ตอนที่ 4
พนักงานสาวเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอมือถือขณะอัยย์ญายืนอยู่ด้านหน้าต๊ะทำงานด้วยสีหน้าและแววตาตื่นเต้น จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไรในเมื่อเธอพึ่งมายื่นใบสมัครเมื่อวานนี้และพอตอนสิบเอ็ดโมงก็มีโทรศัพท์แจ้งให้มาพบเพื่อเข้ารับการสัมภาษณ์จากประธานบริหารโรงแรมหรูอย่างรอยัล ไพรด์ มันเป็นความดีใจอย่างที่สุด เธอต้องฝากอรินลดาไว้กับป้าเฟื่องฟ้า คุณป้าใจดีข้างบ้านซึ่งรับเด็กหญิงให้อยู่ด้วยเวลาเธอต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวเก็บความตื่นเต้นไว้แทบไม่อยู่ การได้งานคือได้เงินเพื่อให้ผ่านพ้นเวลาอันยากลำบากนี้ไปเสียก่อน สักครู่พนักงานสาวจึงกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นขอเชิญคุณอัยย์ญาดาขึ้นไปพบท่านประธานตอนนี้เลยนะคะ”
“คะ?...ว่ายังไงนะคะ”
“อ๋อ...ท่านประธานให้คุณไปพบตอนนี้เลยค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรสงสัยหรือเปล่าคะ”
“คือดิฉันนึกว่าฝ่ายบุคคลจะเป็นผู้สัมภาษณ์งานดิฉันเอง”
“อ๋อ...เปล่าหรอกค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่า...ท่านประธานต้องการสัมภาษณ์และพูดคุยกับคนที่จะรับตำแหน่งเลขานุการของท่านด้วยตัวเอง เดี๋ยวจะให้พนักงานนำคุณไปนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
อัยย์ญาดาพยักหน้ารับ ตอนนี้เธอตื่นเต้นจนแทบพูดอะไรไม่ออกและไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใดแม้แต่เรื่องของ ใครคนนั้น ที่ทำให้เธอนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ หญิงสาวติดตามพนักงานชายของฝ่ายบุคคลซึ่งพาเธอไปถึงชั้นที่เก้าของโรงแรมหรูกระทั่งหยุดหน้าห้องที่มีบานประตูใหญ่ เขาหันมาบอกเธอว่า
“เชิญด้านในครับ”
อัยย์ญาดากล่าวขอบคุณและเมื่อเขาไปแล้วร่างเล็กบอบบางจึงผลักประตูและก้าวเข้าไปในห้องทำงานใหญ่ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาวละมุนตา ภายในนั้นมีชุดรับแขกและโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งคาดว่าเป็นของ ท่านประธาน ร่างอรชรหันไปมา เธอมือเย็นและสั่นเล็กน้อย วันนี้เธอสวมชุดสูทและกระโปรงสีดำตัวเก่า ยังนึกอยู่เลยว่ามันดูไม่เนี๊ยบสมกับการเป็นเลขาของประธานโรงแรมหรูระยับระดับพันล้าน แล้วมันจะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาหรือไม่
กระทั่งสายตาคู่นั้นเลื่อนไปหยุดที่ผนังห้องเป็นกระจกบานใหญ่ ร่างสูงสง่าของบุรุษในชุดสูทสีเทาเข้มยืนหันหลังให้และกำลังมองออกไปยังภาพทิวทัศน์เบื้องนอก หญิงสาวก้าวไปหยุดตรงกลางห้องและดูเหมือนเสียงฝีเท้านั้นจะทำให้เขาเริ่มรู้สึกและขยับตัว อัยย์ญาดาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเมื่อเขาหันมาและทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
“พี่โอม!”
เสียงแหบเบาจากปากสั่นระริกราวกับถูกดูดหายไปในบรรยากาศเย็นฉ่ำหากสำหรับอัยย์ญาดาแล้วรอบกายเธอกลับร้อนขึ้นมาในทันใดเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษร่างสูงใหญ่ชัดเจน ใบหน้าที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ ไม่ว่าจะกี่ค่ำคืนหรือทุกวินาที มันแทรกอยู่ในสมองและลมหายใจของหญิงสาวที่ต้องกลืนความปวดร้าวเข้าไปในอกในยามที่ความชอกช้ำโถมทับ ร่างเล็กบอบบางยืนนิ่ง ผงะงันกับภาพตรงหน้าซึ่งเธอปรารถนาให้มันพร่าเลือนมากกว่าแจ่มชัดในเวลานี้
“อัยย์ญาดา”
ประโยคแรกที่ออกจากปากของร่างสูงสง่าในชุดสูทเรียบกริบทำให้หญิงสาวชาตั้งแต่ปลายคางถึงฝ่ามือราวกับโลกทั้งโลกหมุนคว้างก่อนเธอต้องรีบดึงสติตัวเองกลับ และเมื่อเขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า นั่นเองทำให้เธอรู้ว่านี่คือโลกแห่งความจริง
“พี่โอม...”
“ผมชื่อชาครินท์”
ชายหนุ่มตอบเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งหรี่นัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาบาดจิต ใช่เขา...ชาครินทร์ ว่าที่เจ้าบ่าวที่หนีหายไปในวันนั้น แววตาคู่งามสะท้อนความวาดหวังแต่แล้วริมฝีปากจิ้มลิ้มที่กำลังจะคลี่ออกกลับราบเรียบลงในทันใดเมื่อเขากล่าวต่อจากนั้นว่า
“ผมชื่อชาครินทร์ บรินทร์รามพิพัฒน์”
“พี่โอม...”
“และผมก็ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล นี่คือนามสกุลที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด”
คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวย่นคิ้ว เธอส่ายหน้าไปมาช้าๆ “แต่เมื่อก่อนพี่โอมนามสกุลไพศาลพิพัฒน์...พี่โอม...จำไม่ได้หรอกเหรอคะ”
ชาครินทร์แค่หยัดมุมปากขึ้น “ชีวิตของคนเรามีเรื่องราวตั้งมากมาย ใครจะไปจำได้หมดทุกฉากทุกตอน”
“แม้แต่งานแต่งของเรา...วันที่เราแต่งงานกัน...อย่างนั้นเหรอคะพี่โอม”