ตอนที่ 13
Ploysai part
“โอ๊ย แกฉันไม่อยากเจอเขาเลย” ฉันบ่นพึมพำกับยัยศร พร้อมกับเดินกระวนกระวายใจไปด้วยเล็กน้อย
อุตส่าห์หาวิธีหลบหน้าได้แล้ว แต่สุดท้ายกลับต้องมารอพบเขาเนี่ยนะ
ภารกิจที่ไอ้พวกเพื่อนฉันให้ฉันเข้าหาเฮียเค เพื่อให้ช่วยโปรโมทกิจกรรม ฉันทำใจที่จะเผชิญหน้าเขาไม่ได้จริงๆ คราวที่แล้วตอนไปคืนเสื้อ ฉันก็คิดว่ากล้าแล้ว แต่พอตอนนั้นที่ไปอยู่หน้าห้องเขาจริงๆ ทำให้ฉันพบว่า ฉันยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับเขา!! ฉันกลัววางตัวไม่ถูก กลัวฉันจะยืนเขินจนเขารำคาญฉันอีก
สุดท้ายฉันเลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดที่ไม่ต้องเจอหน้า แต่เขาก็ได้รับรู้สิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อ นั่นก็คือการส่งจดหมายไงล่ะ ถ้าถามว่าทำไมไม่ส่งอีเมลหรือข้อความอินบ็อกซ์ไป ก็เพราะฉันกลัวว่าเขาจะไม่อ่านน่ะสิ แต่ถ้าแบบนี้มีแนวโน้มจะอ่านแน่ๆ และได้รู้คำตอบทันทีเลยด้วย ว่าเขาจะช่วยหรือไม่ช่วย
ฉันรู้ว่ากลุ่ม Devil prince เขามารวมตัวกันที่นี่เกือบทุกวัน และสายก็บอกว่าวันนี้เขาก็มา ฉันเลยตัดสินใจเลือกทำภารกิจวันนี้ โดยให้ยัยศรอยู่รับหน้าแทน แต่จู่ๆ มันก็โทรมาบอกว่าให้ฉันกลับมา เพราะเฮียบอก? ซึ่งมันเป็นอะไรที่งงเอามากๆ เลย หรือเขาจะไม่พอใจที่ฉันกล้าเขียนจดหมายด้วยลายมือส่งไปให้คนระดับเขากันนะ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันควรทำยังไงดี ต้องใช้ธูปเทียนพร้อมกราบเบญจางคประดิษฐ์ขอขมาเขามั้ยนะ ฮือออออ
“ฉันเข้าใจแกนะที่ไม่อยากเจอเขา แค่เมื่อกี้ฉันได้มองหน้าเขาใกล้ๆ แป๊บเดียว ยังแทบจะละลายเลย คนอะไร หล๊อหล่อ” ที่ฉันไม่อยากเจอไม่ใช่เพราะเขาหล่อจนฉันจะละลายซะหน่อย ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็เถอะ แต่สาเหตุหลักเพราะฉันเขินไม่กล้าสู้หน้าเขาต่างหากละ!
“พี่เคมาแล้ว” เสียงยัยศรปลุกฉันจากภวังค์ ทำให้ฉันต้องหยุดเดินกระวนกระวายแล้วหันไปมองเฮียที่กำลังเดินหล่อมาแต่ไกล จนกระทั่ง อยู่ๆ เฮียก็นิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“แกกกก.. เขายิ้มให้ฉันด้วยยย พรุ่งนี้ต้องเอาไปอวดอีมิน อีตุ๊ด! อร๊ายยยย” เสียงยัยศรโวยวายเบาๆ อยู่ข้างๆ ฉัน
ใช่เขายิ้มจริงๆ และมันเป็นยิ้มที่ทำให้ฉันละสายตาจากเขาไม่ได้เลย ฉันมองเขาตลอดการก้าวเดินมาข้างหน้า ซึ่งมันใกล้เข้ามาหาฉันเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่นาน เขาก็มาหยุดตรงหน้าฉัน
“เธอเป็นคนเขียนไอ้นี่เหรอ” เฮียกลับมาหน้านิ่งอีกครั้งและถามฉันออกมาพร้อมทั้งชูกระดาษที่ฉันเขียนขึ้นมา
นั่นไงล่ะ ซวยแล้วมั้ยยัยพลอย เขาไม่พอใจที่แกเขียนจดหมายไปให้เขาจริงๆด้วย
“เออ..ค่ะ คะ คือ...พอดีเห็นว่าไม่ใช่เป็นเอกสารทางการอะไรเลยไม่ได้พิมพ์มา ขอโทษด้วยค่ะ ครั้งหน้าจะรอบคอบกว่านี้ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ฉันพูดออกมา พร้อมกับผงกศรีษะขึ้นลงไปมาเร็วๆ ด้วยความสำนึกผิดก่อนจะเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้หน้านิ่งเหมือนเดิม แต่กลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าหล่อแทน
อู้วว หล่ออ่าาา ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว เห็นใกล้ๆ แบบนี้คือละลายยย
ขณะที่ฉันกำลังเคลิ้มกับภาพตรงหน้า เฮียก็พูดออกมาที่ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วทันที
“ไม่พิมพ์มา ถูกแล้ว” เฮียเคพูดกับฉันพร้อมยิ้มออกมาอีกครั้ง ฉันมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ทำถูกแล้ว คืออะไร ว้อท? แล้วทำไมเขาถึงยิ้มอย่างนั้นละ
หรือว่าฉันเข้าใจผิดเขาไปเอง ถ้าเขาไม่โกรธเรื่องนี้ ก็ช่างมันแล้วกัน
“เอ่อ แล้วเรื่องที่จะช่วยโปรโมท สรุปว่าคุณยอมช่วย..ใช่มั้ยคะ” ฉันเอ่ยถามออกไปเบาๆ แต่ยังไม่กล้าสบตาเขาเท่าไร เพราะสำหรับฉันแล้วสายตาเขามีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก
“ครับ..ต้องทำยังไงบ้าง” เป็นอีกครั้งที่ฉันตวัดสายตาขึ้นไปมองเฮียจังๆ ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะยอมง่ายขนาดนี้ ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วพูดตะกุกตะกักออกไป
“เออ แค่ยืนยันเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ ดะ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณเคอีกทีนะคะ”
“เฮียจะรอนะครับ” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตวัดตามองเท่านั้น แต่ทำเอาฉันเข่าอ่อนไปเลยทันที
”เฮ้ย! ยัยพลอย” ยัยศรที่อยู่ข้างๆ ช่วยพยุงฉันเอาไว้
“หึๆ” ส่วนเฮียเค ก็มองมาที่ฉันแล้วก็หัวเราะในลำคอ พร้อมสายตาที่มองมาที่ฉันไม่เหมือนที่ผ่านมาสักนิดเดียว มันเหมือนมีประกายอะไรบางอย่างในแววตา ที่ไม่ได้เฉยชาเหมือนที่ผ่านมา
ระหว่างนั้น มือถือที่ฉันถืออยู่ในมือก็ถูกคนตัวสูงตรงหน้าหยิบออกไปอย่างถือวิสาสะ แต่นั่นไม่เท่าไร เพราะประเด็นหลักคือ เฮียจับมือฉันเพื่อเอานิ้วฉันไปสแกนปลดล็อก! โดยที่ฉันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแม้แต่น้อยและตลอดการกระทำเฮียก็เอาแต่มองหน้าฉันพร้อมส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ตลอด
คืนนี้ฉันจะไม่ล้างมือ!!
หลังจากมือถือฉันโดนเข้าถึงได้สะดวก เฮียก็กดอะไรสักอย่างลงไป และยัดใส่มือฉันเหมือนเดิม ซึ่งตอนโดนมือฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตไปชั่วขณะ
“แล้วอย่าลืมติดต่อเฮียมานะ..พลอยใส” เฮียเคพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
“ยัยพลอย เข่าแกเริ่มเสื่อมรึไง ล้มอีกแล้วว” เสียงยัยศรโวยวายดังลั่น แต่ฉันไม่สนใจสิ่งที่มันพูด ตอนนี้ฉันเริ่มหูอื้อ สมองเบลอ
เฮีย...พลอยใส..ยังงั้นเหรอ?
เมื่อผ่านไปสักพัก ฉันเริ่มกลับมายืนทรงตัวได้ ฉันจึงค่อยๆ ก้มหน้าดูมือถือในมือของฉันที่เฮียยึดไปชั่วคราวก่อนหน้านี้ พบว่า เฮียเมมเบอร์ของเขาลงไป แต่นั่นไม่ช็อกเท่ากับชื่อที่เขาตั้งนี่สิ
‘เฮียเคของพลอยใส’
“ยัยพลอยยย ฉันว่าแกไปโรงพยาบาลเถอะ เข่าแกต้องมีปัญหาแน่ๆ”
.
.
.
“จริงๆ นะเว้ย” ตอนนี้ยัยศรกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เหล่าเพื่อนๆ ฉันฟังอย่างออกอรรถรส อยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนที่เพิ่งเอามาวางในสวนหลังคณะฉันเมื่อไม่นานมานี้
“โอ๊ยย เมื่อคืนไม่น่าพลาดเลย” มินร้องโวยวายขึ้นมาอย่างเสียดาย เพราะเมื่อคืนมินและเกรวี่ มันต้องปั่นงานที่ต้องส่งวันนี้ ก็เลยไม่ได้ไปด้วย
“ฉันเกลียดแก อีลูกชะนี ” เกรวี่หันมามองจิกฉัน ก่อนจะเชิดหน้าไปอีกฝั่ง
“เออ..นอกจากที่พี่เคเรียกแทนตัวเองว่าเฮียนะ ยังเอามือถือมันไปเมมเบอร์ให้ด้วยเว้ย” ยัยศรยังคงเล่าต่อด้วยอารมณ์ส่วนตัวอย่างเมามัน
“อร๊ายยย / กรี๊ดดด”
“ไหนๆๆ เอามือถือแกมาดูสิ” ว่าแล้วยัยเกรวี่ก็หยิบมือถือของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะไปเปิดดูทันที แล้วทั้งยัยเกรวี่และยัยมินก็ชะเง้อไปตรงหน้าจอก่อนจะโพล่งออกมาพร้อมกัน
“เฮียเคของพลอยใส/เฮียเคของพลอยใส กรี๊ดดดด” ส่วนฉันน่ะเหรอ นั่งบิดจนตัวจะเป็นเลขแปดอยู่แล้ว
“วันที่แกไปออกอีเว้นท์ แกไปอ่อยอะไรพี่เคเปล่าวะ” ยัยมินหันหน้าออกจากหน้าจอมือถือแล้วหันมาพูดกับฉันด้วยสายตาสงสัย
“เปล่านะ ฉันก็งงอยู่เนี่ย ในงานเขายังทำเมินเฉยฉันอยู่เลย” ก็จริงนะ วันนั้นเราพูดกันนับคำได้เลยล่ะ แล้วตอนเจอล่าสุดก็ด้วย ถึงแม้จะไม่เมินเฉยซะทีเดียว แต่ก็ไม่เท่ากับครั้งนี้อยู่ดีอ่ะ
“ช่างมันเถอะ เพื่อนของฉันจะเป็นแฟนของหนึ่งในสมาชิก devil prince แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วอะแกรรร” เสียงยัยเกรวี่โวยวายพร้อมทำหน้าเคลิบเคลิ้มก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน
“ไอ้บ้า เขาไม่ได้มาขอฉันเป็นแฟนซะหน่อย มโนไกลไปแล้ว!” ฉันตอบกลับไปทันทีด้วยท่าทีเขินอายเช่นเดิม
“รวมหัว!!” ยัยมินดีดนิ้ว ก่อนที่ทั้งสามคนจะสุมหัวเข้าด้วยกัน แต่พอฉันจะก้มลงไปสุมหัวด้วย ยัยมินก็ผลักหัวฉันออก ฉันเลยได้แต่นั่งนิ่งมองพวกมันคุยอะไรกันไม่รู้
ไม่นานพวกเพื่อนทั้งสามของฉันก็เงยหน้ามา แล้วมองฉันด้วยสายตามีเลศนัยแปลกๆ ก่อนจะยิ้มแบบชั่วร้ายขึ้นมา
“คืนนี้เราไปผับ demon กัน”
.
.
.
ณ ผับ Demon
“เดินให้มันดีๆ หน่อยสิ ยัยพลอย” เสียงยัยศรดังมาตลอดทาง ตั้งแต่ที่ฉันเดินเข้ามาในผับ
ใช่ละ ตอนนี้ฉันมาอยู่ในผับ Demon เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกฉันก็จะไม่มา แต่พวกมันก็ลากฉันไปคอนโดยัยศร แล้วก็รื้อเสื้อผ้าจับฉันแต่งตัว แต่งหน้าเป็นการใหญ่ จนตอนนี้ฉันเห็นตัวเองในกระจกแล้วยังกลัวตัวเองเลย
เพราะตอนนี้ ฉันแต่งหน้าจัดมาก จัดพอๆ กับยัยศรเลย ปกติฉันไม่ค่อยแต่ง หรือไม่ก็แค่ทาลิป ปะแป้งเบาๆ เท่านั้นเอง แต่เรื่องแต่งหน้าเบาไปเลย ถ้าเทียบกับชุดที่ฉันใส่อยู่ เพราะตอนนี้ชุดที่ฉันใส่มันโป๊มากก
มันเป็นชุดเดรสเกาะอกรัดรูป ยาวลงมาถึงต้นขาที่สั้นแค่คืบและใส่รองเท้าบูทยาวสีดำที่สูงขึ้นมาถึงหัวเข่า ทำให้ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้หญิงที่สวย เปรี้ยว เฉียวและโคตรมั่นใจ แต่จริงๆ แล้วไม่มั่นใจเลยสักนิดเดียว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนว่าฉันใส่ผ้าเช็ดตัวมาเดินกลางผับก็ไม่ปาน แล้วจะให้ฉันเดินดีๆ ได้ไงล่ะ ระหว่างเดินฉันพยายามดึงกระโปรงลงแต่เกาะอกข้างบนก็ดันลงมาด้วย แต่พอฉันดึงเกาะอกขึ้นบ้างข้างล่างก็ร่นขึ้นตามมาอีก
“ก็เพราะชุดบ้าๆ อะไรของแกนั่นล่ะยัยศร ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันแก้ผ้ามาเที่ยวผับแล้วเนี่ย” ฉันบ่นออกมา ส่วนเพื่อนๆ ฉันก็ได้แต่หัวเราะ และพาฉันเดินต่อไปอย่างมีเป้าหมาย
ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะยัยพวกนี้น่ะสิ มันบอกว่า จะให้ฉันมาทดสอบ ว่าเฮียเคเขาสนใจฉันจริงหรือเปล่า ถ้าสนใจเขาต้องมาหาฉันและปกป้องฉันจากอันตรายในผับนี้ ฉันว่ามันอ่านนิยายมากเกินไปนะ อิพวกนี้
“พวกแก ฉันว่ากลับเถอะ” ฉันส่งเสียงเบาๆ บอกเพื่อนตัวดีทั้งสามคน เมื่อเดินเข้ามากลางผับแห่งนี้แล้ว และตั้งแต่เดินเข้ามาฉันก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่โลมเลียจนฉันขนลุกไปหมด
“ไม่ได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว นั่นๆตรงนั้นคือห้อง VIP1 เขาจะมองลงมาเห็นแกตรงนี้ชัดมาก แกยืนตรงนี้นะ” ยัยมินชี้ไปที่ชั้นสอง ตรงที่เป็นกระจกใหญ่ที่คนข้างนอกยืนมองไม่เห็นข้างในเหมือนที่ฉันมองไปตอนนี้ก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความทึบที่เหมือนกับกำแพงทั่วไป
ห้อง VIP1 เป็นห้องที่กลุ่ม devil prince มักจะมารวมตัวกันในค่ำคืนยามวิกาลเช่นนี้ โดยในห้องนั้นจะเห็นวิวผับที่นี่ทั้งหมด จากกระจกใหญ่ที่ยัยมินเพิ่งชี้ไปเมื่อสักครู่
