บทที่ 7 เมื่อคนหนึ่งเป็นไฟ ใยอีกคนถึงเป็นน้ำมัน
1/
บทที่ 7 เมื่อคนหนึ่งเป็นไฟ ใยอีกคนถึงเป็นน้ำมัน
ลิขิตดั่งอธิษฐาน
(
)
已经是第一章了
บทที่ 7 เมื่อคนหนึ่งเป็นไฟ ใยอีกคนถึงเป็นน้ำมัน
ยามเมื่อแต่งตัวครบองค์เป็นครั้งแรก ฟางหลินนิ่งงันมองตัวเองในกระจก ชุดพวกนี้สวยมาก สวยจนนางยังต้องยอมรับ แต่ตื้นตันใจในความงามของชุดได้ไม่เท่าไหร่ ทรงผมและการแต่งหน้าตามแฟชั่นของยุคนี้ก็ทำให้นางต้องนิ่วหน้าลงอีกหน “คุณหนูรอข้าครู่หนึ่งนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้ามา” หลิวอิงกล่าวยิ้มๆ ภูมิใจในความสามารถของตัวเอง คุณหนูของนางงามอย่างไรก็อย่างนั้น เพียงแค่ชุดสีจืดๆก็งามจนพูดไม่ออก ฟางหลินนั่งลงมองตัวเองในกระจก ใครจะคิดว่าสวยอย่างไรก็ได้ แต่นางไม่ได้โตมากับค่านิยมที่ถูกปลูกผังมาเช่นนี้ เพราะอย่างนั้นนางยอมเป็นตัวประหลาดของเมือง ดีกว่าประหลาดในสายตาตัวเอง นางหยิบผ้าชุบน้ำมาปัดเอาสีชาดปัดแก้มออก เติมปากให้ชมพูระเรื่อ ก่อนจะแต้มสีอ่อนๆที่ติดนิ้วมาแตะที่เปลือกตา ไว้เมื่อไหร่ชินแล้วค่อยว่ากันละกันนะ แต่วันนี้ตอนนี้ขอบายก่อน ฟางหลินพอใจกับใบหน้าที่เครื่องสำอางถูกลบออกจนเหลือเพียงนิดหน่อยอย่างสบายใจเมคอัพไม่ใช่แค่ทำตามเทรนด์เท่านั้น แต่ว่าต้องทำตามสไตล์และความพอใจส่วนบุคคลด้วย ถ้าตัวเองพอใจ จะแต่งแบบไหน ตัวเราก็มองว่างาม ฟางหลินมองช่อผมสูงใหญ่ของตัวเองแล้วถอนหายใจ หนักขนาดนี้จะเดินไปไหนได้ นางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะลุกไหวหรือเปล่า มือข้างหนึ่งถอดเอาหวีสับออกจากผม อีกข้างก็คลำหาปิ่นหยกสีขาวอมชมพูออกวางกับโต๊ะเครื่องแป้ง นางไม่ได้มีเวลาทั้งวันเสียหน่อย ทำไมต้องมานั่งแก้ด้วยก็ไม่รู้ ทำเป็นชั้นเสียใหญ่โต คอไม่เคล็ดกันบางหรือไง ฟางหลินแบ่งช่อผมอย่างชำนาญ ก่อนจะเริ่มใช้หวีสับเพื่อยึดมวยผมครึ่งหัวไว้ นางม้วนผมข้างหน้าทั้งสองข้างเป็นเกลียวแล้วไปรวมช่อกับมวยด้านหลังยืดด้วยหวีหยกอันเล็กๆที่มีตุ้งติ้งห้อยระย้า ปลายประดับด้วยมุกสีขาวประกายข้างละอัน อย่างน้อยนางทำแล้วสบายใจกว่าเดิมก็พอแล้ว ร่างเล็กๆเปิดลิ้นชักแล้วลิ้นชักเล่าเพื่อหาเงินไว้พกติดตัว กระทั่งเจอพวงเหรียญทองแดงหนึ่งพวงใหญ่ ริมฝีปากสีชาดก็ยกยิ้มพอใจ ฟางหลินหาถุงผ้าเล็กหยิบเหรียญทองแดงออกจากพวงเชือกเกือบครึ่งหนึ่ง หย่อนมันลงถุงโดยไม่ได้นับ ก่อนจะแขวนมันไว้กับเอว สายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นป้ายหยกประจำตัวก็คว้ามาห้อยไว้อีกอัน เพียงเท่านี้นางก็พร้อมที่จะหนีเที่ยวแล้ว ฟางหลินเปิดประตู มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินไปตามทางที่หลิวอิงเคยพาไปครั้งก่อน ผ่านสระบัวที่เคยเป็นทางผ่านกลับไปโลกปัจจุบันอย่างเซ็งๆ “ข้าไปคนเดียวก็ได้ ชิส์ รู้จักแป้งหอมน้อยไปเสียแล้ว!” นางพูดอย่างประชดประชัน ก่อนจะสาวเท้าเร็วขึ้นอีกเมื่อเห็นประตูจวนถูกเปิดทิ้งไว้ ฟางหลินยกยิ้มดีใจ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูเพราะกลัวจะมีใครต่อใครเดินผ่านไปมาเห็นนางเข้าเสียก่อน แต่ยังไม่ทันพ้นธรณีประตูดี เสียงเล็กคุ้นหูก็ดังตามหลังมา “คุณหนูเจ้าคะ!” ฟางหลินสะดุดกึก หน้าเจื่อนลงทันที นางชักเท้าอีกข้างที่ยังค้างอยู่ออกมา หันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังวิ่งหน้าตั้งปรี่เข้ามาแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วเริ่มวิ่งหนีไปตามถนนหน้าจวน ถนนเส้นนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ หากแต่ไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมา ด้วยว่าเป็นเขตที่มีจวนขุนนางและเชื้อพระวงศ์อาศัยอยู่เป็นส่วนมาก ผิดกับฝั่งตลาดอย่างลิบลับ ฟางหลินวิ่งไปด้วยความพะวง ทั้งกลัวถูกจับกลับจวน ทั้งกลัวเหยียบชายกระโปรงตัวเองล้ม กระทั่งนางชะลอความเร็วเมื่อออกห่างจากจวนมาไกลแล้ว แถมยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของสาวใช้คนสนิทแล้วด้วย แต่ทว่าเมื่อนางชะลอจนแทบจะหยุดฝีเท้า ยามเมื่อหันไปมองข้างหลังก็เห็นสาวใช้วิ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยความตกใจลนลาน นางจึงออกวิ่งโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่สาวใช้ที่วิ่งใกล้เข้ามาทุกที พลั่ก!!! ด้วยเหตุว่าไม่ได้มองทาง ร่างเล็ก ๆ ของนางไม่ชนเข้ากับผู้ที่เดินสวนมาอย่างไม่เบาแรงแก้มกลมๆชนเข้ากับไหล่คมที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายร่างสูงใหญ่ ฟางหลินที่รู้ตัวก็ก้าวออกห่างและกำลังจะขอโทษ หากแต่ความรุงรังของชายกระโปรงก็ทำให้ร่างของนางเสียหลักเซไป วงแขนแข็งแกร่งจึงขยับตัวด้วยความว่องไวมาคว้าร่างของนางเอาไว้อย่างทันถ่วงที “ข..อโทษค่ะ ...เอ่อ แล้วก็ขอบคุณด้วย” ชายผู้นั้นปล่อยร่างของฟางหลินออกอย่างไม่เต็มใจนัก หากแต่ก็รู้ดีว่าไม่สมควรแตะต้องตัวนางให้เป็นมลทิน “คุณหนูเจ้าคะ หนีมาทำไมเจ้าคะ” หลิวอิงที่วิ่งตามมาทัน ดุเข้าให้หนหนึ่งแล้วจึงหยุดหอบหายใจ ครั้นพอนางเงยหน้าขึ้น ก็ลมแทบจับทันที ท่านอ๋องหยางจื้อ... ถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณชายต้าเจิง นางจะรอดไปถึงพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ “เอ่อ..หลิวอิงคารวะท่านอ๋องหยางจื้อ” หลิวอิงถอนสายบัวน้อยๆ ก้มหน้าต่ำอย่างนึกหวาด ฟางหลินเห็นสาวใช้ของตนทำความเคารพชายแปลกหน้าคู่กรณีแล้วก็เข้าใจว่าต้องทำตาม “เอ่อ...ท่านอ๋องหยางจื้อ เอ่อ ฟางหลินคารวะ...” ฟางหลินคุ้นหน้าดุๆนี่ไม่น้อย หล่อก็หล่ออยู่หรอก แต่หน้าดุอย่างกับเสือใครจะกล้าเข้าใกล้ “จะหนีไปทำอะไรอีก” เสียงทุ้มเอ่ยถามสีหน้าไม่พอใจนัก “คะ ...