ตอนที่ 22
กลับมาที่ปัจจุบัน
“ครับ ผมปล่อยวางแล้ว”
“อืม เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว รื้อคดีมาก็คงหมดอายุความไปหมดแล้วด้วย ”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ปล่อยวางเหรอ ไม่หรอก อีกไม่นานนี่แหละ เพราะอีกไม่กี่วัน เขาคนนั่นก็จะขยายธุรกิจครอบคลุมประเทศที่สิบได้แล้ว และวันนั้นจะเป็นวันที่นรกมาเยือนมึงแน่! หึหึ
.
.
.
Ploysai Part
เห้ออ ตอนนี้ฉันนั่งมองหน้าจอไลน์ไปมา คิดว่าจะเอายังไงดีกับสิ่งที่ยัยเกรวี่ตอบตกลงไปในที่ประชุมวันนี้ไป พอออกมาจากห้องนะ ทุกคนก็ดีใจกันใหญ่ ที่มีเรื่องทำให้ฉันได้ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง ส่วนฉัน่ะเหรอ แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
“พลอยเป็นอะไรลูก พ่อเห็นมองโทรศัพท์ตลอดเวลาไม่กินข้าวสักเท่าไร” พ่อทักฉันขึ้นมา ทำให้ฉันต้องวางโทรศัพท์ก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นตักข้าวตรงหน้ากินให้พ่อสบายใจแทน
“กินแล้วค่าาา”
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้า พ่อจะไปเกาหลีนะ ยังไงก็ฝากดูยัยพิงค์ด้วย อย่าให้ไปซนหรือแอบเที่ยวบาร์โฮสที่ไหนอีกล่ะ” ไม่ทันแล้วค่ะพ่อ ฉันได้แต่พูดในใจแล้วก็ส่งยิ้มให้ไปแทน
“พ่อ พิงค์ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ เรื่องบาร์โฮสก็ไปขำๆเอง สีสันน่ะ ยูโน้วว ..เออไปเกาหลี หนูฝากพ่อไปถ่ายรูปคาเฟ่ของลีจุนกิให้หนูหน่อยสิ”
“ยัยพิงค์ พ่อไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ลูกคนนี้นี่”
“ฮ่าๆ นั่นสิ ยัยพิงค์เอาแต่เล่นอยู่ได้....ฉันดีใจด้วยนะคะ ในที่สุดคุณก็ขยายธุรกิจครบสิบประเทศภายในสามปี ตามที่คุณตั้งเป้าหมายไว้” แม่ใหญ่หันไปพูดใส่ยัยพิงค์เล็กน้อยก่อนจะพูดแสดงความยินดีกับพ่อขึ้นมา
“นั่นสิคะ หลังกลับมา ฉันว่าเราต้องฉลองกันหน่อยดีมั้ย” แม่ของฉันก็พูดสมทบขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆ แล้วแต่พวกคุณเลย งั้น..ผมจะรองานฉลองนะ ชวนพี่ลีเขามาด้วยสิพลอย”
“ไม่เอานะ ห้ามเชิญ เราฉลองกันภายในครอบครัวก็พอแล้ว”
“ยัยพิงค์ พี่พลอยแกน่ะอายุเท่านี้มีแฟนได้แล้ว มัวแต่หวงพี่จนตอนนี้พี่แกยังไม่มีแฟนสักคน ถ้าเป็นแกนะ พ่อจะไม่แปลกใจเลย ”
“พ่ออ่ะ!! พิงค์ไม่ได้หวงพี่สาวคนนี้ซะหน่อย แต่แค่ต้องคัดกรองพี่เขยเท่านั้นเอง”
“แล้วลีไม่ดีตรงไหน อ่ะ..แล้วเลิกพูดได้แล้วนะ ว่าเพราะเขาเจ้าชู้ พ่อยังไม่เห็นได้ข่าวผู้หญิงอะไรเกี่ยวกับเขาเลย แถมยังดูแลยัยพลอยเป็นอย่างดี”
“พ่อมันคนนอก นี่ๆ ต้องอย่างพิงค์ คนใน รู้ดี รู้ชัด รู้จริง รู้ทุกเรื่องยิ่งกว่าเรื่องของตัวเอง!” ยัยพิงค์พูดอย่างภาคภูมิใจ พูดไปด้วยตบอกตัวเองไปด้วย แต่คำพูดของมัน ไม่ได้มีใครเชื่อถือเลยสักคน นอกจากจะหัวเราะออกมาเท่านั้น
หลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะยัยพิงค์ที่สร้างสีสันให้ทุกคนในบ้าน
ฉันมีความสุขจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกบ้านหลังนี้ ..
.
.
.
‘เรื่องกรรมการตัดสิน สรุปจะช่วยพลอยมั้ยคะ’ ไม่เอาๆ มันดูห้วนไป
ลบๆๆ
‘เฮียพอพูดกับเพื่อนเฮียให้เป็นกรรมการได้หรือเปล่าคะ’ เอ้ มันจะดูบังคับเขาเกินไปมั้ยนะ
ลบๆๆๆ
‘ถ้าเฮียไม่สะดวกช่วยเรื่องเป็นกรรมการก็ไม่เป็นไรนะคะ’ อันนี้มันก็ดูเหมือนไม่มีความพยายามขอร้องเขาเลย เดี๋ยวก็โดนพี่ยีนส์คว่ำปากใส่อีก
ลบๆๆๆๆๆ
เห้อ!!!
ฉันโยนมือถือลงเตียงพร้อมโยนตัวเองลงเตียงตามมือถือไปอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหันไปมองเจ้ารักแรกที่มองมาทางฉันตาแป๋ว
“รักแรกกก ทำไมจะคุยกับพ่อแก มันลำบากลำบนขนาดนี้้น้ะะะ ...แม่ควรจะพิมพ์อะไรไปหาพ่อแกดี..หรือแม่ควรจะบุกไปหาพ่อแกถึงที่เลยดีมั้ย..คริคริ...คงไม่ดีหรอกเนอะ เดี๋ยวแกได้กำพร้าแน่ๆ เพราะเจอหน้าพ่อแกทีไร แม่แกหัวใจจะวายทุ๊กกกที ฮ่าๆๆๆ” ขณะที่ฉันบ่นกับรักแรกไปเรื่อย มันก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร นอกจากมองหน้าฉันตาแป๋วอยู่อย่างนั้น จนฉันเห็นแล้วอดใจไม่ไหว
โอ๊ยยย หมั่นเขี้ยวจริงๆ เลยโว้ยย
ทันทีที่คิดแบบนั้น ฉันก็กระโดดจากเตียงไปอุ้มรักแรกมาฟัดทันที
งึมๆๆๆๆ
เมี๊ยววว
“รักแรกกกก ช่วยแม่ด้วยย แม่ควรทำไงดี..”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” จังหวะนั่นเอง อยู่ๆ โทรศัพท์ฉันก็มีคนโทรเข้ามา ฉันเลยวางเจ้ารักแรกลงแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ทันที
‘เฮียเคของพลอยใส’
เฮ้ย!!!!
ฉันโยนมือถือทิ้งลงเตียงไปทันที
เฮียโทรมาเลยเหรอเนี่ย
“รักแรก แกโทรจิตบอกพ่อแกเหรอ!!” ฉันหันไปพูดกับมัน ก่อนที่มันจะมองฉันนิ่งๆ แล้วก็สะบัดตูดออกจากห้องไป เลยทำให้ฉันต้องกลับมาโฟกัสเสียงที่ดังตลอดเวลาของสิ่งที่ฉันถืออยู่ในมือตอนนี้ก่อน
เอาไงดี เอออ รับสิวะๆๆ
“สะ สวัสดีค่ะ”
“[วันนี้ใครไปส่งบ้าน]” ซวยแล้วมั้ยละ ถ้าบอกว่าพี่ลีจะโดนทำโทษมั้ยนะ
แล้วเขารู้ได้ไง เพราะเขาเห็นรถที่จอดอยู่ที่มหาลัยเหรอ
เออ ช่างมันเถอะ! เอาสถานการณ์ตอนนี้ให้รอดก่อนดีกว่า ยัยพลอย
“เออ..คือ..”
“[ถ้าโกหกจะโดนอะไร คงรู้นะ]” เฮ้ย! ก็อยากโดนอยู่นะ อร๊ายยยย..
ไม่ได้สิ เราต้องเป็นกลุสตรี!!
“เออ..เฮียคะ..เรื่องกรรมการตัดสิน เฮียตกลงช่วยพลอยได้มั้ยคะ” ฉันไม่ได้โกหกนะ แค่เปลี่ยนเรื่องเท่านั้นเองหวังว่าจะรอดนะ?
“[หึหึ..อยู่ไหนเดี๋ยวเฮียไปรับ]” ฮะ!! มารับ คืออะไร แล้วมารับในเวลานี้เนี่ยนะ
“นี่มันสองทุ่มแล้วนะคะ”
“[อยู่ไหน]”
“เออ..อยู่บ้านค่ะ”
“[ส่งโลเคชันมาให้ด้วย]”
กรึก
แล้วเฮียก็วางสายไปเลย ซวยแล้วมั้ยละ เขาจะมาหาฉันที่บ้านเนี่ยนะ!! แม่ได้ด่าตายพอดี ให้ผู้ชายมาหาที่บ้าน
แล้วเขาจะพาฉันไปไหนนะ คงไม่ได้พาไปทำโทษใช่มั้ยยยย ///.
.
.
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งตบยุงรอเฮียอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้านฉันเอง ก็แน่สิ ใครจะไปส่งโลเคชันบ้านให้เขา ถ้าเขามาบ้านจริง แม่โวยวายฉันแน่ๆ เพราะแม่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องผู้ชายกับฉันมาก ถ้าไม่ใช่พี่ลี แม่ก็ไม่อยากให้ฉันไปสุงสิงกับใคร ซึ่งปกติฉันก็ไม่ทำอยู่แล้วไง แต่กรณีเฮียฉันคงต้องขอยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่พิเศษธรรมดานะ แต่พิเศษเหนือพิเศษเลยละ
ก็คนมันรักกกอะ ทำไงได้ งื้อออ /// ฉันเลยตัดสินใจ ส่งโลเคชันตรงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยของบ้านแทน แล้วบอกแม่ว่าออกไปทำโปรเจคงานกับเพื่อนๆ ซึ่งแม่ก็อนุญาตไม่ได้ว่าอะไรฉัน เพราะปกติฉันก็ทำแบบนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว
ฟรืดดด
ตอนนี้ก็มีรถสปอร์ตหรูมาเทียบท่าตรงป้ายรถเมล์เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับกระจกรถที่ลดลงมา ทำให้เห็นใบหน้าเจ้าของรถที่หันมามองฉันด้วยสายตานิ่งเรียบ และเป็นอันรู้กันว่า ฉันควรเลิกตบยุงแล้วขึ้นรถของเขาไปได้แล้ว ไม่งั้นคนที่โดนตบคงไม่ใช่ยุง แต่กลายเป็นฉันนี่ละ
แต่ไม่ได้ตบด้วยมือนะ ตบด้วยปาก
อร๊ายย คิดเอง เขินเอง บ้าบอออ... // “ทำไมให้มาที่นี่” นั่นคือคำพูดแรก พร้อมกับหน้าที่นิ่งเรียบของคนขับรถคันนี้ หลังจากที่ฉันปิดประตูเรียบร้อย
“มันดึกแล้ว พลอยกลัวแม่จะว่าเอา..ที่ให้ผู้ชายมาหาที่บ้าน”
“ก็ดีน่ะสิ จะได้รู้ว่าลูกเขยหน้าตาเป็นยังไง” ฉันหันควับไปมองเฮียทันที แต่เขาก็ยังทำสีหน้าหน้าตายพร้อมมองมาที่ฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อร๊ายยยยย ลูกเขยบ้าบอ!!!
แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็พูดประโยคหนึ่งออกมา ทำให้ฉันเปลี่ยนจากสีหน้าช็อคกับคำพูดของเขาก่อนหน้า เป็นขมวดคิ้วงงกับคำพูดใหม่ของเขาแทน
“วันหลังห้ามทำแบบนี้อีก” หมายถึง เรื่องที่พี่ลีมาส่งวันนี้หรือเปล่านะ...
“ห้ามมานั่งที่เปลี่ยวๆ คนเดียวแบบนี้อีก” นี่เขาเป็นห่วงฉันเหรอ ให้ตายเหอะ ฉันจะเป็นลมอยู่แล้วนะ แล้วทำไมเขาต้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เป็นห่วงขนาดนี้ด้วยนะ!!
โอ๊ยยย สายตาแบบนี้ ตายๆๆ!! อย่าให้ฉันมโนเยอะได้มั้ย เฮียเค งื้ออออ
หลังจากที่ฉันพยายามหลบสายตาที่มองมาที่ฉันอย่างไม่ละสายตานั่น เฮียเคก็เอื้อมมือมาช้อนหน้าของฉัน เพื่อให้หันไปสบตากับเขา ก่อนที่จะเปลี่ยนจากสีหน้าเป็นห่วงเมื่อครู่ กลายเป็นหน้าเรียบอีกครั้ง และเริ่มเอ่ยประโยคที่ฉันหวั่นมาตลอดเวลาที่นั่งรอเขา
“ส่วนเรื่องที่ยังไม่ตอบเฮียเมื่อกี้..ตอบใหม่”
“ถ้าฟังแล้วไม่เข้าหู...โดนลงโทษ”
ตึกตึก ตึกตึก
“ใครมาส่งครับวันนี้” ตอนนี้เฮียพูดด้วยเสียงและสีหน้าที่เรียบเช่นเดิม แต่องศาของหน้าและลำตัวของเขา มันไม่ได้อยู่ที่เดิมน่ะสิ
เอาอีกแล้ววว เขาจะจู่โจมฉันอีกแล้วเหรอ /// “เออ..คือ”
“ครั้งนี้..ห้ามเปลี่ยนเรื่อง” ตอนนี้หน้าของเขาอยู่ห่างจากฉันแค่คืบจริงๆ และสายตาคู่นั้นที่มองมาทางฉันน่ะ ทำให้ฉันต้องพยายามที่จะหลุบสายตามองลงไปข้างล่าง แต่ด้วยหน้าที่ใกล้กันแค่คืบ พอมองลงล่างฉันก็เห็นปากเขาอยู่ดี
งื้อ ปากนี่ใช่มั้ย ที่ชอบทำโทษฉัน ทำไมมันถึงได้เข้ารูป สีแดงน่าจูบอย่างนี้ละ
อร๊ายยยย ใจร่มๆไว้ ยัยพลอย!!
ฉันเลยเปลี่ยนทิศทางมองไปทางอื่น พยายามกรอกตาไปซ้ายทีขวาที ไปทางไหนก็ได้แต่จะไม่มองตรงเพื่อสบตากับคนตรงหน้าเด็ดขาด แต่ดูแล้วไม่ว่าจะหมุนตาไปทางไหน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นรัศมีใบหน้าของเขาได้เลย
โอ๊ยยย ใจบางงหมดแล้ว
เอาละ ฉันคงต้องพูดความจริงสินะ...ฮึบ!
“คะคือ..พี่ลีชวนไป..”
อื้ออออ
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ เฮียก็จับใบหน้าของฉันให้ไม่สามารถหันไปไหนได้และไม่สามารถที่จะหลบสายตาแกร่งของเขาได้เช่นกัน ก่อนที่จะประกบปากฉันทันทีด้วยความนุ่มนวล แต่แล้วเวลาผ่านไปไม่นาน ความนุ่มนวลนั่น ก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาใช้ลิ้นของเขาตวัดไปมาเหมือนคนที่ชำนาญและช่ำชอง หรือเป็นเพราะว่าฉันไม่มีประสบการณ์เองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ฉันไร้เรี่ยวแรงในการขัดขืนใดๆต่อการกระทำของเขาทั้งสิ้น แต่แล้วฉันก็ต้องรวบรวมแรงตัวเองมาอีกครั้ง เพราะฉันเริ่มหายใจไม่ออก และหัวใจที่สั่นเหมือนแผ่นดินไหวรุนแรงนั่นอีก อาจจะทำให้ฉันช็อคตายได้ในเวลาไม่ช้านี้
ปั่กๆๆ
ฉันเริ่มทุบอกคนตรงหน้าที่ไม่ยอมปล่อยให้ปากฉันเป็นอิสระสักที ทั้งๆที่มันเนิ่นนานเกินไปแล้ว
อื้ออ
หลังจากฉันทุบอกเขาไม่นาน เขาก็ยอมผละปากออกมา แต่ก็ยังเอามือหนาประกบใบหน้าฉันเอาไว้อย่างนั้น พร้อมกับเอาหน้าผากของเราชนกัน ก่อนทั้งฉันกับเขาจะหายใจหอบด้วยความเหนื่อยกับการกระทำเมื่อสักครู่
แฮ่ก แฮ่ก
แต่แล้วเขาก็กดปากเขาลงมาที่ปากของฉันหนักๆอีกครั้ง ก่อนจะถอนตัวออกมานั่งในตำแหน่งเดิม
อื้ออออ
หลังจากทุกอย่างผ่านไป และสติฉันกลับมาปกติแล้ว ฉันก็รีบหันหน้าตรงไปตามทิศของรถ เพื่อหลบสายตาของเขาทันที แม้ฉันจะแอบเหล่มองไปทางเขาอยู่เป็นระยะๆบ้างก็เถอะ
ตึกตึก ตึกตึก
จูบของเฮีย มันแอดวานซ์ขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ฉันอยากจะบ้าตาย!!
“อย่าให้มีอีกครั้ง ไม่งั้นบทลงโทษไม่ใช่แค่นี้..นะครับ” เขาพูดออกมานิ่งๆ แต่สายตามันไม่ได้นิ่งเหมือนน้ำเสียงของเขาสักนิด เพราะเขามองมาทางฉันด้วยสายตาที่แพรวพราวสุดๆ
ฉันทำเพียงพยักหน้าหงึกหงักไป อย่างเชื่อฟังสุดๆ ทั้งๆที่หน้าก็มองตรงออกไปหน้ารถอยู่อย่างนั้น
ไม่นานใจของฉันก็เริ่มกลับมาสงบอีกครั้ง ทำให้ฉันเลือกที่จะหันไปมองหน้าเขา แต่แล้วอยู่ๆ มันก็เริ่มกลับมาเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง เมื่อได้ยินเขาพูดประโยคต่อมา
“หิว..” ประโยคนี้มันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าเขาไม่จ้องมองมาทางฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า ‘หิว’ อะไรบ้างอย่างที่ไม่ได้หมายถึงอาหาร
อย่าบอกนะ ว่าเฮีย.. หิวฉัน
ตึกตึก ตึกตึก
“หึหึ เฮียหิวข้าว ยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันเลย” อ้าว หน้าแตกเลยมั้ยละ
ยัยพลอย นี่แกมโนเก่งเกินไปแล้วนะ ฮ่าๆๆ
แล้วไอ้รอยยิ้มเบาๆมุมปาก นั่นมันคืออะไรอ่ะเฮียย นี่แกล้งกันใช่มั้ยเนี่ย!
หลังจากที่เขามองมาทางฉันด้วยแววตาขบขัน เขาก็เริ่มสตาร์ทรถแล้วขับออกไป..จากตรงนี้สักที
เห้อ!
“ร้าน teriber ละกันนะ” หื้อ นี่เขาชวนฉันไปกินข้าวเหรอ
“แต่..พลอยกินข้าวเย็นแล้ว”
“เฮียก็ไม่ได้ชวนให้มากินด้วยกันซะหน่อย” เพล้ง! มีใครได้ยินเสียงมั้ยคะ หน้าดิฉันเองค่ะ รบกวนช่วยเก็บแล้วโกยไปทิ้งจากตรงนี้ให้ด้วยยย
หน้าแตกรอบสองจ้า พลอยใส..
แล้วอยู่ๆ เฮียก็เอามือมาลูบหัวฉันไปมาพร้อมรอยยิ้มละมุนแต่สายตาของเขาก็ยังมองแต่ภาพการจราจรข้างหน้าอย่างไม่ลดละ
เมื่อเขาเอามือกลับไปวางบนพวงมาลัยเหมือนเดิม ฉันก็เอื้อมมือขึ้นมาแตะลงบนหัวของฉันทันทีอย่างเหม่อลอย สัมผัสเมื่อกี้ ทำไมมันอ่อนโยนยังงี้ละ งื้ออออ
“หึหึ”