เฮียจะเห็นฉันจริงๆ มั้ยนะ
“เราจะรอแกอยู่ที่โต๊ะ13 โซน D นะ ให้เฮียมาส่งแกให้ได้ล่ะ ปะ พวกเรา”
“เดี๋ยว ฉันว่าฉันไปกับพวกแกด้วยดีกว่านะ” ฉันพูดพร้อมจะเดินตามพวกมันไปด้วย
“สะต๊อบบบบ หยุดอยู่ตรงนั้นเลยอีพลอย อย่าตามพวกกูมานะ!” ฉันได้แต่ยืนอึกอัก จนกระทั่งมองดูพวกมันเดินจากไปไกลแล้ว พร้อมยกมือส่งลาใส่ฉันกันหน้าระรื่นทุกคน
“พวกแก ยัยศร ยัยมิน ยัยเกรวี่” ฉันยืนตะโกนเรียกสามคนนั้น แต่มันก็ไกลเกินกว่าจะได้ยินแล้วล่ะ
ใจหนึ่งฉันก็อยากพิสูจน์อย่างที่พวกมันว่า แต่อีกใจหนึ่งฉันก็กลัว ปกติฉันก็มาที่นี่บ้าง เพราะยัยพวกนั้นพาฉันมา แต่ฉันก็ไม่เคยถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวและไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ ทำให้ฉันไม่มั่นใจ บวกกับสายตาของผู้ชายแถวนี้ที่มองมาด้วยแล้ว ฉันเลยได้แต่ยืนสั่น ก้าวขาไม่ออก มีแต่น้ำตานี่ละที่จะออกมาแทน
พ่อจ้าแม่จ้า ช่วยหนูด้วยยยย
ฉันเงยหน้าไปมองตรงกระจกห้องใหญ่นั่นอีกครั้ง หวังว่าเขาจะเห็นฉัน ฉันเลยคิดว่าจะตั้งลิมิตไว้ ถ้า 10 นาที ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะไม่ร่วมเล่นแผนบ้าๆ ของเพื่อนฉันแล้ว เอาตัวเองมาเสี่ยงชัดๆ!
“มาคนเดียวเหรอครับ” แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มก้องอยู่ในระยะใกล้พูดขึ้นมา พร้อมกับหน้าของผู้ชายที่ยืนถือแก้วเบียร์แกว่งไปมาตรงหน้า มาหยุดยืนประจันหน้ากับฉัน
“เอ่อ มากับเพื่อนค่ะ“ ฉันค่อยๆ ตอบออกไป
ไม่รอ 10 นาทีแล้ว ไปก่อนดีกว่า
“ไหนครับเพื่อนคุณ ผมเห็นแต่คุณยืนอยู่คนเดียว” ผู้ชายคนนั้นมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ไร้มารยาท เขามองตรงส่วนหน้าอกของฉันและลากยาวมาถึงขาเรียว จนทำให้ฉันหยุดความคิดที่จะเดินแล้วเปลี่ยนยกมือขึ้นมาปิดส่วนที่ผู้ชายตรงหน้ามองมาทันที
“หึหึ ไปนั่งโต๊ะผมดีกว่า กวางน้อย” หลังจากพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็เอามือมาจับแขนฉันเพื่อลากไปที่ไหนสักที่ทันที
ตอนนี้ฉันยืนขาสั่นด้วยความกลัว รู้สึกกระบอกตาเริ่มร้อน จนน้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันพยายามแข็งขืนไม่เดินไปตามเขาและเงยหน้าไปมองตรงกระจกใหญ่นั่นอีกครั้ง
เฮียเคจะอยู่ในนั้นหรือเปล่า เขาจะเห็นฉันมั้ย
ฉันกลัว ..ฉันจะทำยังไงดี แต่ฉันจะมากลัวแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องสู้
