Chapter 13 : ค่ายอาสาฯ ที่ไม่ได้อาสาไป   1/    
已经是第一章了
Chapter 13 : ค่ายอาสาฯ ที่ไม่ได้อาสาไป
ภายในหอประชุมมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วประมาณเกือบ 50 คนได้ รวมคณะอาจารย์และทีมแพทย์ด้วย ไบรอันซึ่งเข้ามาก่อนเดินไปรวมตัวกับพวกผู้ดูแลค่ายที่ยืนรวมตัวกันอยู่ตรงมุมด้านข้างหน้าเวที ฉันเดินไปนั่งยังที่ว่างซึ่งอยู่ด้านหลังสุดของผู้เข้าร่วมประชุม โดยมีสายตาคมของไบรอันจ้องมองมาเป็นพักๆคงกลัวว่าฉันจะหนีล่ะมั้ง เห็นทีมแพทย์แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อปีที่แล้วพี่แมกซ์ก็ไปออกค่ายอาสานี่ด้วยเหมือนกัน ปีนี้เขาติดประชุมสำคัญเลยไม่สามารถเข้าร่วมได้ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้ามาประชุมเป็นคนสุดท้ายจริงๆด้วย... พี่มดดำปรึกษาหารือกับพวกคณะผู้ดูแลค่ายสักพัก พอเสร็จแล้วเธอก็เดินถือไมค์ขึ้นเวทีไป “กราบสวัสดีคณะอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน และก็ขอสวัสดีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนนะคะ ^_^” พี่มดดำกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่แกคงจะถือไมค์อยู่หน้าเวทีบ่อยมากจึงไม่มีท่าทีเคอะเขินเวลาพูด น่าอิจฉาจัง เวลาฉันอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ฉันจะตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูกเลยล่ะ “ทุกท่านคงจะทราบกันแล้วนะคะว่าที่เรามาร่วมประชุมกันในวันนี้คือเรื่องที่เราจะไปออกค่ายอาสากันในวันพรุ่งนี้ สถานที่ที่เราจะไปในค่ายอาสาครั้งที่ 5 นี้ก็คือโรงเรียน...” พี่มดดำเข้าเรื่องอย่างไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันล้วงสมุดโน้ตเล่มหนาที่พกติดตัวเสมอออกจากกระเป๋าเป้สะพายมาจดรายละเอียดสำคัญ ฉันเป็นคนชอบจดน่ะ พี่แมกซ์ปลูกฝังนิสัยนี้ให้ฉันตั้งแต่เด็กแล้ว ในเมื่อถอนตัวไม่ได้ ก็คงจะเลยตามเลยแล้วล่ะ... “เรามาดูภาพจากสถานที่จริงกันเลยนะคะ” พูดจบภาพโรงเรียนที่พี่มดดำพูดถึงก็ปรากฎบนจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์บนเวที ในภาพเป็นโรงเรียนไม้เก่าๆที่โทรมมากๆ หลังคาทำจากใบไม้แห้งซึ่งตอนนี้แหว่งเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ตามอายุหรือไม่ก็อาจจะเป็นผลจากพายุด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวโรงเรียนก็สร้างจากเศษไม้ใหญ่น้อยที่เอามาตอกต่อๆกัน “โรงเรียนแห่งนี้มีถึงแค่ชั้นป.6 แต่ห้องเรียนมีแค่ 3 ห้องเท่านั้น ห้องน้ำก็มีแค่ 2 ห้องซึ่งก็เก่ามากแล้ว นักเรียนที่นี่ก็มีแต่พวกเด็กเล็กๆ กับผู้ใหญ่บางส่วนที่ต้องการเรียนภาษาไทยเพราะชาวไทยภูเขาที่นี่เป็นชนเผ่ามูเซอนั่นเองค่ะ” ฉันตั้งใจฟังพี่มดดำจนลืมไปเลยว่ามีใครบางคนมองมาที่ฉันอยู่บ่อยครั้ง... “อาคารของน้องๆเก่ามากจริงๆ คุณครูที่ไปสอนมีกันแค่สองท่านค่ะ และอาศัยอาคารเรียนของน้องนอน เพราะถ้าจะไปกลับระหว่างบ้านพักที่อยู่ในเมืองกับโรงเรียนเห็นทีจะลำบากนะคะ เพราะหนทางที่ใช้สัญจรนั้นลำบากมากๆนั่นเอง ถ้าไม่ชำนาญทางมากๆอาจจะประสบอุบัติเหตุได้เลยนะคะ” สิ่งที่พี่มดดำบอกมาทั้งหมดทำให้ฉันแอบดีใจอยู่ลึกๆที่ฉันได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนดีๆ “อาจารย์ที่ปรึกษาค่ายและผู้ดูแลค่ายทั้งสิบคนไปสถานที่จริงมาแล้วเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราเอาสิ่งของที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการสร้างโรงเรียนไปไว้ที่นั่นแล้วโดยใช้เฮลิคอปเตอร์แน่นอนว่าหมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะฉะนั้นทุกคนควรจะเอาไฟฉายไปด้วยนะคะ ส่วนที่พักของเราคงจะนอนในตัวอาคารเรียนไม่ได้เพราะเราต้องทำการรื้อแล้วทำใหม่ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเตรียมไปอีกอย่างนั่นก็คือเต็นท์ค่ะ” ฉันจดสิ่งที่พี่มดดำพูดลงไปในสมุดโน๊ตอย่างตั้งใจ ที่ฉันไม่เจอไบรอันเลยตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเพราะเขาคงจะยุ่งอยู่กับการเตรียมค่ายและการสอบสินะ แต่น่าแปลกนะว่ามั้ย ทำไมคนอย่างเขา พี่ดีแซม พี่คอปเตอร์ นิสัยสามคนนี้ไม่น่าจะมาทำอะไรเพื่อสังคมแบบนี้ได้เลย นี่ฉันไม่ได้ว่าพวกเขานะ ก็แค่สงสัย -_- “ใครที่สนใจจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือหรือของใช้ต่างๆก็ทำได้นะคะ ค่ายอาสาในครั้งนี้จะมีระยะเวลาทั้งสิ้นสี่คืนห้าวัน เราจะเดินทางไปที่จังหวัดตากกัน ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพถึงที่นั่นประมาณ 5 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางกันแต่เช้าตรู่ 04.00 น. ตรง ล้อเลื่อนนะคะ รถทัวร์สองคันจะจอดอยู่ที่บริเวณหน้าตึกคณะบริหารฯเหมือนทุกปีที่ผ่านมาค่ะ เพื่อที่เราจะไปถึงที่นั่นประมาณเก้าโมงเช้าแล้วเราก็จะพักรับประทานอาหารกันก่อนที่จะออกเดินทางกันด้วยการเดินขึ้นหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ” เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเวลาที่เดินทาง และต้องเดินถึง 2 ชั่วโมง มันก็แน่อยู่แล้วล่ะว่าออกค่ายอาสาที่แบบนี้ทั้งทีมันไม่ได้สบายหรอก “มดดำขอความกรุณาจากอาจารย์ทุกท่านและพี่ๆเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆคนนะคะว่าอาหารเช้าพรุ่งนี้ขอให้เตรียมกันไปเอง เพราะทางเราเกรงว่าอาหารจะเสียก่อนที่จะได้ทานกัน แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะมื้อต่อไปทางเราจะจัดการให้ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยล่ะค่ะ ส่วนใครที่มีโรคประจำตัวก็อย่าลืมพกยาไปด้วยนะคะ^_^” ฉันจดรายละเอียดที่สำคัญๆ ที่พี่มดดำพูดโดยไม่ละเลย การที่เราจะไปที่ไหนสักที่นึง เราก็ควรจะศึกษาข้อมูลถึงที่นั้นๆให้ดี ฉันคิดว่างั้นนะ “ส่วนเรื่องอาบน้ำไม่ต้องห่วงค่ะ มดดำติดต่อผู้ใหญ่บ้านให้แจ้งกับลูกบ้านเรียบร้อยแล้ว เราสามารถไปขออาบน้ำจากที่บ้านชาวบ้านได้ค่ะ หรือใครที่สนใจอยากเล่นน้ำ หลังหมู่บ้านนี้ก็มีธารน้ำตกเล็กๆอยู่ ไม่ลึกมากแถมน้ำยังใสแจ๋วเลยล่ะค่ะ ที่นั่นอากาศเย็นตลอดทั้งปี ตอนกลางคืนอากาศจึงค่อนข้างหนาว จึงขอเรียนให้ทุกคนทราบนะคะว่าให้เตรียมเสื้อกันหนาวและผ้าห่มหนาๆไปด้วย” จากที่พี่มดดำพูดมา มีของสำคัญๆหลายอย่างเลยล่ะ ไม่รู้ว่าฉันจะเตรียมทันรึเปล่ากับเวลาเตรียมของแค่คืนเดียว “อ้อ มดดำเกือบลืมบอกไป พอเราไปถึงที่โน่นแน่นอนว่ารถทัวร์ของเราไม่สามารถพาเราไปส่งยังจุดหมายปลายทางได้ เราจะลงกันที่ตีนเขานะคะ จากนั้นผู้ใหญ่บ้านจะเอารถกระบะของชาวบ้านซึ่งทั้งหมู่บ้านมีแค่ 2-3 คันมาขนข้าวของขึ้นไปไว้ให้ที่โรงเรียน ส่วนเราก็จะเดินขึ้นเขากันค่ะ คิดว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวก็ได้ค่ะจะได้ไม่เหนื่อยมาก” แล้วจากนั้นพี่มดดำก็บอกรายละเอียดต่างๆของค่ายอยู่พักใหญ่... _________________________________________ “เฮ้อออออ~” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพื่อระบายความรู้สึกบางอย่างที่เกาะกินใจมันเป็นความรู้สึกที่ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก ความรู้สึกที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหายไปสักที... พอประชุมเสร็จฉันก็ออกมาจากหอประชุมทันทีและพบว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฉันเดินก้มหน้าอย่างคิดหนักขณะเดินมารอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์หน้ามหา’ลัย “มันไม่มีอะไรหรอกน่าเมลล์”ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ ฉันอยู่ในอารมณ์ขมุกขมัวได้ไม่นาน รถเก๋งสีดำสุดหรูที่คุ้นตาก็วิ่งเข้ามาจอดดักหน้าฉันไว้...ไม่บอกก็รู้ใช่มั้ยว่าเจ้าของรถเป็นใคร “ออกมาก่อนทำไม ทำไมไม่รอฉัน”ไบรอันถามเสียงเขียวทันทีที่เขาลงจากรถแล้วเดินมาดักหน้าฉันไว้ ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดกับฉันทำให้ฉันลืมไปเลยว่าก่อนเข้าประชุมฉันมากับเขา ช่างเถอะ มันไม่สำคัญอะไรหรอก จำเป็นด้วยเหรอที่ฉันต้องรอเขา “ทำไมฉันต้องรอนายด้วย” “เพราะเธอมากับฉัน เธอก็ต้องกลับกับฉัน” “ไม่จำเป็น” ฉันพูดแค่นั้นแล้วเดินผ่านเขาไป แต่ไบรอันไม่ยอมให้ฉันเดินหนีเขาไปง่ายๆ มือเรียวยาวของเขาจึงคว้าต้นแขนฉันไว้แน่นพร้อมกับออกคำสั่งเสียงเข้ม “ขึ้นรถ” “นี่ เลิกออกคำสั่งกับฉันสักทีเถอะ”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงตรงๆ บอกตรงๆนะ ว่าฉันเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง ถ้าอยากให้ฉันทำก็ขอแค่บอกมาดีๆ...แต่จะทำรึเปล่า ก็อีกเรื่อง “งั้นก็ขึ้นรถ” “ทำไมฉันต้องไปกับนายด้วย” “ถามแบบนี้อยากยั่วโมโหฉันใช่มั้ย” “เปล่า ฉันก็แค่อยากบอกว่าในเมื่อฉันกลับบ้านเองได้ แล้วทำไมฉันจะต้องไปกับนายด้วย” “ได้! ไม่ยอมขึ้นดีๆใช่มั้ย” พอสิ้นเสียงเท่านั้นแหละ ไบรอันก็ลากฉันไปที่รถ เขาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับออกก่อนจะดันฉันเข้าไปนั่งอยู่ข้างในด้วยแรงที่ไม่ต่างจากเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาเลย เขาเป็นพวกไม่พอใจอะไรก็ใช้แต่กำลัง! ถ้าเขาใช้เท้ายันฉันได้คงจะทำไปนานแล้วล่ะ เหอะ! สุดท้ายแล้วไบรอันก็จับฉันเข้าไปนั่งในรถเขาได้สำเร็จก่อนจะปิดประตูแล้วรีบวิ่งมาประจำที่คนขับ เขากระชากรถออกอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่นั่งกัดฟัดกรอดด้วยความโกรธที่ทำอะไรเขาไม่ได้เลย _________________________________________ [::Brian’s Part::] “ฉันอยากบีบคอนายจริงๆ”เมลล์พูดเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น ผมแอบยิ้มอย่างขำๆกับคำขู่ของคนตัวเล็กข้างกาย ให้ตายเถอะ เกิดมาผมเพิ่งเคยเจอคนอย่างยัยนี่ แถมยังขู่จะบีบคอผมอีก “มีอะไรน่าขำนักรึไง”ว่าที่คุณหมอหันมาขึ้นเสียงใส่ ดวงตากลมโตแสดงความโกรธออกมาชัดเจน คิดว่าผมจะกลัวเธอรึไง หึ! ผมไม่ตอบนั่นยิ่งทำให้เมลล์ของขึ้นขึ้นไปอีก ไม่รู้สิ ผมว่ายัยนี่โกรธแล้วก็น่ามองไปอีกแบบ... สองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมยุ่งมากกับการจัดการเรื่องค่าย และเรื่องสอบจนไม่มีเวลาขยับตัวไปไหนได้เลย แต่แผนการชั่วช้ามันก็แล่นเข้ามาในหัวผมไม่หยุดเมื่อใบหน้าของเมลล์ลอยเข้ามาในความคิด ซึ่งก็คือผมเองที่เป็นคนเขียนชื่อเมลล์ลงไป ไอ้ดีแซมปากมากก็เห่าไม่หยุด หาว่าผมห่างยัยนี่ไม่ได้เลยหนีบไปออกค่ายด้วย ขาดไม่ได้อะไรกัน ผมก็แค่อยากแกล้งยัยนี่เล่นต่างหาก ผมรู้ว่าเมลล์ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกผมเขียนชื่อสมัครไปออกค่ายอาสา ผมเลยมาบอกเธอถึงที่คณะไงล่ะ ผมเกือบจะโดนเมลล์ข่วนหน้าเอาเหมือนกันที่มัดมือชกเธอเป็นรอบที่สองผมพยายามจะพูดกับเธอดีๆ แต่ยัยบ้านี่ชอบทำให้ผมของขึ้นอยู่เรื่อย ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ใกล้ๆเธอทีไรผมความอดทนต่ำติดลบ เมื่อเมลล์ดื้อด้านที่จะไม่ไปกับผม ผมจึงต้องใช้กำลังบังคับเธอซะเลย ท่าทางของเมลล์ค้านหัวชนฝากับการไปออกค่ายครั้งนี้ แรกทีเดียวผมคิดว่าเธอก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปที่ชอบเที่ยว ชอบความสะดวกสบาย แต่เมื่อเมลล์บอกว่าเธอมีเหตุผล แต่เธอไม่ยอมบอกผม ผมว่าเธอไม่ได้โกหกผมหรอก...ความรู้สึกบางอย่างมันแสดงออกมาทางดวงตากลมคู่โตนั้น ตอนประชุมผมก็เหลือบมองเธอบ่อยๆ ผมไม่ได้กลัวว่ายัยนี่จะหนีหรอกนะ แต่เพราะผมเคยบอกไปแล้วว่าเมลล์มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดสายตาผมให้หันไปมองเธอบ่อยๆจนผมเองแทบไม่รู้ตัว พอประชุมเสร็จ ผู้ดูแลค่ายก็ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาค่ายอีกนิดหน่อยก่อนจะนัดแนะกันครั้งสุดท้ายแล้วแยกย้ายกันกลับ ผมสอดส่ายสายตาหาเมลล์ แต่ก็ไม่เจอ ผมก็รีบตามออกมาจนเห็นเธอเดินอยู่ไม่ไกลจากหอประชุมมากนัก ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเมลล์ทำให้ผมอยากรู้จริงๆว่าเธอเป็นอะไร มันต้องเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่เธอไม่ยอมบอกผมแน่ๆ ในเมื่อผมแกล้งเมลล์แบบนี้ ผมก็จะคอยดูแลเธอไม่ใครคลาดสายอย่างแน่นอน โครกกก~ ครากกก~ เสียงท้องร้องของคนที่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆทำให้ผมหันไปมองเธอนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมามองท้องถนนเบื้องหน้าเมลล์เบือนหน้าออกไปมองทางกระจกอย่างอายๆ ท่าทางของเธอมันตลกชะมัด “หิวล่ะสิ”ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบ “เปล่า”เมลล์ปฏิเสธเสียงแข็งเลยล่ะ “แล้วเมื่อกี้ท้องใครร้อง หึๆ”ผมหัวเราะในลำคออย่างขำๆ “ชิ!”เมื่อจนต่อคำพูด เมลล์ก็สบถขึ้นเบาๆอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากกินอะไรล่ะ” “ไม่กิน” เมลล์รีบสวนขึ้นมาทันที คงจะโกรธผมที่ลากเธอขึ้นรถมาด้วยล่ะมั้ง “ก็ตามใจ” ผมไม่พูดอะไรต่อแล้วขับรถไปเงียบๆตามทางที่ (บังคับให้) เมลล์บอกทางไปบ้านเธอ
已经是最新一章了
加载中