บ้านของเรา
สองข้างทางที่รถม้าวิ่งผ่านนางเปิดผ้าม่านมองดูเขียวชอุ่มไปหมดแต่ตลอดข้างทางที่นางผ่านเหมือนมีลมโชยๆเข้ามามันให้ความรู้สึกเหนียวๆตัวชอบกลเหมือนลมทะเลเลยนางเลยตัดสินใจถามมารดาอกไป
“ท่านแม่ที่นี่ติดทะเลหรือเจ้าคะ”
“ด้านหน้าคือหมู่ชาวประมงหมู่บ้านจูอยู่ถัดไปอีกสองหมู่บ้าน”
“ทะเลคืออันใดเจ้าคะท่านย่า”เด็กน้อยถามด้วยความสงสัยนางนั่งติดกับมารดามืออุ้มเจ้าหมั่นโถวนั่งตักทั้งที่มันพยายามจะลงไปนอนกับพื้นพรมนิ่มๆแต่นางยังไปอุ้มมันกลับขึ้นมานางให้เหตุผลว่ามันยังตกใจไม่หาย
“ทะเลคือที่ๆมีน้ำเยอะแยะมีน้ำเป็นสีฟ้าใสสวยงามมาก”นางเอ่ยบอกบุตรสาวแทน
“ท่านแม่น้ำเช่นนั้นเราก็เล่นได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิจ๊ะแต่เราต้องดูด้วยว่าที่ตรงไหนเล่นได้หรือไม่ได้แม้จะเป็นที่ที่สวยงามแต่ก็อันตรายได้เช่นกัน”
พอนั่งมาได้สักพักกลิ่นปลาเค็มก็ลอยมาติดจมูกนี่คงถึงหมู่บ้านชาวประมงแล้วสินะหมู่บ้านชาวประมงโบราณหน้าตาเป็นแบบใดกัน นางเปิดม่านดูอีกครั้งคราวนี้กลิ่นรุนแรงขึ้นปะทะกับจมูกน้อยของซือถิงเต็มๆ
“ท่านแม่กลิ่นอันใดกันทำไมมันเหม็นอย่างนี้”นางว่าพลางเอามือน้อยๆปิดจมูกตนเองไว้
“แม่ว่าน่าจะกลิ่นปลาเค็มนะ ถึงเขาจะมีกลิ่นเหม็นแต่ถ้าเราเอาไปทำกับข้าวแล้วกินกับข้าวสวยร้อนๆอร่อยที่สุดเลยจ๊ะ”
“อร่อยกว่าเนื้อหมูป่าที่ท่านแม่ทำมั้ยเจ้าคะ”
“อร่อยคนละอย่างจะเพราะเค้าเป็นอาหารคนละแบบ”
“ข้าอยากกินขอรับท่านแม่”
“ไว้มีโอกาสแม่จะพามาเที่ยวที่นี่นะ”
“ท่านแม่ เลยหมู่บ้านนี้ไปเป็นท่าเรือสินข้าของชาวเปอร์เชียที่ตรงนั้นมีของทะเลขายด้วย”เจ้าหยวนเฟิงเอ่ยแนะนำ
“คุณชายเจ้า ข้าแก่กว่าท่านไม่กี่ปีอย่าเรียกข้าเช่นนี้เลยมันดูไม่เหมาะนัก”นางเอ่ยท้วงด้วยอายุนางกับคุณชายเจ้านางน่าจะอายุมากกว่าไม่กี่ปี
“อีกหน่อยข้าก็ต้องมาเป็นบุตรเขยท่านข้าต้องซ้อมเรียกไว้ก่อน”
คำว่าบุตรเขยทำให้นางเอี้ยวตัวมาบังซือถิงไว้ทันทีส่วนซ่งจัวอีนั่งนิ่งตกตะลึงในคำพูดของเขามองเจ้าหยวนเฟิงนิ่ง เจ้าหยวนเฟิงมองดูการกระทำของทั้งสองแล้วอมยิ้มก่อนเอ่ยไขข้อข้องใจของนางกับมารดาหากปล่อยให้เข้าใจผิดภายภาคหน้าจะเกิดปัญหายุ่งเหยิงตามมา
“ไม่ใช่นางเสียหน่อย นางคือพี่สาวว่าที่ภรรยาข้าต่างหาก ขอคารวะพี่ใหญ่พี่รอง” เจ้าหยวนเฟิงพูดพลางยกมือคารวะเด็กทั้งสอง ส่วนเจ้าหมั่นโถวมันยกหัวขึ้นมองกระดิกหางใส่แล้วนอนต่อ
“คุณชายท่านพูดอันใดของท่านกัน”นางชักไม่ไว้ใจเด็กหนุ่มตรงหน้าเสียแล้วตั้งแต่ในป่าโน่นแล้ว
“เรื่องแบบนี้ล้อกันเล่นได้ด้วยหรือ”นางกล่าวเชิงตำหนิ
“ข้าพูดจริง สักวันท่านจะเข้าใจเอง เมื่อถึงวันนั้นท่านต้องยกนางให้ข้านะ”
“คุณชายเจ้าข้ายังไม่รู้เลยว่าครรภ์นี้เป็นหญิงหรือชาย”
“นางเป็นสตรี สตรีที่งดงามอีกด้วย นี่คือของหมั้น”เจ้าหยวนเฟิงกล่าวพร้อมยัดจี้หยกรูปดอกบัวเจ็ดสีใส่มือนางก่อนจะทะยายออกไปจากรถม้าไม่หันกลับมาฟังคำทักท้วงของนาง
“ท่านแม่..ข้าควรทำอย่างไรดี”เยี่ยเซียงเอ่ยถามอย่างจนใจประเพณีรึนางก็ไม่รู้หากเป็นชายก็แล้วไปแต่หากเกิดมาเป็นหญิงนางก็อยากให้ลูกเลือกคู่ครองเองแต่ถ้านางคืนของหมั้นในวันข้างหน้าลูกนางจะหาคู่ครองได้หรือไม่ทำเนียบที่นี่เป็นอย่างไรนางกังวลใจจนต้องหันไปปรึกษามารดาที่นั่งเงียบมาตลอดทาง
“เจ้าอย่าคิดมากเลยวันพรุ่งลองเอาหยกนี้ไปคืนคุณชายเจ้าดูอย่างน้อยเจ้าก็ยังไม่คลอดยังไม่รู้ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย”นางกล่าวปลอบใจแต่ความจริงแล้วถึงแม้จะคืนของไปแต่ฝ่ายนั้นก็ได้ลั่นวาจาไปแล้วแถมของหมั้นยังอยู่ในมือ
ก่อนที่นางจะเครียดและคิดมากไปกว่านี้เสียงเล็กๆที่นั่งด้านข้างลุกขึ้นยืนจับเจ้าหมั่นโถวที่กำลังเคลิ้มจะหลับลงวางกับพื้นก่อนชะโงกหน้าออกทางหน้าต่างรถม้า
“ท่านแม่ดูนี่สิเจ้าคะ โอ้โหเรือใหญ่มาก”
“ไหนๆข้าดูหน่อย ใหญ่จริงด้วยท่านแม่”
“นี่คงถึงท่าเทียบเรือสินค้าของชาวเปอร์เชียแล้วสิ”ซ่งจัวอีเอ่ยบอก
“ท่านย่าทำไมเรือมันใหญ่โตอย่างนี้ขอรับ”เด็กชายเอ่ยถามด้วยความสงสัยเขาเคยเห็นเรือแต่ไม่ใหญ่เท่านี้มาก่อนขนาดเรือที่ท่านย่าพาเขาขึ้นล่องตามแม่น้ำจากทางเหนือลงมายังเมืองนี้ยังไม่ใหญ่เท่าเลย
“ย่าก็เพิ่งจะเคยเห็นพร้อมเจ้านี่ละ”นี่ข้าจากบ้านเกิดไปนานเพียงใดกันหนอทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด
“มันเป็นเรือของชาวเปอร์เชียที่อยู่ไกลโพ้นเดินทางมายังดินแดนของเราทางเรือนำสินค้าจากบ้านเมืองเขาเข้ามาขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้านำสินค้าของบ้านเมืองเราไปขายยังบ้านเมืองเขา”นางอธิบายเพียงคร่าวๆให้ฟังอย่างน้อยนางมาอยู่ในโลกใบนี้ก็ไม่ลำบากอย่างที่นางหวาดกลัว หากมีเรือสินค้าจากต่างชาตินั่นย่อมหมายความว่าสินค้าบางอย่างที่นางคิดว่าไม่มีอาจจะมีให้นางก็ได้
“ท่านแม่ข้าอยากไปดูเจ้าคะ”ซือถิงส่งสายตาออดอ้อนนาง
“ข้าด้วยขอรับ”
“เอาไว้เราจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อยแม่สัญญาว่าจะพามาตกลงมั้ย” แม้นางอยากจะพาเด็กๆลงไปเดินดูสินค้าแต่นางเกรงใจคนขับรถม้าและอีกอย่างหากมัวแต่เดินดูของคงได้ถึงบ้านดึกแล้วนางจะกล้าไปรบกวนผู้นำหมู่บ้านพานางไปบ้านได้อย่างไรแค่นี้ก็เสียเวลาอยู่ที่กองปราบนานมากแล้ว
“ตกลงเจ้าคะ”
“ตกลงขอรับ”
บ๊อกๆๆ
หมั่นโถวกระโดดขึ้นตักนางเห่าตอบรับบ้างประมาณว่าข้าก็อยากไปนะเซียงเซียงสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนบนรถม้าได้เป็นอย่างดี ออกจากท่าเทียบเรือขนาดใหญ่รถม้าก็ขับผ่านอีกสองหมู่บ้านสองหมู่บ้านนี้น่าจะเพิ่งมาตั้งรกรากกันขึ้นมาไม่นาน ซ่งจัวอีมารดานางเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเป็นป่ารกร้างทางเส้นนี้ที่รถม้าวิ่งผ่านก่อนที่นางจะย้ายไปอยู่กับสามีทางเส้นนี้เอาไว้เดินทางเข้าเมืองแค่ช่วงหน้าฝนที่เดินทางผ่านทางชายเขาไม่ได้แต่ก่อนจะมีท่าเรือคนส่วนใหญ่หาของป่าบนเขาไปขายในเมืองหลังจากเสร็จจากการทำไร่นาแล้ว อีกอย่างเมืองนี้ตอนที่นางจากไปไม่ได้เจริญมากมายขนาดนี้ติดจะแห้งแล้งละกันดานอยู่มากชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจน พี่ชายนางเคยส่งจดหมายไปหานางเมื่อห้าหกปีก่อนว่าทางการเปิดด่านให้คนภายนอกเข้ามาค้าขายในแคว้นโดยผ่านเส้นทางเมืองเหลียงซานแห่งนี้ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่ปีเมืองเลียงซานแห่งนี้จะเจริญมากมายขนาดนี้ นางฟังมารดาเล่าจนเพลินมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อคนขับรถม้าสั่งให้ม้าหยด
“พี่ชายมีอันใดรึ”นางเปิดผ้าม่านฝั่งคนขับรถม้าถาม สายตามองดูรอบๆซากบ้านหลายหลังถูกทำลายบางหลังเอียงลงมาทำท่าจะล้มทับเสียอย่างนั้น มองเข้าไปด้านในบางบ้านเหมือนโดนอะไรบางอย่างรื้อถอนให้นางคิดคงโดนช้างทั้งฝูงมาทำลายกระมัง บางหลังก็ซ่อมแซมใหม่แล้วก็มี แต่ที่แปลกตานางมากคือผู้คนในหมู่บ้านนั้นมีประปรายเท่านั้น
“ถึงแล้วแม่นาง”ชายขับรถม้าบอกพลางกระโดลงมายืนด้านล่างตามด้วยเยี่ยเซียงที่ปีนลงมาตามหลัง
“แม่นางแน่ใจหรือว่าจะอยู่ที่นี่”มันโดนไว้วานจากคุณชายหากมันสามารถกล่อมนางทำให้นางเข้าไปอยู่ในเมืองได้มันจะได้รางวัลจากคุณชายอย่างงาม
“ได้สิ “นางตอบก่อนจะยื่นมือรับเด็กลงจากรถม้าตามด้วยหญิงชรา
“ข้าว่ามัน..”
“พวกเจ้ามาทำอันใดกันที่นี่”
หญิงวัยกลางคนเดินนำชายฉกรรจ์สี่ห้าคนออกมาจากบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ทุกคนถืออาวุธครบมือเตรียมพร้อมหากมีอันใดไม่ชอบมาพากล
พวกนางตกใจยืนตะลึงกอดกันกลมทำอะไรไม่ถูกเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้เด็กกลัวไม่หายโดยมีเจ้าหมั่นโถวยืนแยกเขี้ยวรออยู่ด้านหน้านางมันยังไม่หายแค้นเจ้าสามเหวินเลยขอที่ระบายหน่อยเถอะเข้ามาเลยหมั่นโถวพร้อมแล้ว!!!
“ขออภัยฮูหยินจางข้าน้อยมาจากตระกูลเจ้ามาส่งนางและครอบครัว นี่คือจดหมายจากใต้เท้าฟ่านฝากมาถึงท่าน”ดูเหมือนคนขับรถม้าจะมีสติมากว่าพวกนางเอ่ยแนะนำตนเองก่อน
หญิงวัยกลางคนหรือที่คนขับรถม้าเรียกว่าฮูหยินจางรับจดหมายมาเปิดอ่านก่อนที่จะเงยหน้ามองมาทางนาง
“ขออภัยที่เสียมารยาท ช่วงนี้ข้าต้องตรวจคนเข้าออกหมู่บ้าน นี่ก็ใกล้จะค่ำมืดแล้วยังงัยไปพักที่บ้านข้าก่อนไว้พรุ่งนี้ค่อยไปดูบ้านกัน พวกเจ้าไปช่วยนางขนของ”
“ขอบคุณเจ้าคะ ไม่เป็นไรพวกเรามีแค่ห่อผ้าติดตัวมาเท่านั้นเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ตามข้ามาเถิด”จางหยี่ฮูหยินผู้นำหมู่บ้านเอ่ยชวนก่อนที่นางจะเดินนำไปยังบ้านหลังหนึ่งกลางหมู่บ้าน
เยี่ยเซียงหันมาขอบคุณคนขับรถม้าก่อนที่จะพยุงมารดาพร้อมเด็กๆเดินตามนางไป พอเดินเข้ามาในเขตหมู่บ้านบ้านบางหลังกลายเป็นบ้านร้างมีซากปรักหักพังเสียส่วนใหญ่ เหมือนกับฮูหยินจางจะรู้ว่านางสงสัยอันใด นางเพียงเอ่ยบอก
“ถึงบ้านแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
“เจ้าคะฮูหยิน”นางเอ่ยตอบ
“เรียกข้าว่าป้าจางเหมือนคนอื่นๆก็ได้”นางให้นึกเอ็นดูเยี่ยเซียงอยู่หลายส่วนอาจจะเพราะถูกชะตาไม่ใช่เพียงเพราะคำฝากฝังของพี่ชายที่มากับจดหมายเท่านั้น
“เจ้าคะป้าจาง”
นางกับครอบครัวเดินตามป้าจางมาถึงบ้านนางประตูไม้หน้าบ้านถูกเปิดออกโดยชายฉกรรจ์สองคนที่มากับป้าจางภายในบริเวณบ้านเริ่มจุดคบเพลิงให้แสงสว่างบ้างแล้วแม้ดวงอาทิตย์จะยังไม่ลับขอบฟ้าไปก็ตาม จางหยี่พานางเดดินตามทางหินมาเรื่อย ๆจนมาถึงเรือนๆหนึงถึงไม่ใหญ่มากแต่ก็น่าอยู่บริเวณรอบๆเรือนเหมือนทำความสะอาดไว้ตลอดเวลายังกับมีคนอาศัยอยู่
“พักที่เรือนนี้ไปก่อนแล้วกันคืนนี้”
“ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าคะ”
“ขอบคุณจางฮูหยิน” นางและมารดาโค้งตัวพร้อมเอ่ยขอบคุณก่อนที่นางจะหันมาบอกลูกๆให้ทำตาม
“เด็กๆขอบคุณท่านยายจางสิลูก”
“ขอบคุณท่านยายจางเจ้าคะ/ขอรับ”เด็กทั้งสองทำตามที่นางบอกทันทีความน่ารักกับกริยาที่ไรเดียงสาที่ทั้งสองแสดงออกมาทำให้จางฮูหยินยิ้มกว้างทันที
“พักผ่อนเสียเถิดเดี๋ยวข้าจะให้เด็กๆนำอาหารมาให้”นางกล่าวเสร็จก็เดินออกไปทันที
“ขอบคุณเจ้าคะ”เยี่ยเซียงกล่าวขอบคุณก่อนที่จะพาทุกคนเข้าไปในเรือนข้าวของในเรือนถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบงายทุกอย่างเหมือนทำความสะอาดเตรียมพร้อมอย่างกับมีคนอาศัยอยู่ นางคงทำไว้เพื่อรอลูกสาวกลับมากระมัง
“ท่านแม่บ้านของเราละเจ้าคะ”เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย
“พรุ่งนี้เราค่อยไปดูบ้านเรากันแม่ก็ไม่รู้ว่าบ้านท่านตาเป็นแบบใด”นางตอบลูกสาวไป อาจารย์ยิ่งประหลาดอยู่ด้วยไม่รู้ว่าบ้านที่เตรียมให้นางจะเป็นเช่นไร
พอดีกับที่ป้าจางพาสาวใช้นำข้าวต้มร้อนๆสี่ชามมาให้เด็กๆดีใจเป็นอย่างมากขอบคุณท่านยายจางไม่หยุดปากเลยเห็นข้าวแม้จะเป็นเพียงข้าวต้มเปล่ากับผักดองก็ตาม
“ท่านป้าไม่น่าลำบากมาเองเลยเจ้าคะข้าเกรงใจแค่ที่พักคืนนี้ข้าก็เกรงใจจะแย่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกตอนนี้มันมืดค่ำแล้วอาหารมีเหลือก็แค่ข้าวต้มกับผักดองนี้ทานกันไปก่อนนะ”
“แค่นี้ก็มากพอแล้วเจ้าคะ”
“งั้นข้าไปก่อนนะพักผ่อนกันตามสบาย มีอันใดก็เรียกข้าได้เสมอนะข้าพักอยู่เรือนถัดไปนี้เอง”
“ขอบคุณมากเจ้าคะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วนางให้ท่านแม่และเด็กๆนอนบนเตียงนอนแต่ทุกคนไม่ยอมจะให้นางนอนเพราะนางตั้งท้องอยู่ทั้งสี่ตกลงที่นอนกันสักพักเป็นอันว่าที่นอนให้มารดานอนบนเตียงผู้เดียวเพราะนางกลัวเด็กๆนอนดิ้นไปทับแผลทำให้อักเสบขึ้นมาอีกได้ส่วนเจียงหู่และซือถิงนางปูที่นอนให้นอนบนพื้นซึ่งป้าจางได้ให้สาวใช้นำที่นอนมาให้นาอีกอันนางเลยปูให้ลูกๆนอนส่วนนางมีโต๊ะนั่งตัวยาวอยู่ข้างหน้าต่างนางจะนอนที่ตรงนั้นเอง
เมื่อทุกคนหลับแล้วนางเลยเดินมานั่งที่โต๊ะนั่งริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าด้านหน้าดวงดาวระยิยระยับเต็มขอบฟ้าพาให้นางคิดถึงทุกคนที่อยู่บนเขาเหมือนเขา นางก็คิดถึงอาจารย์นะป่านนี้ไม่รู้ว่าทำอันไดอยู่ท่านพ่อยมบาลคงกลับไปนรกเสียแล้วกระมังพี่สือซว่านอีกไม่มีนางข้าก็ทำอันใดไม่ค่อยเป็นรอหน่อยนะถึงบ้านแล้วข้าจะปลูกท่านเผื่อมีวาสนาต่อกันท่านสามารถมาอยู่ที่นี่ได้ พวกท่านรู้มั้ยพวกท่านมีหลานเพิ่มขึ้นมาตั้งสองคนแหนะละอีกไม่นานหลานตัวน้อยของพวกท่านก็จะลืมตาดูโลกแล้วนางอยากให้ทุกคนอยู่กับนางด้วยจังเลย ดูเหมือนเจ้าหมั่นโถวมันจะรู้ความในใจนางจากที่มันโดนสองพี่น้องแย่งกันเพื่อจะเอามันไปนอนด้วยแต่สุดท้ายมันก็ได้นอนตรงกลางระหว่างเด็กสองคนมันเดินมากระโดดขึ้นนั่งบนตักนางพร้อมกับเอาหน้าถูมือนางไปมาเหมือนกับปลอบใจเจ้ายังมีข้าอยู่ตรงนี้ เยี่ยเซียงมองดูการกระทำของมันแล้วอดยิ้มไม่ได้เจ้าก็คิดถึงพวกเขาเหมือนข้าใช่หรือไม่นางว่าพลางเอามือลูปหัวมันไปมา เพ้ย!ข้าจะคิดถึงคนประหลาดพวกนั้นทำไมกัน?
บนยอดเขาป่าต้องสาปยามนี้หน้าอ่างน้ำอันที่จริงมิใช่อ่างน้ำแต่เป็นหม้อน้ำแกงยายเมิ่งที่ท่านยามบาลไปฉวยเอามาตอนที่ลงไปสั่งงานสองขาวดำนั่นทำให้โลกวิญญาณวุ่นวายกันพักใหญ่ เสียงก่นด่าจากยายเมิ่งตามหลังมาดังลั่นสะพานลืมเลือนแต่ใครสนนี่ยามบาลผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ? ส่วนน้ำอมฤทธิ์นั้นก็ได้เสิ่นกวนกว๋อไปก่อกวนเทพชะตาให้ไปหามาให้แทนการที่เสิ่นกวนกว๋อไม่ปล่อยเหาใส่ผมตน(เทพชะตาจะใช้เส้นผมในการผูกเนื้อคู่ของแต่ละคน หากคนที่ถือกำเนิดเกิดมามีคู่เส้นผมบนศรีษะจากที่เป็นสีขาวจะเป็นสีแดงและหลุดร่วงลงมาหนึ่งคู่ต่อหนึ่งเส้นเป็นเหตุให้เทพชะตาไม่อยากให้บนหัวตนมีเหาเป็นที่สุด)สองผู้เฒ่าแสนเกเรนี้ไม่ว่านรกแดนปีศาจหรือแม้แต่สวรรค์เองยังไม่มีใครอยากพบเจอแม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้เองหากบอกว่าทั้งสองอยู่ขวาพระองค์ยังประทับไปทางซ้ายเลยหลบได้เป็นดีหาไม่หายนะอาจมาเยือน
“พวกท่านทำอันใดกันเจ้าคะ”สือซว่านที่ถูกทั้งสองหลอกให้ไปเอาน้ำชามาให้เดินออกมาเจอผู้เฒ่าทั้งสองกำลังเตรียมตัวลุกเดินไปทางหน้าผา
“ข้าจะไปหานาง”
“ใช่”
“พวกท่านทั้งสองหยุดเลยเจ้าคะ”
“ใช่หยุดเลยทั้งคู่ พวกท่านจะลงไปด้านล่างตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้ถึงวันเทศกาลหยวนเซียวเสียก่อน*(เทศการโคมไฟ)”เทพชะตาเอ่ยพลางเดินตามหลังสือซว่านออกมาทันเวลาพอดี
“แหมๆๆตาเฒ่าชะตาคราวที่แล้วเจ้ายังไม่เข็ดอีกหรือ ว่าแต่เหาข้าไปไหน”เสิ่นกวนกว๋อว่าพลางหากล่องไม้ที่ตัวเองใช้เลี้ยงเหาไว้
โป๊ก!!!โป๊ก!!!พัดในมือตนถูกแย่งโดยสหายตนแล้วยังตีมาบนหัวตนอีก
“เจ้าเฒ่าเลอะเลือนเป็นหมอเสียเปล่า เหามันอยู่ได้ด้วยเลือดแล้วเจ้าเอามาปล่อยบนหัวข้ามันจะเอาเลือดที่ใดกินมันก็ตายแล้วละสิ”ท่านยมบาลเอ่ยพลางล้วงซากเหาออกมาให้ดู เทพชะตากับสือซว่านมองหน้ากันพร้อมทั้งส่ายหัวให้กับ....ทั้งสองผู้เฒ่ามีที่ใดเลี้ยงเหาไว้กับหัวคนของโลกวิญญาณแล้วเหาจะเอาเลือดที่ใดกิน
อธิบายนิสสนึง น้ำอัมฤทธิ์นั้นอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ที่ประทับองค์เง็กเซียนฮ่องแต้ในอ่างบัวสวรรค์ใช้ส่งดูความเป็นไปบนโลกมนุษย์เท่านั้น ที่เสิ่นกวนกว๋อบังคับให้เทพชะตาไปเอามาให้ด้วยวิธีใดก็ตาม (ตามนี้นะคะ)
คำผิดเดี๋ยวโม่ค่อยมาแก้ทีหลังนะคะ