ตอนที่ 9   1/    
已经是第一章了
ตอนที่ 9
“มาแล้วๆ รอนานมั้ย” เสียงไอ้คินน้องชายตัวดีของผม ที่เดินยิ้มกวนตีนมาก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนผู้หญิงตรงหน้าที่นั่งกับผมมาสักพักแล้ว ก็ทำเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้มันพร้อมกับหน้าที่คล้ายสีแดงแต่ยังติดอมชมพูอยู่ “พอดีกิ่งต้องสรุปงานกับทางทีมงานก่อน เลยช้าไปหน่อย ขอโทษด้วยนะคะ” “ไม่เป็นไรค่ะ”  ไหนก่อนหน้านี้บอกว่าจะมากินกับพลอยใสสองคน แล้วทำไมคุณกิ่งมาด้วยวะ? มันหลอกผมสินะ ไอ้น้องเวร! “เราทำถูกแล้วที่ส่งสองคนนี้มาก่อน มาปุ๊บได้กินปั๊บเลย ไม่ต้องรออาหาร” ไอ้คินพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางผม แล้วลงมือเปิดอาหารตรงหน้าทันที จากนั้น พวกเราก็กินอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ พร้อมกับพูดคุยกันบ้างเล็กน้อย ส่วนมากก็จะเป็นไอ้คินและคุณกิ่งซะมากกว่าที่เล่าประสบการณ์การทำงาน ส่วนผมก็คุยบ้างเล็กน้อย เพราะไอ้คินมักจะโยนเรื่องความสามารถในการบริหารงานมาให้ผมพูดอยู่เป็นระยะๆ น่าแปลกใจทำไมเวลาอยู่กับผม ผู้หญิงที่ชื่อพลอยใสจะไม่ค่อยพูดอะไรสักเท่าไร แต่กับไอ้คินหรือคุณกิ่ง เธอจะคุยเป็นธรรมชาติได้อย่างน่ารัก จนบางทีผมเองก็เผลอมองไปบ่อยๆ อย่างตอนที่เธอคุยกับเชอร์รี่ แฟนคลับวัยจิ๋วของเธอ เธอดูน่ารักและน่าเอ็นดู ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่เธอคุยด้วยเลย ซึ่งมันทำให้ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมผมต้องยอมถ่ายรูปกับเธอและเด็กน้อยคนนั้นด้วย ปกติผมไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปตามที่เธอสันนิษฐานมานั้นแหละ อืม..อาจจะเป็นเพราะผมอยากตัดรำคาญเด็กน้อย ที่ไม่แน่ว่าเธออาจจะเซ้าซี้ผมให้ผมถ่ายรูปด้วยละมั้ง ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ มันคงเป็นเหตุผลนี้สินะ ว่าแต่ผมจะพูดถึงเธอทำไมกันนะ “สั่งของหวานกันมั้ยครับ” เมื่อของคาวหมดแล้ว ไอ้คินก็พูดขึ้นมาและเป็นเหตุให้พลอยใสก้มหน้าก้มตาลงไปทันที ซึ่งผมก็รู้ดีว่าเพราะอะไร มันทำให้ผมเผลอที่จะยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ “เก็บเงินเลยดีกว่า” ผมพูดออกไป เพื่อช่วยคนตรงหน้าผมตอนนี้ ที่ไม่ยอมเงยหน้ามองใครเลย โดยเฉพาะผม จากนั้น ไอ้คินมันก็จ่ายเงิน ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป  “พลอยใสน่ารักดีเนอะเฮีย” ไอ้คินพูดพร้อมทำหน้ายียวนขึ้นทันที หลังจากที่เราทุกคนแยกย้ายกันหลังจากทานอาหารเสร็จ  คุณกิ่งและพลอยใส เดินไปลานจอดรถอีกทาง ส่วนผมกับไอ้คิน จอดตรงโซน VIP ของห้างนี้ เพราะห้างนี้เป็นของไอ้ไนท์ ผมก็เลยได้สิทธิ์ตรงนี้ด้วย “เลิกคิดซะ” “เฮียคิดว่าผมคิดอะไรอยู่เหรอครับ” ไอ้คินพูดพร้อมส่งสายตาวิบวับมาทางผมเหมือนเดิม “จับคู่?” ผมหันไปพูดแล้วมองหน้ามันนิ่งๆ  ผมเริ่มรู้สึกได้ตั้งแต่มันบอกให้ผมไปนั่งรอข้างเวทีแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติมันชอบให้ผมอยู่ช่วยงานมัน เพราะจะได้ขอคำแนะนำจากผม เหมือนคอนเซ็ปงานนี้หลายๆอย่าง ที่มันเอามาเสนอและขอคำแนะนำจากผมบ่อยๆ แต่พอเดินไปข้างเวทีผมถึงได้เข้าใจ แล้วไหนจะมุขที่มันบอกว่าจองอาหารแล้วให้ผมไปรอที่ร้านก่อนอีก ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นก็แปลก ไม่รู้จะนั่งชิดเก้าอี้จนจวนจะตกอะไรขนาดนั้น แล้วยังจะเรื่องที่เธอทำเมื่อกี้ตอนรอคุณกิ่งกับไอ้คินอีก แต่ก็นะ ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันนี้เธอทำให้ผมเผลอยิ้มไปหลายครั้งแล้ว “เกลียด มีพี่ชายฉลาด..แต่ซ้อพลอยคนนี้ ผมว่าเหมาะกับเฮียดีนะ” ซ้อพลอย? ดูมันกวนตีน น้องผมนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเพื่อนเวรของผมเลยสักนิด  “ทำไม?” ผมก็แปลกใจนะ ทำไมต้องถามมันกลับด้วย ปกติผมควรจะปล่อยให้มันพล่ามไปคนเดียว “ดูอ่อนแอแต่ก็เข้มแข็ง ดูใสซื่อแต่ก็ฉลาด เหมาะกับเฮีย ที่ดูแข็งกร้าวแต่ก็อ่อนแอ ดูฉลาดแต่ก็ซื้อบื้อ” “ว่ากู?” “ประโยคหลังผมพูดเล่น ถ้าเฮียซื้อบื้อ ผมก็ควายแล้ว ฮ่าๆๆ ..เอาเป็นว่าเซนส์ผมมันบอกอย่างนั้นละกัน” ไอ้คินหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะยักคิ้วหลิ่วตาใส่ วอนโดนสักถีบ “มึงห่างๆ ไอ้เคนหน่อยก็ดีนะ เริ่มจะกวนตีนเหมือนมันละ” “ไม่ได้หรอก นั่นพี่ชายนอกไส้เลยนะนั่น..ถึงรถละ ไปดีกว่า ..อ่อ แล้วอย่าเอาซ้อพลอยไปนอนฝันละเฮีย” ปั่ก!! โอ๊ย! ผมบอกแล้ว มันควรโดนสักถีบ ..ไอ้น้องเวร! Ploysai Part “วันนี้ต้องประชุมอีกแล้ว เบื่อว่ะแก” เสียงยัยมินพูดขึ้นมา หลังจากที่อาจารย์ปล่อยก่อนเวลาไปครึ่งชั่วโมง แล้วรู้ว่าอีกสามชั่วโมงข้างหน้าจะต้องไปประชุมงานของมหาลัย  “เอาหน่า ถือว่าทำเอาสนุกๆ เป็นประสบการณ์เนอะ” ฉันพูดปลอบใจมัน แต่อันที่จริง ฉันก็ไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไรเหมือนกัน “เออ กูว่าไปหาอะไรกินกันดีกว่า เนี่ยหน้ามอมีร้านอาหารญี่ปุ่นมาเปิดใหม่” “ไม่เอา!” ฉันพูดออกไปทันที จนทุกคนหันมามองอย่างสงสัย “คือ..ฉันอยากกินอย่างอื่นมากกว่าน่ะ” ฉันพูดเสียงเบาพร้อมยิ้มเจื่อนๆออกไป  “เออๆ งั้นก็เหมือนเดิม ร้านส้มตำป้าเมล์นรก”  “ดีเลิศคร้า จากญี่ปุ่นสู่ลาว อาหารต่างชาติคือกัน นัวค่าา เลสโกกก” เห้อ!! ถามว่าทำไมไม่ไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นน่ะเหรอ ก็เพราะฉันยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ฉันไปกินอาหารญี่ปุ่นในห้างกับเฮียวันนั้นไงล่ะ  ตอนระหว่างที่รอพี่กิ่งและคิน ฉันทำเรื่องน่าอายไว้ จนตอนนี้ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ฉันยังไม่พร้อมที่จะเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นเลย เพราะมันทำให้ภาพในหัวมันย้อนกลับมาอีกครั้งน่ะสิ “จองไว้ ชื่อ คิน สี่ที่ครับ” จากนั้นไม่นาน ฉันและเฮียก็เดินตามพนักงานไปยังห้องส่วนตัว ย้ำนะ ว่าห้องส่วนตัว  กินแค่สี่คน จำเป็นต้องเป็นห้องส่วนตัวด้วยเหรอ แบบนี้มันก็ยิ่งเขินอะ เหมือนอยู่ด้วยกันสองคนในห้องเลย ตอนนี้ฉันและเฮียอยู่ในห้องที่บรรยากาศแบบญี่ปุ่นเอามากๆ คือมีโต๊ะตรงกลางห้อง สำหรับวางอาหาร ส่วนตรงข้างล่างโต๊ะนั่นจะเป็นหลุม เพื่อให้เราห้อยขาไว้ได้ โดยเราจะนั่งบนเบาะที่วางตรงขอบๆ พื้นรอบโต๊ะนั่นเอง ทั้งห้องจะปูด้วยเสื่อญี่ปุ่น ผนังห้องจะมีลักษณะเป็นฉากกระดาษกั้นของญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงวอลเปเปอร์เท่านั้นเอง หลังจากพนักงานออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ฉันและเฮียแค่สองคนเท่านั้น ฉันค่อยๆ เดินไปนั่งลงช้าๆ ด้วยหัวใจที่ทำงานอย่างหนัก แต่ทว่าฉันกลับปรับสีหน้าให้นิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความรู้สึกทั้งสิ้น จากนั้นฉันและเฮียค่อยๆ ไล่เปิดเมนูเพื่อดูไปเรื่อยๆ ด้วยความเงียบ ได้ยินก็แค่เพียงเสียงเล่มเมนูที่เปิดไปมาเท่านั้น  ฉันนั่งมองเมนูไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดเอาไว้ในหัวว่าจะสั่งอะไรไปบ้าง เมื่อผ่านเมนูอาหารคาวไปแล้ว ฉันก็เปิดดูเมนูของหวานต่อ เพราะฉันเป็นคนชอบกินของหวานหลังอาหารคาวน่ะ อืม..ไอติมลูกผู้ชาย ชื่อแปลกดีแหะ มันน่าจะเป็นแนวรสชาติแบบแมนๆ เข้มข้นอะไรแบบนี้แน่เลย อืม..มันมีส่วนผสมอะไรบ้างนะ ฉันมองดูในรูปว่ามันเป็นไอติมยังไง รูปภาพที่ประกอบก็เบลอเหลือเกิน ทั้งซีดทั้งเป็นรอยขีดจนมองไม่ชัด นี่เขาไม่คิดจะลงทุนปริ้นเมนูใหม่หน่อยเหรอ ร้านก็ออกจะหรู ฉันพยายามเพ่งมองว่ามันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แต่ก็ดูไม่รู้เรื่องจริงๆ  เอาวะ ไหนๆ ก็บรรยากาศเงียบ หาเรื่องคุยหน่อยก็คงจะดีเหมือนกัน “เออ คุณเคคะ” เฮียเคเงยหน้ามาจากเมนู แล้วก็มองมาที่ฉันนิ่งๆ ฉันกลืนน้ำลายเพื่อเรียกสติกลับมา ก่อนจะเริ่มพูดประโยคต่อไป “คือขอดูรูปเมนูนี้หน่อยค่ะ พอดีเล่มนี้มันเบลอมากเลย” ฉันพูด ขอดูเมนูอีกอันที่อยู่ในมือเฮียเคตอนนี้ พร้อมยกเล่มของฉันเปิดหน้านั้นพร้อมชี้ให้เฮียดู เล่มนั้นอาจจะภาพชัดก็ได้ แต่ทำไมหน้าเฮียดูอึ้งๆ ไปอย่างนั้นละหรือเขาไม่พอใจ ที่ฉันไปแย่งเมนูเขาที่กำลังดูอยู่? “เออ ถ้าไม่สะดวกให้ดูก็ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วเฮียก็ส่งเมนูมาให้ฉันดู พร้อมเปิดหน้าของหวานมาเรียบร้อย ฉันเลยยิ้มหวานส่งไปทันที ด้วยความดีใจ ที่เขาไม่ได้ไม่พอใจฉันอย่างที่ฉันคิด ฉันรับหนังสือเมนูของเฮียมาดู  “เล่มนี้ชัดจริงด้วย” ฉันพูดแล้วส่งยิ้มให้เฮียเค แต่เฮียก็ยังหน้านิ่งเหมือนเดิม ฉันจึงหุบยิ้ม ก่อนจะเพ่งมองดูรายละเอียดของไอติมอีกครั้ง “ทำไมมีแต่กล้วย? อ่อนี่ไง ไอติมอยู่ตรงนี้ ..แค่ไอติมสองลูกกับกล้วย แล้วใส่วิปคริปตรงปลายกล้วยนิดหน่อยเนี่ยนะ มันลูกผู้ชายยังไง” ฉันมองแล้วก็บ่นๆ ออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วไม่เข้าใจ  แต่เดี๋ยวนะ ลูกผู้ชาย หรือว่า?!! ฉันเอามือปิดปากแล้วก็ตาโตออกมาทันที พร้อมมองหน้าไปยังเฮียเค ที่มองฉันมานิ่งๆ ฉันรีบปิดเมนูนั่นทันที พร้อมกับหน้าที่ตอนนี้ต้องแดงเอามากๆ แน่เลย เพราะไอติมที่ว่า มันคือส่วนนั้นของผู้ชายยังไงล่ะ  โอ๊ยยย แล้ววิจารณ์ไปขนาดนั้น ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย ฉันหลับหูหลับตาส่งเมนูคืนให้เฮียไป พร้อมหันหน้ามองไปทางอื่นทันที ด้วยความเขินขั้นสุด ฉันไม่รู้ว่าเฮียช่วยให้ฉันหายจากความรู้สึกตอนนี้หรือเปล่า ก็เลยกดเรียกพนักงานมา เพื่อสั่งอาหาร แต่นั่นก็ทำให้ฉันดีขึ้นจริงๆ ฉันจะจำไว้ขึ้นใจเลย ไอติมลูกผู้ชาย!!!  . . . วันนี้เลิกประชุมเสร็จเร็วกว่าที่คิด ฉันเลยขอตัวแยกกับเพื่อนๆ เพื่อจะไปที่ที่หนึ่ง ที่ฉันไปในหลายวันที่ผ่านมา เพราะหวังลมๆแรงๆ ว่าปาฎิหารย์จะมีจริง ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่ที่สวนหลังคณะ ที่ตอนนี้ เริ่มมีการปรับปรุงสวน ปลูกดอกไม้เพิ่มให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น  ฉันพบที่ตรงนี้ เมื่อตอนประมาณปีหนึ่งเทอมสอง มันเป็นที่ที่ฉันอยู่แล้วรู้สึกสงบ สบาย ได้ปลดปล่อยความคิดและตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านด้วย ฉันเลยชอบมานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้คนเดียวและที่สำคัญจากตรงนี้ยังมองเห็นห้องทำงานของเฮียเคอีกด้วย แต่เขาก็ไม่เคยเปิดมู่ลี่หรอกนะ ฉันเลยทำได้เพียงแค่มองกระจกเข้าไปเท่านั้น แล้วมโนเอาว่าตอนนี้เฮียกำลังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตรงโต๊ะทำงาน แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ มีคำสั่งให้ปรับทัศนียภาพตรงนี้ใหม่ ทำให้ฉันแอบเศร้า ถ้ามันเริ่มเป็นที่นิยม หลังจากนี้ฉันจะไปหาที่สงบๆ คิดถึงเฮียเคที่ไหนกันนะ ที่ฉันมาตรงนี้เกือบทุกๆ วันเพราะฉันหวังว่าจะมีคนเข้ามาทัก ‘คุณใช่เจ้าของสมุดเล่มนี้หรือเปล่าคะ พอดีฉันเก็บได้เมื่อหลายวันก่อน’ แต่ในความเป็นจริงนั้น ไร้วี่แววใดๆ นอกจากคนสวนที่มาทำสวนเท่านั้นเอง  เห้อ! ฉันนั่งอยู่ตรงนี้เรื่อยๆ จนแสงแดดเริ่มอ่อนลง และท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ดูเหมือนพระอาทิตย์กำลังจะลาลับไปแล้ว ทำให้รู้ว่าวันนี้คงแห้วอีกตามเคย วันนี้ไม่มีคนมาทัก วันหน้าก็ต้องมีแหละน่ะ ยังไงคนที่เก็บสมุดไป ก็ต้องอยากรู้บ้างแหละ ว่าเจ้าของคือใคร แล้วออกตามหาฉัน ฉันปลอบใจตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปัดเศษดินที่ติดประปรายอยู่ตรงกระโปรงออกและเดินออกจากตรงนี้ เดี๋ยวนะ วันนี้เดินอ้อมไปทางตึกบริหารดีกว่า อยู่ๆฉันก็มีความคิดแล่นเข้ามาในหัว ปกติตรงที่ฉันนั่ง มันติดกับคณะของฉัน แต่เนื่องจากสวนและริมน้ำนี้มันยาวเชื่อมกันอยู่ข้างหลังสามคณะบัญชี บริหารและวารสารศาสตร์ โดยปกติฉันก็เข้าออกทางตึกคณะของฉันเสมอ  แต่วันนี้ฉันรู้สึกอยากลองไปเดินผ่านตึกบริหารดูบ้าง ปกติฉันได้แต่มองจากข้างนอกไม่เคยเข้าไปเลย ลองไปดูสักครั้งดีกว่า  ฉันเบี่ยงเส้นทางเดินไปทางตึกบริหารทันที จนกระทั่งถึงด้านหลังตึึกในที่สุด ฉันค่อยๆ มองไปรอบๆ ตึกนี้ พร้อมกับกรี๊ดในใจไปด้วย ตึกนี้สินะ ที่เฮียเคเรียน  อร๊ายยย แค่คิดก็เขินแล้ว ไอ้บ้าาา  ฉันก็ไม่รู้จะเขินทำไม เพราะเอาจริงๆ ก็เท่าที่เคยบอก เฮียแทบไม่มาเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เอาเถอะ ขึ้นชื่อว่าเขาอยู่คณะนี้ ฉันก็ขอมโนหน่อยแล้วกัน ว่าตรงที่ฉันยืน ที่ฉันเดิน เขาก็เคยยืนเคยเดินมาก่อน พูดไปก็นึกถึงวีรกรรมล่าสุด ทำเอาฉันเขินเป็นบ้าเลย ฉันจะดูเป็นผู้หญิงลามกมั้ยนะ แล้วไอ้ร้านบ้านั่น คิดเมนูอะไรก็ไม่รู้ ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย แล้วไหนจะสกรีนภาพเมนูไม่ชัดอีก มันน่าร้องเรียนจริงๆ มันทำให้อาหารมื้อนั้นกว่าฉันจะกินได้แต่ละคำนะ ฉันต้องหลบสายตาแกร่งนั่นตั้งหลายครั้ง เป็นการกินที่เหมือนกับการออกกำลังกายอะ คือหัวใจเต้น heart rate น่าจะอยู่ zone 5* แล้วมั้ง แค่ได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วยกัน ฉันก็เขินจะตายอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมีเรื่องที่ทำให้ฉันเขินหนักกว่าเดิมไปอีก กว่าจะกลืนอาหารลงคอได้แต่ละคำ เล่นเอาแทบตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตั้งแต่วันนั้น ฉันเก็บเอาไปนอนเขินนอนฝันตั้งหลายคืน ทั้งโมเมนต์ที่ได้อยู่กับเขาสองคน โมเมนต์ที่เขายิ้มให้เจ้าเด็กน้อยวันนั้น โมเมนต์ที่เขาเล่าเรื่องราวการทำงานของเขาบนโต๊ะอาหาร ถึงแม้เขาจะเล่าให้พี่กิ่งฟัง