บทที่ 2
ทันทีที่รถของสนามบินเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้าน อัทธวีร์ก็ตรงเข้าสวมกอดมารดาที่ออกมายืนรอเขา
“คิดถึงแม่ที่สุด”
“แม่ก็คิดถึงอัทธ์”
“อาการของคุณย่าเป็นยังไงบ้างครับ”
“เข้าไปดูเองแล้วกัน”
เมื่อสองแม่ลูกเดินเข้าไปด้านใน อัทธวีร์กลับพบว่าคุณย่าสบายดีไม่ได้มีอาการป่วยใดใดให้เห็นแม้แต่น้อย นอกจากไม่ป่วยแล้วยังมีสุขภาพแข็งแรงมากด้วยซ้ำ
“คุณพ่อบอกผมว่าคุณย่าป่วยหนัก”
“ย่าดูเหมือนคนป่วยไหมล่ะ”
“แล้วทำไมคุณพ่อต้องบอกผมแบบนั้น”
“ย่าเป็นคนสั่งให้พ่อเราพูดแบบนั้นเอง”
“ถ้าคุณย่าอยากพบผมก็แค่บอกมาตามตรงก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องสร้างเรื่องน่าตกใจแบบนี้เลย”
“ก็ถ้าเราไม่พูดแบบนั้นอัทธ์จะรีบกลับมาที่นี่เหรอ”
คำตอบของผู้เป็นย่าทำให้อัทธวีร์ถึงกับพูดตัดพ้อ ที่ทุกคนเอาเรื่องความเป็นความตายของคุณย่ามาล้อเล่นกับเขาเช่นนี้
“ตั้งแต่ผมทราบข่าวเรื่องคุณย่าป่วย ผมเป็นห่วงและวิตกกังวลไปต่างๆ นานาว่าคุณย่าจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องรีบบินกลับมาเพื่อดูอาการของคุณย่าด้วยความร้อนใจ แต่กลับพบว่าคุณย่าไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่กังวล นอกจากไม่ป่วยแล้วยังมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำ ทำไมทุกคนต้องทำให้ผมเป็นกังวลมากถึงเพียงนี้”
“เพราะเรามีเรื่องสำคัญจะพูดกับอัทธ์”
อัทธวีร์รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุที่กำลังก่อตัวขึ้น
เดาได้เลยว่าเรื่องที่คุณย่า บิดา และมารดาจะพูดกับเขานั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา
แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ!!
“เรื่องอะไรครับคุณย่า”
อัมพกาหันไปสบตาลูกชายและลูกสะใภ้ของตนราวกับจะถามว่า ใครจะเป็นคนพูดเรื่องนี้กับพ่อตัวดีที่ขยันสร้างข่าวฉาว
“คุณแม่พูดเองดีกว่าครับ”
“ที่ย่าเรียกกลับมาเพราะย่าจะพูดเรื่องการแต่งงานของอัทธ์”
“แต่งงาน!!”
อัทธวีร์อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ คุณย่าก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ใช่” อัมพกาตอบเสียงดังฟังชัด
น้ำเสียงทรงอำนาจแบบนี้ใครบ้างจะกล้าขัด
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่านักรักตัวพ่ออย่างเขา จะต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้
จู่ๆ ก็ถูกคุณย่าจับคลุมถุงชนโดยไม่ถามความสมัครใจจากเขาสักคำ
ถ้าใครรู้เข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นรกชัดๆ!!
นี่มันศตวรรษที่เท่าไรแล้วยังมีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนหลงเหลืออยู่อีกเหรอ
“ผมยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานตอนนี้ ที่สำคัญผมหาเจ้าสาวของผมเองได้”
“ย่าให้โอกาสอัทธ์ในการหาเจ้าสาวมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอัทธ์จะตงลงปลงใจกับใครสักที ในเมื่อเป็นเช่นนั้นย่าก็คิดว่ามันถึงเวลาเหมาะสมแล้ว ที่อัทธ์จะต้องแต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์กับผู้หญิงที่ย่าเลือกให้”
“ผมไม่มีวันยอมรับการแต่งงานแบบคลุมถุงชนเด็ดขาด คุณย่าอย่าบังคับผมเลยนะครับ”
“แกต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ย่าเลือกให้ และจะต้องมีเหลนให้ย่าอุ้มไวไว ย่าอยากเห็นหน้าเหลนก่อนที่จะเป็นอะไรไป”
“คุณย่ายังแข็งแรงยังอยู่กับเราได้อีกนานครับ”
“ไม่แน่หรอก ก่อนตายย่าอยากเห็นหลานชายเพียงคนเดียวของย่า เป็นฝั่งเป็นฝากับผู้หญิงที่ย่าหามาให้”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครครับ”
“หนูซินเป็นผู้หญิงที่สวย หุ่นดี และมีสมองตามแบบฉบับที่อัทธ์ชอบ เธอเป็นนักวิชาการและเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย แถมยังมีดีกรีด็อกเตอร์ประกันความสามารถของเธอ ผู้หญิงที่ทั้งสวยและเก่งแบบนี้ล่ะที่ย่าเห็นว่าเหมาะสมกับอัทธ์”
“ถ้าเธอมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมอย่างที่คุณย่าบอก แล้วทำไมถึงหาผัวเองไม่ได้ล่ะครับคุณย่า ทำไมต้องรบกวนให้ผู้ใหญ่หาคู่ให้ นอกเสียจากว่า...”
“นอกจากอะไร! ทำไมไม่พูดให้จบ”
“ไม่มีใครเอา”
“ทำไมอัทธ์พูดจาแบบนั้นล่ะลูก ไม่น่ารักเลย” อณิมาเอ่ยปรามบุตรชาย
“ใครบอก...มีคนขายขนมจีบหนูซินเยอะแยะไป แต่ย่าไม่เห็นเธอจะสนใจใครเป็นพิเศษ ย่าก็เลยทาบทามมาให้อัทธ์ ผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างหนูซินถ้าปล่อยให้หลุดมือไปล่ะก็เสียดายแย่”
“ผมไม่แต่งนะครับคุณย่า...ยังไงก็ไม่แต่ง...ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักเท่านั้น” อัทธวีร์รีบโวยวายคัดค้านหัวชนฝา
“แล้วแกรักใครล่ะตาอัทธ์ก็บอกมาสิ ย่ากับพ่อแม่ของแกจะได้ไปสู่ขอเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว จะได้เลิกใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ อย่างที่ผ่านมา”
“ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่มีใครในใจ แต่ก็ไม่อยากที่จะแต่งงานกับหนูซินคนดีของคุณย่า”
“ในเมื่อยังไม่มีใครก็ยิ่งไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องความรักที่แกเอามาอ้าง แต่งกันแล้วอยู่ด้วยกันก็รักกันไปเอง ดูอย่างพ่อกับแม่ของแกเป็นตัวอย่างสิ”
“ผมยังยืนยันคำเดิม”
“ยังไงก็ต้องแต่ง”
“ไม่ครับคุณย่า” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง
“ถ้าแกยังดึงดันที่จะไม่ทำตามความต้องการของฉันล่ะก็ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าย่า ฉันจะถือซะว่าไม่มีหลานอย่างแก”
“ถึงขั้นจะตัดขาดความสัมพันธ์กันเลยเหรอครับคุณย่า”
“ก็ถ้าแกไม่แต่งงานกับศิศิราก็คงต้องเป็นแบบนั้น หลานคนเดียวฉันตัดได้ และถ้าฉันกับพ่อแม่ของแกเป็นอะไรไปล่ะก็ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนิธิพัฒน์โภคินจะถูกยกให้กับการกุศล เงินสักบาทก็อย่าหวังว่าจะได้จากเรา”
นอกจากจะตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว เขายังจะถูกตัดขาดออกจากกองมรดกมหาศาลของนิธิพัฒน์โภคินอีกด้วย
ฟ้าถล่มดินทลายเป็นอย่างไรอัทธวีร์เพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้เอง
“จะให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนได้อย่างไรกันล่ะครับคุณย่า” อัทธวีร์โอดครวญ
เขารู้สึกทดท้อในความโชคร้ายของตัวเอง ก่อนจะตวัดสายตามองหาตัวช่วย และก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมารดาของเขา เขาวิงวอนเธอด้วยสายตาว่าให้ช่วยเหลือลูกชายสุดที่รักคนนี้ที ตอนนี้เขาต้องการตัวช่วยอย่างเร่งด่วน
อณิมาจึงหันไปพูดกับมารดาของสามี
“ที่อัทธ์พูดมาก็มีส่วนถูกนะคะคุณแม่ เราควรให้อัทธ์ได้ทำความรู้จักและคบหาดูใจกับหนูซินสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหมั้นหมายหรือจัดพิธีแต่งงานให้พวกเขา”
แต่อัมพกาไม่เห็นด้วยอีกทั้งยังโต้กลับไปว่า “ทั้งคู่เคยรู้จักกันนานแล้ว แต่นายอัทธ์จำหนูซินไม่ได้ล่ะสิ”
“เพราะแบบนั้นไงคะณิถึงได้ขอเวลาจากคุณแม่ ให้พวกเขาได้คบหาดูใจกันอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยก่อนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกัน”
การสนทนาระหว่างแม่และคุณย่าทำให้อัทธวีร์นึกถึงคู่ปรับเก่าในวัยเด็กอย่างศิศิรา ลิงทโมนที่คอยแกล้งเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
อย่าบอกนะว่าหนูซินของคุณย่าคือลิงทโมนที่เขาเคยเจอบ่อยๆ ในวันเด็ก
เขารู้สึกสังหรณ์แปลกๆ ว่าผู้หญิงที่คุณย่าหามาให้ จะเป็นคนคนเดียวกับคู่ปรับเก่าที่เขาเกลียดแสนเกลียด เพื่อความแน่ใจทำให้เขาเอ่ยถาม
“หนูซินคนดีของคุณย่าคงจะไม่ใช่คู่ปรับเก่าในวัยเด็กของผมใช่ไหมครับ”
“คนเดียวกันนั่นล่ะ”
คำตอบที่ได้รับจากผู้เป็นย่าก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด
“อัทธ์ยังจำได้เหรอลูกว่าตอนเด็กๆ เคยไปเล่นกับหนูซินบ่อยๆ แม่นึกว่าอัทธ์ลืมไปแล้วซะอีก”
“จำไม่ได้หรอกครับจนกระทั่งคุณย่ากับคุณแม่เอ่ยถึง”
เมื่อรู้ว่าเจ้าสาวของเขาคือคู่ปรับเก่าในอดีต ก็ยิ่งทำให้อัทธวีร์ปฏิเสธเรื่องการแต่งงานกับเธอแบบหัวชนฝา เขายืนยันคัดค้านการคลุมถุงชนในครั้งนี้ จนบิดาของเขาต้องพูดโน้มน้าวจิตใจ
“พ่อว่าอัทธ์ควรทำตามความต้องการของคุณย่านะลูก”
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยขัดใจคุณย่า แต่คงต้องยกเว้นเรื่องนี้ครับพ่อ”
อัมพกาไม่ได้ว่าอะไรเธอแค่ยกหูโทรศัพท์ เรียกเกรียงไกรทนายความประจำตระกูลให้เข้ามาพบในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในพินัยกรรม เมื่อเห็นท่าทางที่เอาจริงของคุณย่า ทำให้อัทธวีร์ต้องยอมอ่อนข้อให้ เขาเลือกที่จะถอยกลับมาตั้งหลัก เพื่อหาวิธีที่จะเลิกล้มการแต่งงานในครั้งนี้ ดีกว่าจะตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะคะคานกับบุคคลอันเป็นที่รักอย่างคุณย่า
“ก็ได้ครับ”
“หมายความว่าไง!”
“ผมจะทำตามความต้องการของคุณย่า แต่ขอเวลาสามเดือนในการคบหาดูใจหนูซินของคุณย่า ก่อนที่จะมีการหมั้นหมายหรือจัดพิธีแต่งงาน”
“ก็ในเมื่อแกจะตามใจย่าแล้วทำไมต้องตั้งเงื่อนไข”
“ผมแค่อยากทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้”
“ก็ดีเหมือนกันนะครับ ให้พวกเขาได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์กันสักหน่อย แค่สามเดือนเองครับคุณแม่”
“นั่นสิคะคุณแม่ อัทธ์กับหนูซินไม่ได้เจอกันนานหลายปี ณิว่าให้เวลาพวกเขาได้ศึกษาดูใจกันก่อนที่จะจัดพิธีก็เป็นเรื่องที่ดีนะคะ”
“ก็ได้ย่าจะให้เวลาตามที่อัทธ์ขอ แต่ย่ามีข้อแม้บางอย่าง อัทธ์ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่บิดพลิ้ว ครบกำหนดสามเดือนเมื่อไรอัทธ์จะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับหนูซินตามฤกษ์ที่ผู้ใหญ่หามาให้ ถ้าอัทธ์เล่นตุกติกอัทธ์จะต้องยอมรับเงื่อนไขที่ครอบครัวจะยกทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้กับการกุศล”
เข้าใจละว่าทำไมตระกูลนิธิพัฒน์โภคินถึงได้มั่นคงเป็นปึกแผ่นมาจนถึงทุกวันนี้
คงเพราะความเขี้ยวระดับสิบของบรรพบุรุษของเขาแน่แท้ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าประมุขของตระกูลอย่างคุณย่าก็ได้รับนิสัยนี้มาเช่นกัน
“ตกลงครับคุณย่า”
อัทธวีร์จำใจเขียนสัญญาฉบับนั้นพร้อมกับคิดแผนการในหัว หลังจากทุกคนลงนามเป็นพยานแล้วเขาก็ยื่นเอกสารฉบับนั้นให้ผู้เป็นย่า
“ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของซินด้วยนะครับคุณย่า จะได้โทรติดต่อเพื่อสานสัมพันธ์”
ปากบอกสานสัมพันธ์แต่ที่จริงแล้วเขาจะตัดสัมพันธ์เธอต่างหาก
อัมพกายื่นนามบัตรของศิศิราให้อัทธวีร์ พร้อมกับพูดกำชับเขา
“ดูแลหนูซินให้ดีล่ะ ห้ามทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับคุณย่า ผมจะดูแลหนูซินคนดีของคุณยาชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่ออัทธวีร์เดินคล้อยหลังไป อนวัชก็หันมาพูดกับมารดา
“คุณแม่สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมครับที่อัทธ์ยอมรับปากแต่งงานกับหนูซิน”
“ยังเชื่อใจร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอกวัช ปลาไหลใส่สเก็ตอย่างนายอัทธ์ไม่มีวันยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ แน่ เรื่องนี้เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป”