ตอนที่ 15
ผมมองดูภาพรอบตัวที่นิ่งเหมือนโดนสาปให้หยุดเคลื่อนไหว เนื่องจากในเวลานี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่รถติดจนเรียกว่าเดินยังเร็วกว่าการนั่งรถยนต์
แต่แล้วสายตาผมก็เห็นคุณน้าคนหนึ่งที่อยู่บนฟุตบาท กำลังเดินถือของในมือพะรุงพะรัง แต่ก็ยังพอเดินไหว นั่นทำให้ผมนึกถึงแม่ของผม
อยากให้ท่านกลับมาแข็งแรงแล้วเดินไปไหนมาไหนเหมือนคุณน้าคนนี้..
แต่แล้วคุณน้าคนนั้นก็เดินเซไปคล้ายจะเป็นลม ผมที่เบื่อๆ เพราะรถติดเลยตัดสินใจลงไปช่วยทันที
“กลับไปก่อน” ผมบอกธามลูกน้องที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ก่อนจะเปิดประตูลงไปช่วยคุณน้าคนนั้นทันที
“เป็นอะไรมากมั้ยครับ” ผมช่วยพยุงคุณน้าที่ล้มลงไป จนของกระจัดกระจายในบริเวณนั้น ก่อนจะก้มลงไปเก็บของให้กลับมารวมกันอยู่ตรงที่เดิม
“ขอบใจมากพ่อหนุ่ม”
“มาครับ เดี๋ยวผมช่วย” ผมถือของที่พะรุงพะรังก่อนหน้าของคุณป้า ก่อนจะพยุงคุณน้าไปนั่งตรงขอบเก้าอี้ปูนบริเวณตรงนั้น
“คนแก่ก็งี้แหละ หน้ามืดง่าย” คุณน้าพูดแล้วหันมายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“ลูกหลานไปไหนล่ะครับ ทำไมให้คุณน้ามาเดินถือของหนักๆ แบบนี้คนเดียว”
“ลูกไปเรียนนะ ส่วนหลานยังไม่มีหรอก” คุณน้าพูดมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมหันมาส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“ครับ แล้วคุณน้าจะไปไหน เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
“จริงๆ น้าแค่มาเดินเล่นเฉยๆ แต่พอดีผ่านตลาดน่ะ ก็เลยแวะซื้อของซะหน่อย ซื้อไปซื้อมาเต็มมือเลย อย่างที่เห็นน่ะ”
“คุณน้าแข็งแรงจังเลยนะครับ”
“โอ๊ยย ไม่หรอก อายุเยอะแล้ว เมื่อกี้ยังหน้ามืดอยู่เลย ฮ่าๆ..ว่าแต่พ่อหนุ่มนี่ เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ หน้าตาก็ดี ..น้ามีลูกสาว สนใจมั้ย สวยด้วยนะ ฮ่าๆ”
“…”
“น้าพูดเล่นน่ะ ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้” คุณน้าพูดพร้อมหันมายิ้มให้ผม ผมก็เลยส่งยิ้มกลับไปให้ตามมารยาท
“งั้นผมเดินไปส่งนะครับ”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก นี่ไงถึงรถแล้ว” คุณน้าพูดออกมาพร้อมกับหยิบรีโมทเปิดรถออกมา ผมเลยเอาของที่ช่วยถือก่อนหน้าใส่เข้าไปในรถให้เรียบร้อย ก่อนจะปิดประตูรถ
“ขอบใจอีกครั้งนะพ่อหนุ่ม” ผมทำเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆไปให้ พร้อมกับมองภาพของคุณน้าตรงหน้า ที่เปิดประตูไปนั่งตรงที่คนขับรถ ก่อนจะขับรถออกไป
ถ้าแม่ผมเดินได้คล่องแบบนี้
ถ้าแม่ผมสามารถขับรถเองได้แบบนี้
ก็คงจะดีไม่น้อยสินะ
Ploysai Part
ตอนนี้ฉันมาเดินเล่นในห้างกับกลุ่มเพื่อนของฉัน แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินกันอยู่นั้น
“เฮ้ย แกๆๆ นั่นพี่ยีนส์ป่ะ มากับผู้ชายที่ไหนวะ” พวกเราหันไปตามเสียงของยัยศรที่พูดขึ้นมา ก็เห็นพี่ยีนส์เดินอยู่ไกลๆ ส่วนผู้ชายคนนั้นฉันก็ไม่เห็นหน้าซะแล้ว เพราะตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินหันกลับไปยังอีกทิศ จึงเห็นแค่เพียงแผ่นหลังของเขาเท่านั้น
“ไม่ได้มาด้วยกันปะวะ ดูเหมือนพี่ยีนส์แม่งเดินตามไม่หยุด ผู้ชายไม่เห็นจะสนใจเลย”
“อยากรู้ ก็ต้องตามไปเผือก!” สิ้นเสียงยัยเกรวี่ ทุกคนหันมามองอย่างรู้กัน ก่อนจะเดินย่องๆ ตามกันไป ส่วนฉันก็ต้องเดินตามยัยพวกนี้ไปด้วยน่ะสิ
พวกเราเดินตามแผ่นหลังของทั้งสองคนไปอย่างแนบเนียน จนกระทั่งเดินไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ต
ฉันเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นไอแปลกๆแล้วล่ะ จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา
“เชี่ย!!” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน รวมถึงฉันที่ร้องอยู่ในใจ
“นั่นมันพี่ลีนี่หว่า” ยัยศรรีบดึงพวกเราทุกคนหลบจากซอยนั้น แล้วก็เริ่มพูดขึ้นมาคนแรก
“พี่ลีเขาเป็นอะไรกับพี่ยีนส์วะ ฉันว่า พี่ยีนส์แม่งต้องตามตื้อพี่ลีแน่ๆ ดูจากการกระทำของพี่ลีแล้ว” ยัยมินพูดพร้อมวิเคราะห์ออกมา แล้วพวกเราก็ชะเง้อไปดูใหม่ ก็เห็นพี่ลีที่เดินดูสินค้า เหมือนเช็กผลิตภัณฑ์ของตัวเอง โดยที่พี่ยีนส์ค่อยเดินตามไม่ห่าง เมื่อพี่ยีนส์แตะตัว ก็ดูพี่ลีจะปัดมือออกไปอย่างไม่สนใจ
พวกเรากลับมาหลบมุมต่อเหมือนเดิม พร้อมเริ่มวิเคราะห์กันอีกครั้ง
“หรือที่ยัยพี่ยีนส์ไม่พอใจแก เพราะเรื่องพี่ลีวะ” เสียงยัยมินวิเคราะ์เป็นคนต่อมา ก่อนจะตามด้วยยัยเกรวี่มาติดๆ
“แกก็ลองออกไปเจอสองคนนั้นสิ ดูว่าจะเป็นยังไง”
“โอ๊ย ฉันไม่อยากยุ่งด้วยหรอก มันก็เรื่องของเขาป่ะแก” ฉันโวยวายออกมา และทำท่าจะเดินหนี เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่แล้วยัยเกรวี่ก็ผลักฉันออกมาจากตรงมุมนั้น แล้วเด้งไปยังโซนที่พี่ลีและพี่ยีนส์อยู่ทันที
โอ๊ยย
ฉันเงยหน้าไปมอง ก็เห็นพี่ลีและพี่ยีนส์มองมาที่ฉัน ฉันก้มหน้าเล็กน้อยแล้วหันเหลียวกลับไปมองยัยเพื่อนตัวดีทั้งสาม ก็เห็นพวกมันทำท่าสะบัดมือให้ฉันไปต่อ
เห้อ!! ทำไมต้องมายุ่งกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยนะ ฉันเลยเงยหน้าไปอีกครั้ง ก่อนส่งยิ้มไปให้กับคนตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ พี่ลี พี่ยีนส์ บังเอิญจังเลยนะคะ มาซื้อของเหรอคะ” ฉันเอ่ยยิ้มทักทายอย่างสดใส
“พลอยรู้จักยีนส์ด้วยเหรอ” ฉันเห็นพี่ลีเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายิ้มเหมือนเดิม แล้วจึงพูดออกมา
“ค่ะ โลกกลมจังเลยเนาะ ไม่รู้ด้วย..ว่าพี่ลีก็รู้จักกับพลอยใส” พี่ยีนส์พูดพร้อมกันส่งยิ้มเย็นมาให้กับฉันและพี่ลีไปมา ซึ่งดูก็รู้ว่าไม่ได้คิดแบบที่พูดสักนิดเดียว
“ค่ะ โลกกลมจริงๆ” ฉันตอบยิ้มๆกลับไป
“พอดีเลย พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะชวนพลอยมากินข้าวเที่ยง ไปกินด้วยกันนะครับ” พี่ลีพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งขัดกับคนข้างๆ อย่างสิ้นเชิง
“เออ พี่ลีมากับพี่ยีนส์ ไปกินกับพี่ยีนส์จะดีกว่านะคะ พอดีพลอยนัดเพื่อนมากินด้วยแล้วค่ะ” ฉันยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
“พี่ไม่ได้มากับยีนส์หรอก เราบังเอิญเจอกันเฉยๆ ใช่มั้ยยีนส์” พี่ลีหันมาพูดกับฉันก่อนจะหันไปถามพี่ยีนส์เสียงเข้ม
“พี่ลีบอกแบบนั้นก็แบบนั้นแหละ” พี่ยีนส์ตอบออกมา ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ พร้อมหันมองไปทางพี่ลีอยู่เป็นระยะๆ
“เออ งั้นพลอยขอตัวก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวเพื่อนๆ พลอยก็มาถึงแล้ว” ฉันกล่าวลาเพื่อที่จะออกจากสถานการอึดอัดตรงนี้
“งั้นพี่ไปกินข้าวเที่ยงด้วยนะ” ปกติพี่ลีก็สนิทกับเพื่อนของฉันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ติดอะไรถ้าจะไปกินกับเพื่อนๆ ฉันด้วย แต่ตอนนี้มันติดตรงที่มีพี่ยีนส์นี่ละ
“ไม่เป็นไรค่ะ พลอยไปก่อนนะพี่ลี” ฉันพูดจบก็เดินออกมาจากตรงนี้ทันที
ตอนนี้ฉันพอเดาได้แล้วว่า พี่ลีและพี่ยีนส์น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง และเป็นเหตุที่ทำให้พี่ยีนส์ไม่ชอบหน้าฉัน ซึ่งฉันไม่อยากให้การใช้ชีวิตที่เหลือในมหาลัยลำบากไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้น ไม่ยุ่งกับทั้งคู่ในตอนนี้จะดีที่สุด
หลังจากเดินออกมา ฉันก็มุ่งตรงไปหาเพื่อนๆของฉัน แล้วลากพวกมันออกไปจากตรงนี้ทันที โดยระหว่างตลอดการเดินห้าง ยัยพวกนั้นก็สันนิษฐานไม่หยุดว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน เป็นอะไรกันไม่รู้ รู้แต่ว่าจากสีหน้าพี่ยีนส์เมื่อกี้แล้ว เกลียดขี้หน้าฉันเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน!
.
.
.
วันถัดมา..
ฉันหยิบมือถือขึ้นมาถือไว้ แล้วก็วางลงบนโต๊ะ แล้วก็หยิบขึ้นมาใหม่ แล้วก็วางลงไปอีก ฉันทำอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเพื่อนฉันก็ทนไม่ไหว
“โอ๊ยยย อีพลอยย แกจะชักมือไปมาทำไมวะ ก็โทรออกไปแค่นี้เอง ”ยัยศรพูดขึ้นมาพร้อมกดโทรออกไปยังปลายสายของคนที่ทำให้ฉันลังเลทันที พร้อมทั้งยังเปิดลำโพงวางไว้กลางโต๊ะ
“ไอ้ศร!!” ฉันโพล่งเสียงดังทันที แต่ไม่ทันไรเสียงทุ้มก็ดังออกมาจากวัตถุสี่เหลี่ยมที่วางอยู่กลางโต๊ะตอนนี้
“[ครับ]” ฉันเงยหน้าไปมองเพื่อนๆ ที่กรี๊ดร้องแต่ไม่ส่งเสียงออกมา
“คะคือ เรื่องที่จะให้ช่วยโปรโมทที่บอกคราวที่แล้วอ่ะค่ะ..พลอยจะให้..เอิ่ม..ฮะ เฮีย..ช่วยโพสใน IG กับ Facebook ให้หน่อย”
“[เฮียไม่สะดวกคุยโทรศัพท์..สะดวกคุยต่อหน้ามากกว่า]” และเป็นอีกครั้งที่ฉันหน้าชา เขาอยากคุยกับฉันต่อ..หน้า..งั้นเหรอ
ส่วนเพื่อนๆ ของฉันก็เหมือนเดิม กรี๊ดออกมาทางสีหน้า แม้จะไร้เสียงใดๆ แต่ก็อาจจะมีเล็ดลอดออกมาบ้างเล็กน้อย
“อะเออ สะดวกนัดเจอที่ไหนเหรอคะ”
“[เดี๋ยวอีก 10 นาที เฮียถึงมหาลัย เจอกันที่ห้องทำงาน รู้ใช่มั้ยครับว่าอยู่ตึกไหน]” ทำไมฉันจะไม่รู้ละ ฉันมองไปที่ห้องนั่นจากข้างล่างทุกวัน
“ระรู้ค่ะ”
“[แล้วเจอกันครับ..อ่อ แล้วก็..รบกวนน้องศร น้องมิน น้องเกรวี่ ไม่ต้องมานะครับ พี่ขอคุยกับเพื่อนน้องเป็นการส่วนตัว]”
กรึก
กรี๊ดดดดดดดด
ตอนนี้เสียงกรี๊ดดังไปทั่วบริเวณที่นั่งอยู่ทันทีที่เฮียสายวางไป
“แกกกกกกกกก เขาเรียกชื่อฉันนนน” เสียงยัยศรพูดขึ้นมาทันที
“โอ๊ยย ใจไม่ดีเลย อีลูกชะนี ฉันเกลียดแก!!!”
.
.
.
ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าห้องทำงานของเฮียเค ที่ปกติฉันมักจะมองมาจากข้างล่างเท่านั้น ใจของฉันตอนนี้ ถ้าเทียบกับแผ่นดินไหว คงประมาณ ห้าริกเตอร์ มันเต้น
ตุ๊มๆต่อมๆ ตลอดเวลา
“เข้าไปได้เลยครับ” ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าห้องทำงานของเฮียพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นคือเลขาของเขาที่ฉันเจอคราวที่แล้วนั่นเอง แต่ครั้งนี้เขาทำเพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ฉันเท่านั้น ทำให้ฉันต้องเอื้อมมือที่สั่นเล็กน้อยไปจับลูกบิดประตูข้างหน้าก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“เชิญนั่งครับ” เฮียส่งยิ้มมาให้ฉันพร้อมผายมือไปยังโซฟาที่อยู่ภายในห้อง
ยิ้มมาอีกแล้ววว..
ฉันเดินไปนั่งตรงโซฟาอย่างที่เฮียบอกก่อนหน้า แล้วทำทีเป็นมองบรรยากาศรอบๆ ห้องแทนที่จะสบตากับเฮียตรงๆ
ห้องนี้สินะ ที่ฉันเฝ้ามองทุกวันว่าข้างในมันเป็นอย่างไร มันเป็นห้องทำงานธรรมดาสีขาวเรียบๆ ไม่ใหญ่เกิน ไม่เล็กเกิน บนโต๊ะทำงานมีเอกสารวางค่อนข้างเยอะแต่ก็ดูเรียบร้อย ไม่รกในสายตา
“ที่มานี่ คงไม่ได้แค่มานั่งมองห้องหรอกใช่มั้ย” อยู่ๆ เฮียก็พูดออกมา ทำเอาฉันที่กำลังมองรอบๆ ห้องต้องหันไปมองคนที่พูดแทน ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
