้ฉันยืนกุมหัวใจอยู่ตรงนี้คนเดียว ตึกตัก ตึกตัก ตอนนี้หัวใจฉันเต้นรัวยิ่งกว่ากลองแน่ๆ K Part “ผมสอบเสร็จแล้ว กำลังเข้าไปที่งาน อย่าเพิ่งกลับก่อนนะเฮีย” เสียงปลายสายจากน้องชายตัวดีของผมพูดออกมา เพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังกลับมารับผิดชอบงานที่มันโยนมาให้ผมเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนอยู่ๆ มันก็โทรมาหาผม แล้วบอกให้ผมมาดูงานนี้ให้หน่อย มันลืมไปว่าวันนี้มันติดสอบ!! แต่นึกว่าผมจะเชื่อมันเหรอ งานใหญ่ขนาดนี้และมันก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่ดูตารางเวลาตัวเอง แต่เอาเถอะ มันคงมีเหตุผลจำเป็น ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้มันด้วย ตอนนี้ผมอยู่ในงานกำลังดูความเรียบร้อยของงานที่ไอ้คินมันจัด ซึ่งทุกอย่างก็ดูลงตัวเรียบร้อยดีทุกอย่าง งานนี้เป็นโปรเจคใหญ่ของมันที่จะพิสูจน์ให้แด๊ดกับม๊าเห็นว่ามันไม่ใช่เด็กเที่ยวเล่นไปวันๆ ถ้าไม่ติดเรื่องที่มันทิ้งงานให้ผมมาดูให้ ผมถือว่างานนี้มันทำได้ดีเลยทีเดียว ดูจากผลตอบรับของงานนี้ มันคงได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยเชียวละ “หนูชื่ออะไรคะ...น้องน้ำหวานเนอะ...แล้วหนูละครับ...เด็กชายพอลนะครับ ..วันนี้รู้มั้ยวันนี้เราจะมาทำอะไรกันบนนี้..” ตอนนี้ผมยืนมองผู้หญิงคนนั้น ที่เจอข้างหลังเวทีเมื่อสักครู่ กำลังทำกิจกรรมอยู่บนเวทีกับเด็กๆ ราว 6 คน ตอนแรกที่เจอ ผมก็ตกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่เลือดกำเดาไหลเมื่อวันก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าเธอคิดว่าผมจะจำเธอได้ เธอก็เลยดูประหม่า แล้วก็เขินจนหน้าแดงไปหมด ผมเลยพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจโดยบอกให้เธอทำงานออกมาให้ดีและไม่พูดถึงประเด็นเรื่องวันก่อน ทำให้ดูเหมือนว่าผมจำไม่ได้ เธอจะได้ไม่ต้องอาย ตอนแรกผมคิดว่าเธอคงตื่นเต้นกับงานครั้งนี้เสียอีก ทำให้ผมแอบหวั่นๆ ว่าเธอจะทำงานไอ้คินพังหรือเปล่า แต่พอขึ้นเวที เธอกลับดูเป็นธรรมชาติสุดๆ รวมถึงชวนเด็กๆพูดคุยอย่างลื่นไหล ช่วงหนึ่งมีเด็กหนึ่งในนั้น จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา เพราะโดนแย่งอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ไป แต่เธอก็ชวนพูดคุยและเล่นกับเด็กจนเด็กน้อยลืมเรื่องที่ทำให้ร้องไห้ไปและกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าต่อ รวมถึงเธอจะคอยสังเกตการแย่งของกันจากเด็กๆ และจัดระยะห่างเด็กให้ใหม่ได้อย่างแนบเนียน ทำให้บนเวทีตอนนี้ ทุกอย่างดูลื่นไหลและเป็นภาพที่น่ารักในสายตาของผู้ชมข้างล่าง ผมไม่เคยดูที่เธอถ่ายคลิปอะไรนั่นหรอก แต่ดูแล้วเธอน่าจะดังอยู่พอสมควร ดูจากแฟนคลับเด็กๆ กับผู้ปกครองที่มางานนี้ด้วย และเสียงชื่นชมหนาหูในขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มาหลายนาที “...