แต่ฉันจะมโนว่าเขาเล่าให้ฉันฟังด้วย ว่าแต่ ฉันมานึกๆ ดูแล้ว ฉันจะไปถามหาน้องเชอร์รี่ แฟนคลับตัวจิ๋วของฉันได้ที่ไหนนะ เพราะตอนนั้นฉันเอาแต่เขินคนข้างๆ จนลืมขอช่องทางติดต่อเลย รูปที่แฟนคลับฉันได้ไปมันเป็นอะไรที่เสียเงินเป็นแสนฉันก็ยอมจ่ายอะ ก็นั่นมันเป็นรูปที่มีฉันและเฮียอยู่ในเฟรมเดียวกันนี่นา ฮืออออ อยากได้รูปนั้นนน TT TT แต่นึกๆ แล้วก็ขำ ถ้าเกิดฉันคลั่งแบบไม่มีสติ แล้วตัดสินใจประกาศออกคลิปไป จะเป็นยังไงนะ น้องเชอร์รี่ที่มาขอถ่ายรูปพี่พลอยและพี่คนหล่อที่งาน your child our child ช่วยแสดงตัวหน่อยค่าาา พี่ชอบเขาา พี่อยากได้รูปเขาาา พี่ขอซื้อภาพนั้นหนึ่งแสนเลยจ้าา ช่วยแสดงตัวหน่อยเถอะ พลีสสส บอกตรงๆ ไปแบบนั้น ฉันว่าผู้ปกครองคงให้ลูกๆ เลิกติดตามฉันแน่นอน ฮ่าๆ ระหว่างที่ฉันกำลังมโนนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นด้วยความเขินอายและนึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รูปอยู่นั้น ฉันก็เริ่มฉุกคิดได้ว่า ตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหนของตึก? ฉิบแล้วมั้ยละ ไอ้พลอย คือมัวแต่นึกแล้วเขินอยู่ไง เลยเดินมาเรื่อยๆ ด้วยจิตใจล่องลอย ถามว่าให้เดินย้อนกลับไปที่เดิมได้มั้ย ก็ตอบเลยว่า ไม่ได้!  คือฉันมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงยังไม่รู้เลย ! นี้มันตึกบริหารหรือเขาวงกตกันเนี่ย ทำไมแยกมันเยอะยังงี้วะ!! ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนเดินในเขาวงกต แล้วนี่แค่หนึ่งทุ่มเอง ทำไมตึกมันเงียบยังงี้อะ ไม่มีคนให้ถามเลยรึไง๊?! ฉันเลยหยิบมือถือออกมา เผื่อจะลองหาแผนที่ที่นี่ ไม่ก็โทรไปหาตัวช่วยหรือเพื่อนฉันใครสักคน เฮ้ย!! แบตหมด!! ก็ตอนประชุมน่ะสิ ยัยมินมันเอามือถือฉันไปเล่นเกมจนแบตหมด ซวยละ  โอเค ใจร่มๆ นะ ไอ้พลอย แกต้องมีสติ หายใจเข้า พุทธ หายใจออก โท โอเค มันน่าจะเป็นแยกหน้ามั้ง อืม..เอ๊ะ หรือซอยนี้ เอ๊ะ ตรงนี้คุ้นๆ เหมือนฉันเดินผ่านมา..เอ๊ะ ตรงนี้ก็มีเก้าอี้แบบเมื่อกี้นี่นา หรือจะเป็นแยกหน้ากันนะ อืมๆ น่าจะใช่..เอ๊ะไม่ใช่สิ มันต้องผ่านห้องนี้ก่อน..หรือห้องนี้..หรือจะห้องโน้น โอ๊ยยยยย ทำไมมันกว้างใหญ่อย่างงี้เนี่ย!!! พรึบ! “กรี๊ดดดดดด” ระหว่างที่ฉันกำลังเครียดเดินหาทางออกอยู่นั้น อยู่ๆ ไฟตรงที่ฉันยืนอยู่ก็ดับทันที ตอนนี้ฉันไม่โลกสวยอีกต่อไปแล้ว ฉันยอมรับแล้ว ว่าฉันกลัว กลัวมาก ฉันเดินหลงทางและตอนนี้ก็มีแต่ความมืด บรรยากาศแบบนี้ แล้วนี่มันเป็นตอนกลางคืนด้วย ไฟก็ดับ คนก็ไม่มี แล้วที่นี่จะมีผีหรือเปล่านะ  แปะ แปะ  น้ำตาใสๆ ค่อยๆ หยดลงกระทบกระเบื้องที่ฉันยืนอยู่ ฉันเริ่มสั่นด้วยความกลัว ฉันพยายามเพ่งสายตามองไปข้างหน้าที่มืดมิดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ยิ่งทำให้ฉันกลัวจับใจ ฉันไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้ขาก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงไปในทันที ทำให้ฉันต้องค่อยๆ ทรุดตัวลง ชันขาขึ้นมาแนบชิดกับอก แล้วเอามือโอบล้อมเอาไว้ พร้อมกับซุกหน้าลงที่หัวเข่าแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว “ฮือออ ฮืออ” เฮียเคอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย ฉันกลัววว ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เฮียเคมาช่วยฉัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันก็อดที่จะนึกถึงเขาในเวลานี้ไม่ได้จริงๆ แต่ระหว่างนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีมือใครไม่รู้มาจับไหล่ฉันเอาไว้ ผี!! “กรี๊ดดดดดด ..นะ หนูไม่เคยทำความชั่ว ฮือ..หนูทำแต่ความดี ย อย่าได้มาหลอกมาหลอนหนูเลย ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะนะคะ ละแล้วหนูจะทำบุญไปให้ ฮืออ” ฉันพูดตะกุกตะกัก แต่ทว่าพูดไม่หยุด เผื่อผีมันจะยอมฟังฉันบ้าง โดยที่ฉันไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา ได้แต่หลับตาปี๋และก้มหน้าซุกในวงแขนของตัวเองเท่านั้น “ฉันไม่ใช่ผี” แต่แล้วก็มีเสียงทุ้มๆนิ่งๆ อันคุ้นหูนั้นดังขึ้นมา ทำให้ฉันได้สติ แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ซึ่งก็พบว่าเป็นเสียงเดียวกับคนที่ฉันคิด  ตอนนี้เขากำลังนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งและชันเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉัน ทำให้หน้าเขาอยู่สูงกว่าฉันไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เห็นชัดเต็มสองตาว่าเขาคือใครท่ามกลางความมืดมิดนี้ “เฮียเค!! ฮืออออ”  ตอนนี้สติฉันหลุดเรียบร้อยแล้ว จากชันเข่าตอนแรกฉันก็เปลี่ยนเป็นนั่งเบะขาก่อนจะกระโจนกอดคอเฮียไปทันทีด้วยความดีใจ จนเขาเซไปเล็กน้อย ฉันกอดคอเขาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก แต่ไม่ได้ร้องไห้เพราะความกลัวเหมือนก่อนหน้านี้ มันร้องไห้เพราะความรู้สึกปลอดภัยและโล่งใจ เขามาจริงๆด้วย เขาได้ยินคำขอของฉันจริงๆด้วย  อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกปลอดภัย ความกลัวที่มีก่อนหน้านี้มลายหายไปจนหมดสิ้น เพียงแค่ได้อ้อมกอดนี้เท่านั้น เอ๊ะ เดี๋ยวนะ อ้อมกอดนี้?? อ้อมกอดนี้!!!!! เชี่ยแล้ว * Heart rate Zone 5 คือโซนที่หัวใจเต้นเร็วสูงสุดตอนออกกำลังกายที่ 90-100% ของการคำนวณการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายปกติจะไม่เกิน 20% 
已经是最新一章了
加载中