หนี หนีอะไรคะ” ฟางหลินถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปมองสาวใช้เป็นเชิงถามนางด้วยอีกหน “ก็เห็นเจ้าชอบสร้างปัญหา ชอบทำอะไรไม่คิดอยู่ทุกที” เสียงทุ้มดูใส่อารมณ์ยิ่งกว่าเดิม คนฟังก็เริ่มหงุดหงิดจนมาหน่อยๆอย่างอดไม่ได้ เจอกันครั้งแรกก็มาว่านางฉอดๆ นางไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรสักอย่าง “ข้าเหรอคะ ท่านอ๋องคงจำคนผิด ข้าว่าข้าไม่เคยเจอท่าน...” ฟางหลินยังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระตุกที่แขนเสื้อจากสาวใช้ นางจึงหันไปมองอย่างถามความ สายตาของหลิวอิงดูหวาดๆ แต่นางก็ยังไม่เข้าใจ เตรียมจะพูดต่อ “ข้าคงไม่ใช่...” “เจ้าคือเหอ ฟางหลิน ลูกสาวคนที่สามของท่านอาเตียเล่อ น้องสาวร่วมมารดาของศิษย์พี่ต้าเจิงและหงเชา” เขาร่ายประวัติย่อของนางอย่างไม่ติดขัด นั่นทำให้นางต้องกลืนน้ำลายลง แววตาเจื่อนทำตัวไม่ถูก ที่เขากล่าวมาก็นางนี่นา แต่นางไม่รู้จักเขาเสียหน่อย ทำไมเขาถึงทำท่าทางราวกับรู้จักนางดีนัก “คนที่เห็นชีวิตเป็นของเล่น... เอาแต่ใจตัวเอง ทำร้ายจิตใจใครต่อใครโดยไม่แยแสหัวอกคนอื่น สร้างความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูล แถมยังทำบาปกรรมไว้หนักหนาด้วยการฆ่าตัวตาย อีกทั้งยัง...” “ข้าจำไม่ได้เจ้าค่ะ” ฟางหลินแทรกขึ้น ใบหน้าของนางตึงขึ้นอย่างความไม่สบอารมณ์ ทำไมนางต้องมาฟังเรื่องเก่า ๆ ที่นางไม่เคยรับรู้ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วย นั่นไม่ใช่นางเสียหน่อย “คงเพราะอย่างนี้ ถึงได้โดนทิ้งเร็วนัก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย้ยหยัน แม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องของฟางหลินคนเก่านัก แต่ก็อดเจ็บใจไม่ได้ อะไรกัน เจอกันครั้งแรกก็ปากเสียถึงขนาดนี้ ฟางหลินคนเก่าไปทำอะไรไว้กับตานี้หรือเปล่าเนี่ย ฟางหลินยู่ปากพ่นลมหายใจออกอย่างข่มอารมณ์ เอาล่ะ นางไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะว่าฟางหลินคนเก่ากับชายตรงหน้ามีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน แต่เพราะว่าต่อจากนี้เป็นนาง นางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่างแต่ต้องมานั่งรับกรรมแทนก็อดไม่ได้ที่จะขอจบเรื่องไวๆ แค่อยากมาเที่ยวทำไมถึงได้ยากเย็นนัก “ข้าจำท่านไม่ได้หรอก จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไม่ดีแก่ท่านไว้บ้าง เอาเป็นว่าข้าขอ...”อภัยแทนตัวข้าในอดีตด้วยนะ แต่ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยวาจา คำพูดที่คมดั่งมีดก็ถูกพ่นออกมา “จำได้แต่เพียงองค์ชายสิบห้ากระมัง ...ฟื้นขึ้นมาไม่เท่าไหร่ก็อยากจะตายอีกหน” ฟางหลินกัดฟันกรอด องค์ชายอะไรนักหนา ทำไมนางต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ด้วยเนี่ย ฟางหลินเจ้านะเจ้า ทำไมถึงได้ทำให้ข้าต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย “นี่ข้าเคยไปทำอะไรให้ท่าน...” “รักเขามากหรือ เจ้าก็รู้ว่าเขาแต่งหวังเฟย[2]ไปสองปีกว่าแล้ว แถมยังแต่งตั้งหรูเหริน[3]ไปสองคนแล้วด้วย เว้นก็แค่อิ้งซื่อ[4] ...ลูกสาวราชเลขาธิการขั้น ๑ อย่างเจ้าจะยอมรับได้หรือ” “นี่ท่านพูดเรื่องอะไรกันเจ้าคะ หรูเหริน อิ้งซื่อ” หลิวอิงกระตุกชายเสื้อผู้เป็นเจ้านายทันทีที่เห็นว่านางกำลังทำเรื่องไม่งาม \"พูดจาไม่ระวังปากเสียบ้าง\" เขาเอ่ยเหน็บเสียหนหนึ่ง ฟางหลินหน้าชา “ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดเจ้าค่ะ” ฟางหลินโต้กลับ ความคุกรุ่นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น “เจ้าจะแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ก็ย่อมได้ แต่เจ้าก็จะรู้อยู่แก่ใจของเจ้าเอง” “จากที่ข้าฟังท่านต่อว่าข้ามาครู่หนึ่งแล้ว ข้าก็ค้นพบว่า ท่านเป็นคนแรกที่ข้าไม่ชอบหน้าเลยเจ้าค่ะ ยินดีกับท่านด้วย” ฟางหลินทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วจะเดินกลับเข้าจวนเหอที่นางเพิ่งวิ่งออกมาได้ไม่ก้าวอย่างไม่สบอารมณ์ วันนี้ฤกษ์ไม่ดี คงเดินเที่ยวไม่สนุกแน่ “คุณหนูไม่ล..ลาท่านอ๋อง...เอ่อ หลิวอิงลาท่านอ๋องหยางจื้อเจ้าคะ” หลิวอิงกล่าวลา ก่อนจะวิ่งตามฟางหลินที่จ้ำอ้าวไปไกลแล้ว ฟางหลินเคืองจนไม่สนใจจะทำอะไร นางเดินสาวเท้าเข้าจวน เดินผ่านหอนอนของพี่ชายทั้งสอง ใบหน้าบึ้งตึงเรียกความสนใจจากพี่ชายทั้งสองได้เป็นอย่างดี “หลิวอิง” ต้าเจิงที่เห็นสาวใช้คนสนิทของน้องสาวเดินผ่านมาพอดีก็เรียกไว้ถามความ “น้องข้าไปโกรธอะไรใครมาล่ะนั่น” “เอ่อ คุณหนูนาง...มีปากเสียงกับท่านอ๋องหยางจื้อมาน่ะเจ้าค่ะ” หลิวอิงตอบ “หืม หยางจื้อมาเหรอ ข้าไม่เห็นรู้ว่าเขาจะมาที่จวนนี่นา” หงเชากล่าวเสริม “ท่านอ๋องเดินผ่านมาเจอคุณหนูพอดี ...ตอนแรกก็ดูเหมือนจะคุยกันดีๆ ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามาลงเอยอย่างนี้ได้ยังไงเลยเจ้าค่ะ” “เอ...ฟางหลินไปเจอหยางจื้อตรงไหนหรือ” “คุณหนูกำลังจะแอบไปเที่ยวชมตลาดเจ้าค่ะ แต่มาเกิดเรื่องขึ้นก่อน นางก็เลยบอกให้ข้ากลับ” “โชคดีของเจ้าไปอีกหน เจ้าไปบอกฟางหลินด้วย ต่อไปอยากไปไหนให้มาบอกข้าก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะรับหน้ากับท่านแม่แทนให้” ต้าเจิงฝากข้อความผ่านสาวใช้คนสนิทของน้องสาวไป ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าจวนไปเขียนหนังสือที่คั่งค้างต่อ พลันใจก็นึกถึงศิษย์น้องที่เป็นทั้งสหายและญาติมิตรก็ได้แต่ยิ้ม ดูท่าจะน่าสงสัยเสียแล้วสิ ว่าเพราะอะไรกันที่ทำให้คนเก็บความรู้สึกอย่าง หยางจื้อมีปากมีเสียงกับฟางหลินจนน้องสาวเขาหน้าบูดกลับมาอย่างนั้น [1] ๑ เค่อ = ๑๕ นาที [2] พระชายาเอก สามารถมีได้ ๑ คน [3] พระชายารองขั้น ๕ ชั้นเอก สามารถมีได้ถึง ๒ คน [4] พระชายารองขั้น ๖ ชั้นเอก สามารถมีได้ถึง ๑๐ คน
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
บทที่ 7 เมื่อคนหนึ่งเป็นไฟ ใยอีกคนถึงเป็นน้ำมัน
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A