บทที่ 29 เป็นห่วงเราหน่อยสิ   1/    
已经是第一章了
บทที่ 29 เป็นห่วงเราหน่อยสิ
“เจ้าชาย...ทหารที่ติดตามเจ้าชายใหญ่มีแค่หยิบมือ ต้องถอนทหารจากซาลาไปช่วย” ปัลจีให้ความเห็น “เดี๋ยวก่อน! เราคิดว่ามันเองก็ต้องการให้เราทำอย่างที่เจ้าว่า ถอนทหารจากซาลา...พวกมันก็เข้าใกล้ตัวเสด็จพ่อได้มากขึ้น เอาอย่างนี้ เจ้าพาอาเซน่าไปหาเสด็จพ่อ ยับยั้งไม่ให้พระองค์ส่งทหารไป เรากับอัลเลสจะไปช่วยโอซิริสที่บารามอสเอง” “แต่ว่า...” ผู้ถูกสั่งให้ไปซาลาทั้งสองคนประท้วงขึ้นพร้อมกัน “ไม่มีแต่...เราเพิ่งจะสะกิดใจเมื่อครู่นี้เอง พวกที่โจมตีเราเป็นชาวอียิปต์ ตั้งใจฆ่าพวกเราโดยใช้การปล้นบังหน้า ถ้าเราตาย...ก็ไม่มีใครสงสัย ประจวบกับอาเซน่าบาดเจ็บพวกเราติดอยู่ที่นี่ถึงสี่วัน เจ้าคนบงการคงคิดว่าพวกเราตายแล้ว จึงวางแผนสร้างสถานการณ์ที่บารามอสเพื่อให้เสด็จพ่อส่งกองหนุนไปช่วย อาเซน่า...เจ้าจะต้องรีบไปหาเสด็จพ่อ รอบกายพระองค์มีพวกมันแฝงอยู่ พวกมันจะต้องคิดไม่ถึงแน่ที่เห็นเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ารู้ดีว่าใครเป็นใครจะจับสังเกตได้ง่ายที่สุด แล้วก็...ให้ทูลเสด็จพ่อว่าข้าตายแล้ว” “หา!?” อาเซน่าร้องเสียงหลง “เจ้าดูสะบักสะบอมน่าเชื่อถือ ให้ปัลจีไปส่งที่ชานเมืองแล้วหาทางเข้าไปหาเสด็จพ่อเพียงคนเดียว ให้ทำเหมือนกับรู้ว่าเราตายเพราะฝีมือใคร” “แล้วพวกมันก็จะหาจังหวะฆ่าเจ้าเพื่อปิดปาก!” ปัลจีเสริม เข้าใจแผนการของเจ้าชายทะลุปรุโปร่ง “ส่วนพวกเรา จะแอบไปที่เหมืองเพื่อช่วยโอซิริส และกระชากหน้ากากของมันออกมา ทำได้ไหมอาเซน่า?” “เอ่อ...เอ่อ...” หญิงสาวน้ำท่วมปากพูดไม่ออก ถ้านี่เป็นแผนการที่ท่านอเมโนฟิสมิได้รู้ด้วยล่ะก็ การที่เธอจะกราบทูลพระองค์ว่าเจ้าชายน้อยสิ้นพระชนม์ ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของฟาโรห์ ดีไม่ดีอาการป่วยก็จะยิ่งทรุดลงไปอีก ทั้งๆ ที่เวลาของพระองค์นั้นเหลือน้อยอยู่แล้ว... หากข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายแพร่ออกไป...แน่นอนว่าจะเกิดความสั่นคลอนต่ออียิปต์อย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าไม่ทำ ก็คงจับผู้บงการไม่ได้คาหนังคาเขาเสียที ดูท่าเจ้าชายจะทรงมั่นพระทัยมาก ว่าหนอนตัวนั้นอยู่ในคณะติดตามผู้ใกล้ชิด พร้อมที่จะทำการปลิดชีพทั้งสามพระองค์ตลอดเวลา นี่ก็อันตรายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน... “ถ้าเจ้าเป็นห่วงว่าประเทศอื่นๆ จะเคลื่อนไหวเมื่อรู้ข่าวการตายของเราแล้วล่ะก็ เราขอบอกว่าอย่าเพิ่งห่วงเลย ศึกไหนก็ไม่น่ากลัวเท่าศึกในบ้าน และต่อให้เราตายไปจริงๆ ก็ยังมีโอซิริสอีกคนหนึ่ง ว่ายังไง จะรับปากเราได้หรือยัง?” ดูเหมือนเจ้าชายจะเดาความคิดของเธอออก และก็พูดถูกหมดทุกอย่าง แม้นไม่มีเจ้าชายไมเซรินุส ก็ยังมีเจ้าชายโอซิริส ทั้งสองพระองค์คือพี่น้องที่เป็นดั่งเงาของกันและกันเสมอ “เพคะ” หญิงสาวรับปากในที่สุด ครั้นพอตะวันลับอัสดง เจ้าชายน้อยแห่งอียิปต์ ก็นำองครักษ์คู่ใจและคู่หมายของแฝดผู้พี่ ควบม้าออกจากภูเขาหิน มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ หมู่บ้านซาลา เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดชายฝั่งแม่น้ำไนล์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของเมืองเฮโรโคโพลิส ถัดจากเมืองเฮโรโคโพลิสแล้ว จะเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง กว่าจะถึงโอเอซิสบาร์ฮาริย่าห์ ซึ่งเป็นโอเอซิสขนาดใหญ่ที่สุดบริเวณชายแดนของอียิปต์ใต้ ก็ต้องห้อม้าเต็มเหยียดราวๆ เจ็ดวันเป็นอย่างต่ำ ความจริงจะล่องเรือจากเมมฟิสมาเลยก็ได้ แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากหลังฤดูฝนผ่านไป ทำให้น้ำในแม่น้ำเอ่อล้นทั้งสองฟากฝั่ง ต้องรอให้ถึงฤดูหนาวเสียก่อน จึงจะมีลมจากทิศเหนือพัดมา และการขึ้นเรือก็จะทำให้พวกเขาไม่ได้เห็นเหมืองเหล็กขุดใหม่ ซึ่งเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเหมืองแห่งนั้นมาก หากถึงโอเอซิสบาร์ฮาริย่าห์แล้ว เขาจะอัญเชิญพระองค์แวะประทับที่เทเบ แล้วค่อยขึ้นเรือเดินทางต่อไปยังเอ็ดฟู “เจ้าชาย...รู้สึกว่าลมหนาวจะมาแล้วนะครับ” อัลเลสทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นของลมที่พัดแผ่วๆ มาจากทางทิศเหนือ ขณะควบม้าประกบอาเซน่าอยู่ท้ายขบวน “อืม...มาได้ถูกจังหวะเลยทีเดียว อย่างนี้ใครก็ตามรอยเท้าเราไม่ได้ แต่เราเองก็ต้องเร่งฝีเท้าด้วยเหมือนกัน แถบนี้เกิดพายุทรายบ่อยไม่เหมือนอีกฟากของแม่น้ำไนล์ที่มีภูเขาบังลมมากกว่า ดีไม่ดีเราอาจจะถูกฝังอยู่ในทะเลทรายนี้ก่อนจะได้เห็นหน้าเสด็จพ่อ” “อะ...อะไรกัน? เรา...จะถูกทรายฝังตายหรือเพคะ?” อาเซน่าถามปากคอสั่น ตอนเด็กๆ พ่อเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่าพายุทรายสามารถทำลายหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน และฝังคนหลายร้อยคนภายในเวลาชั่วพริบตา “ก็ไม่เคยเห็นใครรอดนะ ส่วนใหญ่มันก็เกิดตอนกลางคืนแบบนี้ ลมพัดแรง...พัดทรายปลิวขึ้นบนท้องฟ้า สูงเท่าภูเขา กลืนกินและทับถมสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างพวกเราจนไม่เหลือร่องรอย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง...” “สิ่งที่ดี? ดีตรงไหนกันเพคะ?” หญิงสาวเร่งฝีเท้าม้าให้อยู่ข้างๆ เจ้าชาย นึกทึ่งที่พระองค์ไม่แสดงความวิตกกังวลออกมาเลย ทั้งๆ ที่เธอกลัวจนจะพาม้าวิ่งไปไม่ไหวแล้ว “ก็ตรงที่ศพของเราจะไม่ได้เป็นอาหารของพวกแร้งน่ะสิ” เจ้าชายแค่นหัวเราะ ผู้หญิงบ้าอะไร ทีตอนสู้กับพวกโจรล่ะก็ไม่เห็นจะกลัว มากลัวสิ่งที่มองยังไม่เห็น พายุทรายไม่ได้เกิดบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่ “เจ้าชาย...อีกไม่นานก็จะถึงจุดที่ต้องแยกกันแล้ว กระหม่อมกับอาเซน่าจะต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ทรงมีอะไรฝากถึงฟาโรห์ไหมครับ?” ปัลจีเข้ามาแทรกกลางถามเป็นการเป็นงาน “ทำไม?” “ก็เผื่อท่านจะเจอพายุทรายไงครับ พวกกระหม่อมห้อม้าเพียงสองวันก็ถึงหมู่บ้านซาลา แต่ท่านต้องไปอีกไกลกว่าจะถึงเหมือง” “อ้อ!” เจ้าชายทำท่าสลดเมื่อนึกขึ้นได้ “นั่นสิ...เรากับอัลเลสยังต้องฝ่าทะเลทรายไปอีกไกล” “ครับ...จะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้” ผู้ร่วมชะตากรรมรีบเสริม “ยิ่งไปกันเพียงสองคนกระหม่อมยิ่งเป็นห่วง พวกมันจะซุ่มดักโจมตีอยู่ที่ใดไม่รู้” ปากบอกว่าเป็นห่วงเจ้าชาย แต่สายตาของปัลจีกลับมองไปทางหญิงสาวไม่วางตา เจ้าชายสบตากับสหายทั้งสองด้วยความพอใจ เมื่อเห็นความวิตกกังวลฉายชัดในแววตาของอาเซน่า “เจ้าชายเพคะ” “มีอะไร?” “ถ้าอย่างนั้น...หม่อมฉัน...ไปที่หมู่บ้านซาลาคนเดียวก็ได้เพคะ ไม่ต้องให้ปัลจีไปส่ง” หญิงสาวโพล่งออกไป หลังจากพิจารณาใคร่ครวญดีแล้ว ทั้งปัลจียังบอกเองว่าเดินทางอีกเพียงสองวันก็ถึง ดังนั้น ให้เขาติดตามพระองค์ไปอีกคนดีกว่า เจ้าชายใบ้รับประทานไปครู่หนึ่ง ก่อนแววตาวูบไหวจะละจากใบหน้าของเธอมองไปยังผืนทรายเวิ้งว้าง เช่นเดียวกับสองสหายรักของพระองค์ที่วางหน้าไม่ถูกได้แต่มองตากันเลิกลัก ไม่รู้เจ้าชายจะตัดสินใจแบบไหน แต่พระอาการคอแข็งหน้าเชิดแบบนี้ แสดงว่าทรงไม่พอพระทัยอย่างมาก “ทำตามแผนเดิม ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดไปก่อน จำไว้นะอาเซน่า ว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นเหยื่อล่อ ต้องระวังตัวให้มาก” “เพคะ” อาเซน่าไม่กล้าขัดใจ เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นก็ควรแยกกันตรงนี้ ปัลจี” ประโยคหลังทรงกวักพระหัตถ์เรียกสหายหนุ่ม “ส่งเธอให้ถึงมือเสด็จพ่อ” “ครับ เสร็จแล้วกระหม่อมจะรีบตามไป” เจ้าชายดึงผ้าคลุมหน้าลง ทั่วทั้งพระวรกายซ่อนอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำทะมัดทะแมง ตรวจตราอาวุธและน้ำที่จะต้องใช้ตลอดการเดินทาง อาเซน่ามองตามการเคลื่อนไหวของร่างสูงที่เห็นเสี้ยวหน้าเพียงเงา หลายวันหลายคืนที่รอนแรมลำบากตรากตรำอยู่กับเจ้าชาย ทำให้เธอได้เห็นพระองค์ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ที่ติดตาเธอมาตลอด อย่างน้อย ก็ทรงช่วยเหลือเธอหลายอย่าง พระองค์อาจจะไม่ได้เกลียดเธอ ฮี้ๆๆๆๆ
已经是最新一章了
加载中