มองไม่วางตาเลยนะเฮีย” ขณะที่ผมมองไปบนเวทีเพลินๆ อยู่นั่น เสียงไอ้คินก็ดังมาปลุกผมออกจากภวังค์ “บนเวทีน่ะ ชื่อพลอยใส ..เฮียคิดว่าไง” ผมหันไปเลิกคิ้วกับคำถามที่มันถามผมก่อนที่จะตอบด้วยเสียงนิ่งๆ กลับไป “ก็เก่งดี คุมเวทีอยู่ งานแกถือว่าผ่าน” “อืม..เรื่องเก่ง ผมยอมรับจริงๆ คอนเซ็ปที่ให้เด็กๆ มาร่วมกิจกรรมบนเวทีนั่น ความคิดของเธอหมดเลยนะ รวมถึงพวงกุญแจที่แจกในงานด้วย“ อืม ... ผมได้แต่รับรู้ในใจเงียบๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเห็นอย่างนี้ก็ไม่คิดว่าจะมีความคิดใช่ย่อย ผมรู้สึกชอบตั้งแต่ที่มีแจกพวงกุญแจในงานแล้ว มันเหมาะกับเด็กที่อยากให้มีความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเอาชื่อแบรนด์ของเราติดไว้แล้วนำใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันอีกด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นความคิดของเธอนั่นเอง แต่ก็ไม่แปลก เพราะตอนเธอไปยืนแจก ดูเธอทะมัดทะแมงและช่วยเลือกสรรให้เด็กเล็กเด็กใหญ่ประดิษฐ์กันออกมาอย่างสบายๆ ตอนที่เธอไปยืนตรงจุดแจกของ เสียงตอบรับของคนที่จะมารับของแจกถล่มทลายมาก จนวัสดุในการทำหมดตั้งแต่ชั่วโมงแรกเลยทีเดียว แต่พอของหมด เธอก็เปลี่ยนเป็นยืนถ่ายรูปกับบรรดาแฟนคลับตัวน้อยแทน พร้อมชูป้ายที่โดนตัดคัดเอ้าท์ของสถาบันติวเตอร์ต่างๆ ไปด้วย ทำอย่างกับตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ให้บริษัทไอ้คินงั้นละ “แต่ที่ผมถามว่าเฮียคิดว่าไง ผมไม่ได้หมายถึงว่า เธอทำงานออกมาดีรึเปล่า แต่ผมหมายถึง เฮียคิดว่าเธอพอจะมาเป็นพี่สะใภ้ให้ผมได้รึเปล่า” ผมทำเพียงหันไปมองมันที่ส่งสายตาแบบมีเลศนัยแปลกๆ มาให้ผมก่อนจะหันกลับมาที่หน้าเวทีเช่นเดิม “ฮัลโหลลล เฮียเคอยู่ตรงนี้มั้ย หรือผมอยู่คนเดียวนะ” “ไร้สาระ งั้นก็ดูงานต่อแล้วกันนะ เฮียกลับละ” “เดี๋ยวสิเฮีย ผมเพิ่งมาเอง ยังไม่รู้เลยมีปัญหาอะไรตรงไหนบ้าง เฮียอยู่กับผมก่อนสิ” “ไม่มีปัญหาอะไร แล้วถ้าแกอยากรู้อะไรเพิ่มก็ไปถามคุณกิ่งเอาแล้วกัน” “อยู่ด้วยกันก่อนนะเฮีย เดี๋ยวงานก็จบแล้วเนี่ย ผมว่าจะชวนคุณพลอยใสไปเลี้ยงขอบคุณซะหน่อย” “แล้วทำไมฉันต้องอยู่” “ถ้าผมไปสองคน ก็น่าเกียจแย่เลยดิ เฮียไปเป็นเพื่อนผมน่ะดีแล้ว” “แล้วฉันจะได้อะไร?” “เห้อ.. เบื่อจริงๆ เลยมีพี่เป็นนักธุรกิจ ...เอาเป็นว่าถือว่าผมเลี้ยงขอบคุณเฮียที่มาช่วยงานแทนผมละกัน ตามนี้นะครับ เฮียที่เคารพรัก...ผมแวะไปถามงานคุณกิ่งก่อนดีกว่า ไปละ” ไอ้คินมันพูดยาวเหยียดและเดินก้าวออกไปจากตรงนี้ทันที ทำให้ผมต้องยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้กลับอย่างที่บอกมันไว้ตั้งแต่ต้น ก่อนจะหันไปมองภาพบนเวทีอีกครั้ง “แต่นแต๊นนน ไหนลองบอกพี่พลอยหน่อยสิคะ อันนี้มันคืออะไรเอ่ย ศิลปินคนใหม่...ฮ่าๆๆ...ดูสิพ่อแม่ใครน้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่...เก่งมากเลยครับ” พลอยใสหรอ..อืม... เท่าที่ผมสังเกต เธอดูเป็นผู้หญิงที่สดใส ร่าเริง ยิ้มและพูดคุยได้ตลอดโดยไม่เบื่อและไม่พักเลย ไม่ว่าจะตอนอยู่จุดแจกของหรือบนเวทีตอนนี้ ซึ่งมันช่างแตกต่างจากตอนที่คุยกับผมข้างหลังเวทีนั่นจริงๆ Ploysai Part ในที่สุด กิจกรรมวันนี้ก็เสร็จสักที เห้อ..เหนื่อยชะมัด ไม่ใช่เพราะงานที่ทำวันนี้หรอกนะที่ทำให้เหนื่อย การเล่นกับเด็กและประดิษฐ์ของเป็นความสุขและสิ่งที่ถนัดของฉันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เหนื่อยคือสายตาของเฮียเค ที่ยืนมองฉันอยู่ไกลๆ ตลอดเวลาน่ะสิ ฉันต้องคอยหลบสายตาคู่นั้นอยู่ตลอด เพราะมันทำเอาฉันประหม่าไปหลายครั้งเลย ฉันต้องพยายามดึงสติตัวเองกลับมาในสิ่งที่ทำอยู่ด้วยความเหนื่อย แต่สุดท้ายวันนี้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้วสักที ฟู่วว!! “ขอบคุณคุณพลอยมากนะครับ” ฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าคือคินนั่นเอง ไหนบอกว่าติดธุระไม่มางานไม่ใช่เหรอ? “ค่ะ ยินดีค่ะ” ฉันหันไปยิ้มรับ “จะเป็นอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะเลี้ยงขอบคุณคุณสักหน่อย” “เออ ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” “เสียดาย ผมอุตส่าห์อยากจะเลี้ยงขอบคุณคุณพลอยกับคุณกิ่งซะหน่อย ถ้าไม่มีพวกคุณ งานนี้มันคงไม่ออกมาเพอร์เฟคแบบนี้” คินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเสมือนว่าไม่เป็นไรในการปฏิเสธคำชวนของฉัน ตอนแรกฉันเข้าใจว่าเขาอาจจะคิดไม่ซื่อ ฉันถึงได้ปฏิเสธไป แต่ในเมื่อเขาบอกว่าพี่กิ่งไปกินด้วย อันที่จริงคงไม่เป็นไร เพราะนี่ก็ถือว่าเป็นคอนเนคชันที่ดีในอนาคตของฉันเช่นกัน “อืม..ถ้าพี่กิ่งไป ฉันไปด้วยก็ได้ค่ะ” ฉันตอบพลางยิ้มออกไป “เยี่ยมเลยครับ งั้นผมขอตัวไปชวนคุณกิ่งก่อนนะครับ เดี๋ยวหนึ่งทุ่ม เจอกันตรงข้างเวทีนะครับ” คินพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนจะเดินออกจากตรงนี้ไป หลังจากฉันเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกไปรออยู่ข้างเวทีตามที่คินได้นัดไว้ บริเวณนั้นมีเก้าอี้หินอ่อนแนวยาววางอยู่หนึ่งตัว ฉันเลือกที่จะนั่งรอตรงนั้น พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู หกโมงสามสิบห้านาที อีกยี่สิบห้านาทีสินะ ฉันมองดูบรรยากาศรอบข้าง ตอนนี้คนเริ่มแยกย้ายกันกลับไป เหลือเพียงแค่ซากผลงานที่สวยงามแต่ทว่าก็น่ารักตามคอนเซ็ปของงานทิ้งเอาไว้ ระหว่างนั่งรอก็มีบรรดาแฟนคลับของฉันมาขอถ่ายรูปบ้างเล็กน้อย ฉันก็คิดนะ เมื่อปีที่แล้วฉันยังเป็นใครก็ไม่รู้ ที่เดินไปไหนก็ไม่ได้มีใครใส่ใจมากนัก แต่มาตอนนี้ เวลาเดินไปไหนบางคนก็หันมามองฉันแล้วก็หันไปกระซิบกระซาบกัน หรือบางรายก็เดินเข้ามาเพื่อแสดงความชื่นชมในผลงานของฉันตรงๆ พร้อมขอถ่ายรูปหรือบางร้านค้าที่ฉันตั้งใจจะซื้อของ เขาก็ยกให้ฉันฟรีๆ แล้วอย่างตอนนี้ฉันก็ได้มาร่วมงานกับบริษัท MBrain บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มายืนบนเวที แสดงการประดิษฐ์ประดอยเก้ๆกังๆ แล้วคนจะชื่นชอบฉันมากขนาดนี้ มันเป็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของฉันจริงๆ ในระหว่างที่ฉันนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ที่นั่งข้างๆ ฉันที่ว่างอยู่ก็มีใครบางคนนั่งลงทำให้ฉันต้องหันไปมองเพื่อเขยิบให้คนมาใหม่ได้นั่งสบายๆ แต่เมื่อฉันหันไปสบตาคนข้างๆ ก็ทำให้ความคิดที่จะขยับตัวมลายหายสิ้นไป รวมถึงชาไปตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ฉันทำเพียงมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ก่อนจะปรับสายตาพร้อมสติแล้วเปลี่ยนเป็นส่งยิ้มให้เขาไปเบาๆ ฉันพยายามต่อต้านความชาในร่างกายแล้วเขยิบออกไปนั่งชิดริมขอบเก้าอี้ให้มากถึงมากที่สุด จนแทบจะตกเก้าอี้เลยก็ว่าได้ ในสายตาเขาหรือคนอื่น อาจจะคิดว่าฉันรังเกียจ แต่ในความจริงแล้วเป็นเพราะว่าฉันกลัวอยู่ใกล้เขาแล้วฉันจะระเบิดตัวเองตายก่อนน่ะสิ ฉันเลยต้องเขยิบออกมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตึกตัก ตึกตัก ผ่านไปราวห้านาทีแต่เหมือนห้าวัน นอกจากเสียงดนตรีที่ทางห้างเปิดแล้ว ก็ไร้เสียงพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น ฉันเริ่มเกิดความอึดอัดในใจ อยากจะลุกจากตรงนี้ไปแต่ก็ลุกไปไม่ได้ แต่แล้วไม่นานก็มีผู้ช่วยชีวิตฉันเข้ามา ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดนี้มลายหายไป “ใช่หนูพลอยใสเองรึเปล่าคะ” เสียงของคุณแม่สาวสวยคนหนึ่งที่เดินมาใกล้ฉันพร้อมจูงมือเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเข้ามาทักทายฉัน “ใช่ค่ะ พลอยใสเอง” ฉันส่งยิ้มให้กับคนที่เข้ามาช่วยคลายความเงียบในตอนนี้ และคาดว่าจะเป็นแฟนคลับของฉันอีกคน คุณแม่วัยอ่อนส่งยิ้มมาให้ฉัน ก่อนที่จะหันไปมองคนข้างๆ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มที่ขวยเขินพร้อมสายตาเป็นประกายแปลกๆ แต่ไม่นานเธอก็หันมาที่ฉันอีกครั้ง “ลูกของพี่ชอบน้องพลอยมากเลย ดูคลิปทุกคลิปเลยค่ะ” “สวัสดีจ้ะ หนูชื่ออะไรคะ” ฉันส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะก้มลงไปพูดเล่นกับเด็กน้อยตรงหน้าที่มองมาที่ฉันและผู้ชายข้างกายฉันไม่วางตา “เชอร์รี่ค่ะ พี่สองคนเป็นแฟนกันเหรอคะ” เสียงเด็กน้อยใสแจ๋วพูดเจื้อยแจ้วอย่างน่ารัก แต่คำพูดที่พูดมานั้นทำเอาฉันหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที และไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าคนข้างๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร “มะ ไม่ใช่จ้า เออ..หนูเชอร์รี่อยากถ่ายรูปกับพี่มั้ย ถ่ายฟรีไม่คิดเงินแถมยังได้ลูกอมด้วยน้า” ฉันเปลี่ยนสถานการณ์เป็นพูดเรื่องอื่นแทน พร้อมหยิบลูกอมจากกระเป๋ามาเสนอหนูน้อยตรงหน้า “ถ่ายค่ะๆ ม๊าๆ ..ถ่ายรูปหนูกับพี่พลอยกับพี่หน้าหล่อให้หน่อยค่ะ” เด็กน้อยน่ารักที่มาใหม่พูดด้วยเสียงเล็กอย่างใสซื่อพร้อมเดินมานั่งตรงกลางระหว่างฉันและเขาเป็นที่เรียบร้อย! “ถ่ายรูปกันๆ” ฉันหันไปมองเด็กตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องและยังคงพูดจาเจื้อยแจ้วอยู่ ก่อนจะหันไปมองหน้าคนตัวสูงที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ฉันอยู่ตอนนี้ ด้วยสีหน้าเชิงขอโทษปนเขินอายเล็กน้อย ฉันรู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ชอบการโดนถ่ายรูป เขาจะไม่พอใจหรือเปล่านะ “หนูเชอร์รี่คะ พี่คนหล่อเขาไม่สะดวกจะถ่ายรูป ถ่ายกับพี่คนสวยคนเดียวได้มั้ยคะ” ฉันก้มหน้าลงไปพูดเจรจากับเด็กตัวเล็กที่นั่งข้างๆ “ทำไมเหรอคะ ทำไมพี่คนหล่อถ่ายด้วยไม่ได้” เด็กตัวเล็กหันไปถามชายตัวโตด้วยท่าทางที่น่ารักแต่สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ “ถ่ายได้ครับ” อยู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมา พร้อมกับอุ้มเด็กน้อยน่ารักมาไว้บนตักและขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับฉันทันที โอ้ว มาย ก๊อดดดด “เอาละๆ งั้นพี่ถ่ายแล้วน้า มองกล้องๆ” แม่ของเชอร์รี่ยกสมาร์ทโฟนที่ถือรออยู่สักพักแล้วขึ้นมา พร้อมเงยหน้าก่อนจะนับจังหวะยอดฮิตแล้วกดถ่ายรัวๆ หนึ่ง สอง สาม แชะ! แชะ! ฉันพยายามส่งยิ้มไปด้วยความสดใส แต่ภายในใจตอนนี้เต้นรัวเหมือนกลองวงโยธวาธิตทั้งวงมารวมกัน เพราะตอนนี้แขนของฉันสัมผัสกับแขนของเขา ไหล่ของฉันสัมผัสกับต้นแขนของเขา แล้วกลิ่นกายของเขา มันช่างใกล้ตัวฉันเหลือเกิน ฟืดดดดด หอมมมมม กรี๊ดดดดดด “เออ หนูเชอร์รี่คะ พี่ว่าได้รูปพอสมควรแล้วเนอะ เด็กดีต้องไม่รบกวนคนอื่นนะคะ มาๆ มาหาพี่พลอยดีกว่า” ฉันเห็นว่า ได้รูปไปเยอะพอสมควรแล้วและเกรงใจผู้ชายตัวโตข้างๆ เลยหันไปพูดกับเด็กจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่บนหน้าตักแกร่งนั่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หนูรบกวนพี่คนหล่อเหรอคะ” เชอร์รี่เงยหน้าไปมองใบหน้าของคนที่เป็นเก้าอี้จำเป็น ก่อนจะเอ่ยประโยคใสซื่อออกมาด้วยความน่าเอ็นดู “ไม่ครับ พี่คนสวยคงเข้าใจผิดน่ะครับ” อร๊ายยยยยยย อะไรคือการที่เฮียเคเรียกฉันว่า พี่คนสวย แล้วอะไรคือการที่ฉันเห็นเฮียเคยิ้มละมุนในระยะใกล้แบบนี้ แม้จะไม่ได้ยิ้มให้ฉันก็เถอะ!! “เชอร์รี่ มาหาแม่มา ...แล้วพี่จะติดตามผลงานน้องพลอยไปเรื่อยๆ นะคะ“ แม่ของเชอร์รี่พูดออกมาพร้อมอุ้มเชอร์รี่กลับไป และก่อนสองแม่ลูกจะออกจากตรงนั้นไป ก็ไม่วายทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ฉันอีก “ทั้งคู่เหมาะสมกันดีนะ ขอให้จีบน้องพลอยสำเร็จเร็วๆ นะคะ” “บัยๆๆ” เสียงเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้ว พร้อมยกมือส่งจูบและบายๆ ฉันอยู่ตรงนั้น ส่วนฉันก็ได้แต่ยกมือเหมือนหุ่นยนต์ตอบกลับไป เพราะตอนนี้สมองฉันมันอื้อไปหมดแล้วและถ้าฉันเป็นหุ่นยนต์จริงๆ ฉันว่าอีกไม่กี่นาที หุ่นยนต์ตัวนี้ต้องบอมบ์ตัวเองทิ้งแน่นอน เนื่องจากความร้อนในร่างกายและใบหน้าที่มันมากเกินไป เขาเขยิบตัวออกไปนั่งในตำแหน่งเดิมอีกครั้งและแล้วบรรยากาศความเงียบก็กลับมาเหมือนเดิม ฉันได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาคงยอมให้ถ่ายเพราะตามใจเด็กเท่านั้น แต่ยังไงถ้าไม่ใช่เพราะฉันเขาคงไม่ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้ นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจที่จะเริ่มพูดกับเขาออกไป “ขอโทษนะคะ ที่ฉันทำให้คุณต้องลำบาก” “ลำบาก?” แต่เขากลับตอบฉันกลับมานิ่งๆ พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “อะ เออ ก็ปกติคุณไม่ชอบให้ใครถ่ายรูป” หลังฉันพูดจบ เฮียเคก็เลิกคิ้วขึ้นมากกว่าเดิม อาจจะเพราะสงสัยว่าฉันรู้ได้ไง ก็แหงล่ะสิ เขาเพิ่งเจอฉันวันนี้นี่เองและเขาก็คงคิดว่าฉันก็เพิ่งเจอเขาวันนี้เช่นกัน “เออ ฉันเห็นคุณทำหน้านิ่งตลอด เลยคิดว่าคุณน่าจะไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปน่ะค่ะ” “นั่นสิ” นั่นสิทำไมให้ถ่าย? นั่นสิหน้านิ่งเลยดูเหมือนคนไม่ชอบถ่ายรูป? นั่นสิ?? นั่นสิอะไร?? ฉันเลยขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรกลับมาจนกระทั่งมีเสียงสายโทรเข้าของเขาดังแทรกเข้ามา ติ๊ด ติ๊ด เขาหยิบมือถือมากดรับสายทันที “อืม..อยู่” เฮียหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าต่อ “งั้นยกเลิก...กูไม่ไปแล้ว..เห้อ!!..เออๆ..ไอ้น้องเวร” กรึก เฮียวางโทรศัพท์ก่อนจะหันมามองหน้าฉัน “ไอ้คินมันติดคุยงานกับคุณกิ่งอยู่ มันเลยให้ฉันพาเธอไปรอในร้านที่จองไว้ก่อน” เฮียพูดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเดินออกไป ส่วนฉันน่ะเหรอ วิญญาณออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ระหว่างนี้ ฉันต้องเดินไปร้านอาหารกับเขาสองคน หมายความว่า ฉันต้องรอสองคนนั้นบนโต๊ะอาหารกับเขาสองคน หมายความว่า ฉันจะได้กินข้าวกับเขา..ถึงไม่ใช่สองคน แต่นั่นก็มีเฮียเคอยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย!! กรี๊ดดดดด..!! รอหนูด้วยค่ะเฮียยยยย
已经是最新一章了
加载中