“เออ ก็เรื่องที่บอกไปเมื่อกี้ค่ะ รบกวนช่วยโพสต์รูปนี้ให้หน่อยค่ะ” ฉันพูดพร้อมเปิดภาพในหน้าจอในมือถือ ก่อนจะหันหน้าจอไปทางเขา แต่ด้วยระยะห่างระหว่างเฮียกับหน้าจอมือถือ ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นจากตรงโต๊ะทำงานแล้วเดินตรงมาหาฉันที่โซฟาทันที
ตึกตัก ตึกตัก
เฮียก้มหน้ามาเรื่อยๆ เพื่อเข้ามาดูภาพในหน้าจอมือถือ ที่ฉันถือค้างไว้ใกล้บริเวณใบหน้า มันทำให้การที่เขาก้มลงมา เสมือนเข้าใกล้หน้าของฉันเช่นกัน ฉันมองการกระทำของเขาอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายฉันก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาปี๋ทันที
“หึหึ” แล้วฉันก็รู้สึกถึงแรงยวบข้างๆ โซฟาที่ฉันนั่ง ทำให้ฉันลืมตาแล้วหันไปมองทันที ก็พบว่าเฮียกำลังนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับก้มดูมือถือของฉันที่ตอนนี้ไปอยู่ในมือของเขาเรียบร้อย เอามือถือไปตอนไหน ไม่รู้ตัวเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เฮียก็กดๆ พิมพ์ๆ อะไรสักอย่างในมือถือของฉัน แล้วก็ส่งมือถือคืนฉันมา ฉันหยิบมันมาดู ก็พบว่าเฮียกับฉันเป็นเพื่อนกันในไลน์เรียบร้อย พร้อมทั้งยังส่งรูปที่ฉันเปิดก่อนหน้าไปให้เขา
“ให้ทำแค่นี้ใช่มั้ย” เขาพูดขึ้นมาทำให้ฉันละสายตาจากหน้าจอแชทในไลน์ไปมองที่เขาแทน ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ไปเหมือนโดนมนต์สะกด สักพักเฮียก็ยัดมือถือของเขามาใส่ในมือของฉัน ฉันรับเอาไว้อย่างไม่เข้าใจ
“ฝากโพสต์หน่อย เฮียขอไปเคลียงานต่อ” พูดจบ เฮียก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเดิมทันที
อะไรคือให้ฉันโพสต์ให้ นี่เขายกมือถือให้ฉันเลยอย่างนั้นเหรอ ฉันได้แต่ท่องในใจ งานๆๆๆ งานนี้ก็เหมือนงานของเขา ก็คงไม่แปลกที่เฮียจะช่วยโปรโมทให้
ฉันเลยกดเข้าโปรแกรม Facebook และ instagram ของเขา แคปชันต้องพิมพ์ตามสไตล์ของเฮีย ไม่งั้นคนอื่นจะสงสัยว่าเฮียไม่ได้พิมพ์เอง
#หนึ่งปีมีครั้งเดียว #SIANTA #Siantafestival
โอเคตามนี้ละกัน ไม่นานฉันก็กดโพสต์ไปเรียบร้อย
ฉันเงยหน้าไปก็เห็นเฮียพิมพ์ๆ เคาะๆ อะไรลงบนคีย์บอร์ดที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานโดยไม่ได้หันมามองฉันแม้แต่น้อย
เอาละตอนนี้ต้องส่งมือถือคืนเฮียแล้วสินะ แต่โอกาสที่ฉันจะได้ใกล้ชิดมือถือเขาแบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ นะ ฉันอดไม่ได้ที่จะขอถ่ายรูปมือถือของเฮียไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
ฉันหันไปมองเฮียอีกครั้ง ก็พบว่าเขายังคงสนใจกับงานที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาเหมือนเดิม ฉันเลยเปิดโปรแกรมถ่ายรูปของมือถือตัวเองขึ้นมา พร้อมสลับเป็นกล้องหน้าเสร็จสรรพ ก่อนจะยกมือถือเฮียขึ้นมาแล้วถ่ายรูปคู่
ใช่แล้ว..ฉันถ่ายรูปคู่กับมือถือเฮีย !!
หลังถ่ายเสร็จฉันก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่พอฉันเงยหน้าไปที่คนตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานนั่น ฉันกลับเห็นเฮียกำลังมองมาทางฉันอยู่ไม่วางตา
ซวยแล้ว ฉันจะดูกลายเป็นยัยโรคจิตมั้ยเนี่ย!!!!