ฮึบ
แต่ระหว่างที่ฉันกำลังจะสะบัดมืออันน่ารังเกียจออกจากแขนฉันนั้น อยู่ๆ ก็มีมือใหญ่มาปัดมือนั้นออกไปซะก่อน ก่อนที่จะมีเสื้อคลุมตัวใหญ่โคร่งมาคลุมร่างกายฉันไว้ตั้งแต่ไหล่เปล่าจนถึงข้อเท้า
“ของกู” ฉันหันไปตามเสียงของคนมาใหม่ ที่กำลังจ้องเขม็งผู้ชายคนนั้นอย่างนิ่งเรียบทว่ากลับดูน่ากลัว จนทำให้ผู้ชายคนนั้นผงะถอยหลังไป
“ขะ ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นคนของคุณเค” ไม่นานผู้ชายคนนั้นก็รีบเดินหนีออกไปจากตรงนี้ทันทีด้วยความรวดเร็ว
“ใครสั่งใครสอน ให้แต่งตัวแบบนี้!” เฮียหันมามองหน้าฉันด้วยสายตานิ่งเรียบเหมือนที่เขาทำอยู่เสมอ แต่น้ำเสียงมันไม่ได้นิ่งเรียบตามไปด้วย เขาพูดค่อนข้างเสียงดัง จนเสียงเพลงที่เปิดในผับตอนนี้เบาไปทันที แต่ถึงเขาจะทำแบบนั้น มือใหญ่ของเขาก็ทำงานรวบเสื้อคลุมใหญ่เทอะทะที่เขาเอามาคลุมให้ฉันก่อนหน้านี้ให้มิดชิดกว่าเดิม พร้อมเอาเชือกของเสื้อคลุมมาผูกแน่นปิดตายให้ฉัน จนตอนนี้ฉันคงจะคล้ายๆกับแหนมที่โดนห่อด้วยใบตองหลายๆชั้น แล้วโดนมัดแน่นเป็นปล้องๆ
ตอนนี้ฉันไม่สนใจน้ำเสียงที่ดังกร้าวของเขา ไม่สนใจสายตานิ่งที่แฝงความไม่พอใจ ฉันสนแต่ว่า ตอนนี้..เขามาช่วยฉันอีกแล้ว
เหตุการณ์เมื่อกี้มันเหมือนเดจาวูในวันนั้นที่ฉันเจอเขาไม่มีผิด แต่วันนี้เขาไม่ได้เดินจากไปเหมือนวันนั้น ตอนนี้เขายังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
ฉันยืนนิ่งค้างมองหน้าคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น พร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวกว่าเดิม และเริ่มรับรู้ได้ถึงน้ำใสๆ ที่เริ่มปริมจนไหลออกมาแตะใบแก้มอย่างห้ามไม่ได้
เขามองฉันด้วยสายตานิ่งเรียบเหมือนเดิม แต่ร่างกายของเขามันไม่ได้ส่งมาถึงฉันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ฟรุบ!
อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกถึงแรงกอด อ้อมกอดจากผู้ชายตรงหน้า อ้อมกอดจากเฮียเค!!!
“ปลอดภัยแล้ว ไม่ร้องนะครับ” ไม่นานก็มีเสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมาจากคนที่สวมกอดฉันไว้
คุณเคยแอบรักใครสักคนมั้ย ...แอบรักมาหลายปี
และเขาก็อยู่สูงจนเราทำได้แค่เฝ้ามองเท่านั้น
แต่แล้ววันหนึ่ง คุณพบว่าคนๆ นั้นมาอยู่ตรงหน้าคุณ
ยิ้มให้คุณ พูดกับคุณ และกอดคุณไว้
คุณคิดว่า ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง