บทที่ 14 งานศพ
บทที่ 14 งานศพ
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”ลุงหวางมองไปตามสายตาของเธอ
เฉียวอันอันตอบกลับไปแบบไม่มั่นใจ:“เมื่อกี้เหมือนมีคนอยู่ด้านนอกประตูค่ะ”
และเธอรู้สึกว่าสายตาที่มองมานั้นช่างเป็นสายตาที่คุ้นเคย แต่เธอก็ไม่กล้ายืนยันว่าใช่คนนั้นมั้ย
แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่นะ คนอย่างเขา จะลดตัวลดศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อมาดูเธอที่ขายตัวไปเป็นเมียเก็บของเขาทำไมกันล่ะ เฉียวอันอันแสยะยิ้มออกมา
ลุงหวางเดินไปดูที่ด้านนอกประตู และส่ายหัวบอกว่า:“ด้านนอกไม่มีคนเลยนะครับ”
“หนูน่าจะคิดไปเองมากกว่าค่ะ ลุงหวาง โทรหาเสี่ยวซู่ให้ทีได้มั้ยคะ บอกเขาว่าหนูฟื้นแล้ว เขาจะได้ไม่กังวล”
“กำลังโทรให้ครับ”
ลุงหวางหยิบมือถือออกมาแล้วกดโทรไปหาเฉียวอันซู่ แต่กลับไม่มีใครรับสาย
“เสี่ยวซู่อาจจะยังยุ่งๆอยู่ เดี๋ยวค่อยโทรไปใหม่ก็ได้ค่ะ”เฉียวอันอันไม่อยากคิดมาก
“ถ้างั้นคุณหนูพักผ่อนเถอะครับ ผมจะออกไปซื้อโจ๊กมาให้”ลุงหวางเก็บโทรศัพท์ แล้วหยิบกระเป๋าตังเดินออกไป
อันที่จริงเฉียวอันอันก็เหนื่อยเหมือนกัน ฤทธิ์จากยาชายังคงมีผลกับร่างกายเธออยู่ ตื่นมาได้ไม่ทันไร อาการง่วงก็ถามหา หนังตาตากันเพื่อจะไม่หลับ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องหลับตาลง
ภายในห้องที่มืดมัวนั้น เธอได้ยินเสียงเปิดประตู เธอคิดว่าเป็นลุงหวาง“ลุงหวางกลับมาแล้วเหรอคะ?”
“โอ้ เธอตื่นแล้ว!”เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของลุงหวาง แต่เป็นเสียงของผู้หญิงที่แหลมแสบแก้วหู
เฉียวอันอันลืมตาขึ้นมามองไปทางประตูทันที พอเห็นคนที่มา เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา“คุณน้าฉิน คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”
ฉินเหลียนยืนพิงตรงประตูไม่ได้เดินเข้ามา ราวกับว่าภายในห้องจะมีเชื้อโรคอะไรประมาณนั้น ความรังเกียจผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า“ฉันแค่มาดู ว่าเธอตายรึยัง”
“น้าฉินคงผิดหวังน่าดูเลยนะคะ เพราะฉันยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติดีค่ะ”เฉียวอันอันไม่คิดโกรธกับคำสาปแช่งนินทาของคนอย่างฉินเหลียน น้ำเสียงนั้นแทบจะไม่มีผลอะไรกับเธอ
ฉินเหลียนหัวเราะออกมา“น่าเสียดายจริงๆ ไม่คิดเลยว่านายท่านจะยอมบริจาคหัวใจให้เธอ!แต่แบบนี้ก็ดี ฉันก็อยากจะเห็นนักว่า พอไม่มีวัตถุโบราณนั่นแล้ว พวกเธอสองพี่น้องจะเอาชนะฉันได้ยังไง”
บริษัทเฉียวซื่อ รวมถึงตระกูลเฉียวทั้งหมด เป็นของเธอและเฉียวหยู่โม่!
เฉียวอันอันได้ยินความหมายที่แอบแฝงจากคำพูดของฉินเหลียน ดวงตาที่เหมือนกับคบเพลิงของเธอมองไปที่ฉินเหลียน เธอกัดฟันถาม“การตายของพ่อเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเหรอคะ?”
วันที่เธอบริจาคเลือด อาการของพ่อก็ทรงตัวขึ้นแล้ว ในช่วงนั้นไม่น่าจะมีอาการอะไรที่ไม่ดีได้ แต่ผ่านไปแค่วันเดียว พ่อก็......
ถ้าจะบอกว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเป็นคนเดียวที่จะไม่เชื่อแบบนั้น
การเผชิญหน้ากับคำถามของเฉียวอันอัน ฉินเหลียนถึงกับอึ้งไป จากนั้นเธอก็ทำท่ายักไหล่“เธออย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ตาแก่นั่นนอนป่วยอยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวดทรมาน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะฆ่าตัวตายก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้!”เฉียวอันอันโมโห และพูดตอบกลับไปเสียงดัง
ฉินเหลียนเบะปากใส่ และมองเธอด้วยสายตาดูถูก“ก็แล้วแต่เธอจะคิด ที่ฉันมาวันนี้ก็มาเพื่อจะมาบอกว่า งานศพของตาแก่จะถูกจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า เธอเป็นถึงลูกสาวควรจะไปร่วมงานหน่อยนะ?”
เฉียวอันอันกัดริมฝีปาก เธอจ้องฉินเหลียนด้วยความโมโห แต่ไม่ได้ตอบกลับ
เหมือนว่าตัวเองจะเล่นงานฉินเหลียนน้อยไป เพราะตอนนี้ฉินเหลียนจะคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว เธอตบไปที่อก แล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“จริงสิ ในวันงาน คุณชายจิ้นจะมาร่วมแสดงความเสียใจในฐานะลูกเขยในอนาคตด้วยนะ ถึงตอนนั้นเธอที่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ต้องคอยต้อนรับเขาดีๆนะจ๊ะ”
เฉียวอันอันเหมือนจะเป็นลม หน้าเริ่มขาวซีด เธอกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงตะคอกใส่ฉินเหลียนไปว่า“ออกไป ออกไปจากห้องฉัน!”
“เธอคิดว่าฉันอยากจะอยู่ตรงนี้นักเหรอ แค่อยู่ตรงนี้ท้องไส้ฉันยังปั่นป่วนเลย ฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอใช้ชีวิตให้รอดต่อไป เพราะงานแต่งงานของคุณชายจิ้นกับเฉียวหยู่โม่ เธอเป็นพี่สาวเธอต้องไปร่วมงานด้วย เหอะ!”ฉินเหลียนพูดออกมาอย่างภูมิใจ ก่อนจะถือกระเป๋าถือแล้วเดินจากไป
เฉียวอันอันสูดหายใจเข้าใหญ่ เธอออกแรงเก็บความโกรธที่ปะทุอยู่ในใจเอาไว้
เธอจะติดกับพวกนั้นไม่ได้ ที่ฉินเหลียนพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะยั่วโมโหเธอ ให้ร่างกายเธอต้องทนทุกข์ทรมาน
เธอจะไม่ยอมตกหลุมพรางเด็ดขาด!
·แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่ฉินเหลียนพูดถูก คือเธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อยู่ต่อไปให้ได้นานที่สุด เพื่อแก้แค้นให้กับแม่ของเธอ เพื่อบริษัทเฉียวซื่อ เพื่อเสี่ยวซู่ เพื่อหัวใจดวงนี้ของพ่อ และเพื่อจิ่นเชิน......
เวลาผ่านไปเร็วมาก แค่พริบตาก็มาถึงวันงานแล้ว
งานศพของพ่ออันอันจบลง แขกเหรื่อทยอยพากันกลับ
เฉียวอันอันได้ลุงหวางคอยช่วยงานพอกลับถึงห้องพักรับรอง หน้าตาของเธอก็ซีดจนน่าตกใจ
ลุงหวางอดไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ:“ร่างกายยังไม่แข็งแรงดีก็ยังจะมาอีก ดีนะครับที่ไม่เป็นอะไรมาก”
“เข้าใจแล้วค่ะลุงหวาง หนูรู้ว่าหนูกำลังทำอะไร วันนี้เป็นวันที่ฝังศพของคุณพ่อ จะไม่ให้หนูไม่มาได้ยังไงล่ะคะ”เฉียวอันอันยังฝืนยิ้มและพูดออกมา
ลุงหวางจนปัญญากับเธอ ดูภายนอกเธอก็มีนิสัยเฉยชา แต่ความจริงคือเธอหัวรั้นยิ่งกว่าใครๆ
“ดื่มน้ำก่อนครับ”
“ขอบคุณค่ะลุงหวาง”เฉียวอันอันรับแก้วน้ำและดื่มไปหนึ่งอึก แต่ทันใดนั้นก็คิดอะไรออก เธอเอาแก้ววางลง ก่อนจะขมวดคิ้วถามขึ้นมาด้วยความสงสัย“ลุงหวาง ยังไม่ได้ข่าวของเสี่ยวซู่เหรอคะ?”
สามวันก่อน เสี่ยวซู่บอกว่าทำธุระเสร็จจะรีบไปหาเธอที่โรงพยาบาล เธอก็รอทั้งวันก็ยังไม่มา โทรไปก็ไม่รับ
ตอนแรกเธอก็พยายามปลอบใจตัวเอง น้องอาจจะติดธุระจริงๆ แต่นี่มันก็สามวันเข้าไปแล้ว......
ลุงหวางทั้งสงสัยทั้งเป็นกังวล “ไม่ได้ข่าวเลยครับ ตอนเช้าลองโทรไปก็ยังไม่มีใครรับสาย แถมสองแม่ลูกคู่นั้นยังเอานายน้อยไปพูดเสียๆหายๆต่อหน้าแขกในงานว่าเป็นลูกอกตัญญู ขนาดงานศพของนายท่านยังไม่มาร่วมงาน”
“พวกนั้นก่ะใช้โอกาสนี้พูดใส่ความให้เราสองพี่น้องแบบเสียๆหายๆสินะ”เฉียวอันอันพูดเสียดสี ถึงสองแม่ลูกคู่นั้น เธอเกลียดเข้าไส้จริงๆ
อย่างเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกดีก็คือ งานศพวันนี้ จิ้นเฉินไม่ได้มาร่วมงานด้วย
เพราะถ้าเขามาหยิ่งผยองของสองแม่ลูกนั่นคงจะมากขึ้นไปอีก
“นั่นสิครับ”ลุงหวางหมดคำจะพูดกับสองแม่ลูกนี้ และไม่อยากจะพูดถึงอีก เขาจึงเปลี่ยนบทสนทนากลับไปที่เรื่องนายน้อย“คุณหนูครับ ปกติแล้วนายน้อยเป็นคนที่ทำงานมั่นคง ไม่ใช่คนประเภทที่ไปทำธุระแล้วเงียบหายติดต่ออะไรไม่ได้ เป็นไปได้มั้ยครับว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายน้อย?”
เฉียวอันอันเริ่มไม่สบายใจ และอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ได้
พอพ่อของอันอันเสีย เธอกับน้องชายที่ยังอยู่ก็เป็นอุปสรรคขัดขวางสำหรับคนบางคน อย่างเช่นฉินเหลียนกับลูกสาว
“ลุงหวาง รีบโทรศัพท์หาเลขาหยินและบอกให้เขาเอาภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อสามวันก่อนตอนที่เสี่ยวซู่อยู่ที่บริษัทมาด่วนเลยค่ะ”
ลุงหวางไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก
เลขาหยินทำงานไวมาก เพียงไม่นานก็ส่งเทปบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดส่วนหนึ่งไปให้เฉียวอันอัน เฉียวอันอันเห็นเฉียวอันซู่ยืนอยู่กับผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทคนหนึ่งในเทป
ไม่รู้เหมือนกันว่าชายวัยกลางคนนั้นพูดอะไรกับเฉียวอันซู่ สีหน้าของเขาดูแปลกไป เพราะไม่ว่าจะดูยังไงก็ดูเหมือนว่าเขาถูกชายคนดังกล่าวข่มขู่ ก่อนทั้งสองจะขึ้นรถแวนสีดำไป
ดูยังไงก็เป็นการลักพาตัว
แต่ชายคนนั้นเป็นใคร?และใครส่งเขามา?
เฉียวอันอันกระวนกระวายใจ น้ำตาเธอแทบจะไหลรินออกมา
“เฉียวอันซู่......”
“คุณหนูครับ พวกเราไปแจ้งความกันดีมั้ย?”ลุงหวางก็ไม่สบายใจ
เฉียวอันอันส่ายหัวและกัดริมฝีปาก “ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ คนพวกนี้กล้าลักพาตัวเฉียวอันซู่ที่หน้าประตูบริษัทเฉียวซื่อ ก็แสดงว่าพวกมันไม่กลัวว่าเราจะแจ้งตำรวจ แต่ถึงพวกเราจะไปแจ้งตำรวจ ก็ไม่แน่ว่าจะหาตัวพวกนั้นเจอ”
“แล้ว...พวกเราควรจะทำยังไงดีครับ?”
เฉียวอันอันกำหมัดแน่น ไม่ตอบลุงหวาง
เธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำยังไง เธอไม่รู้แม้กระทั่งคนที่ลักพาตัวเฉียวอันซู่เป็นใคร ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี