บทที่ 8
ทันทีที่คู่นอนของหลานชายเดินออกจากห้องพักไปนั้น อัมพกาก็หันไปพูดกับศิศิรา
“ซินอย่าคิดมากนะลูก ผู้หญิงพวกนั้นเป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราวของนายอัทธ์เท่านั้น และก็ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวย่าจะจัดการเรื่องนี้กับนายอัทธ์แทนหนูเอง”
ถามว่าเธอคิดมากไหมกับภาพที่เห็น
ตอบเลยว่าไม่!!
แค่รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงผู้ชายเจ้าชู้ที่มักมากในกามารมณ์อย่างเขามากกว่า
จังหวะนั้นเองอัทธวีร์ก็เดินออกมาจากห้องนอน เขาเดินมานั่งลงตรงข้ามสองสาวต่างวัย
“ว่าไงพ่อตัวดี ใช้ชีวิตเสเพลบ้านช่องไม่รู้จักกลับ ที่แท้ก็มามั่วอยู่กับผู้หญิงที่นี่ คอนโดนี้ไม่ใช่โรงแรมม่านรูดที่อัทธ์จะพาใครเข้ามาทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะ”
อัทธวีร์ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถือเป็นความผิด จึงได้โต้ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มันไม่ผิดไม่ใช่เหรอครับคุณย่าที่ผมจะใช้ชีวิตโสดอย่างคุ้มค่า ในเมื่อผมเองก็ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว ฉะนั้นจะมีเซ็กส์กับใครก็ไม่ถือเป็นการนอกใจไม่ใช่เหรอครับ”
“ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัว แถมยังจะปากดีอีก”
“ผมทำอะไรผิดครับ...แค่นอนกับผู้หญิง เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน จริงไหมซิน”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามความเห็นของว่าที่เจ้าสาวในอนาคตของตัวเอง
ศิศิราไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของเขา จนแม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมอง
“ถึงอัทธ์กับหนูซินจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่อัทธ์ก็ไม่ควรที่จะนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าแบบนี้”
“ใครว่าไม่เลือกกันล่ะครับคุณย่า ผู้หญิงที่ผมมีความสัมพันธ์ด้วยผมเลือกมาอย่างดีแล้วครับ”
“จะทำอะไรก็ควรรักษาหน้าของหนูซินไว้บ้าง”
“เรายังไม่ได้แต่งงานกันนะครับคุณย่า ฉะนั้นผมจึงมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้จริงไหมครับ”
“ถ้าอย่างนั้นย่าจะรีบหาฤกษ์ให้อัทธ์กับหนูซินแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด”
“คุณย่า” สองหนุ่มสาวต่างก็ประสานเสียงออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ยังไม่ครบกำหนดสามเดือนตามที่เราเคยตกลงกันไว้เลยนะครับ คุณย่าไม่ต้องรีบร้อนหาฤกษ์แต่งงานหรอกครับ ยังไงซะผมกับซินก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี”
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้มั้งคะคุณย่า”
ที่ช่วยพูดคัดค้าน เพราะศิศิราเองก็ยังไม่อยากที่จะแต่งงานกับเขาเร็วนัก
“ถ้าอัทธ์ยังทำตัวเหลวไหล สำมะเลเทเมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้ แล้วผู้หญิงดีดีที่ไหนเขาจะอยากแต่งงานด้วย”
“ก็หนูซินคนดีของคุณย่าไงครับ”
“ขืนทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยๆ ใครเขาจะทนไหว”
“ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับผมก็ได้นี่ครับ ผมเองก็ไม่อยากบังคับจิตใจใครเหมือนกัน”
“ย่าขอยื่นคำขาด ต่อไปนี้ไม่ว่าอัทธ์จะทำอะไรก็ขอให้คำนึงถึงหนูซินให้มากๆ เพราะอีกไม่นานก็จะต้องแต่งงานกัน ถ้าไม่แต่งรู้ใช่ไหมว่าจะเป็นยังไง”
“คุณย่าขู่ผมเหรอครับ”
“ย่าไม่เคยพูดขู่ใคร และเป็นคนที่พูดจริงทำจริงเสมอ ทำตัวให้ดี อย่าให้ย่ารู้นะว่าอัทธ์ทำให้หนูซินเสียใจ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าย่าไม่เตือน”
อัทธวีร์ตวัดสายตาไปมองว่าที่เจ้าสาวในอนาคตของตนเองด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าเธอเป็นชนวนที่ทำให้เขากับคุณย่าต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน แถมยังทำให้เขาโดนคุณย่าตำหนิที่ทำตัวไม่เหมาะสม
คนอย่างอัทธวีร์ไม่ชอบให้ใครมาบีบบังคับซะด้วยสิ
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุให้เขาทำ
คิดจะยืมมือคุณย่ามาบีบบังคับกันอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ
เกือบสามเดือนที่ผ่านมาอัทธวีร์เลือกใช้ชีวิตเสเพลตามแบบที่เขาชอบมาโดยตลอด และดูเหมือนว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาทำเช่นนั้นโดยไม่สนใจความรู้สึกของศิศิราเลยสักนิด ว่าเธอจะรู้สึกเช่นไรกับการกระทำของเขา แม้ว่าคุณย่าจะเคยเอ่ยปากเตือนเขามาแล้วก็ตาม และไม่ว่าเขาจะไปเที่ยวที่ไหนก็มักจะได้พบศิศิราควงคู่มากับผู้ชายทุกครั้ง แถมยังมีพฤติกรรมชอบหว่านเสน่ห์ผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่า
ฮึ!! เพิ่งจะรู้ว่าหนูซินคนดีของคุณย่าชอบกินเด็ก
เมื่อพบกันหลายครั้งเข้าก็ทำให้อัทธวีร์รู้สึกทนไม่ได้ ที่ศิศิราเลือกใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง
สุดท้ายจึงตัดสินใจเฝ้าตามดูพฤติกรรมว่าที่เจ้าสาวของตัวเองว่าวันๆ หนึ่งเธอไปทำอะไรที่ไหนบ้าง เขาพบว่าตอนกลางวันเธอจะไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยตามปกติ และจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปล่าเหยื่อตามผับตามบาร์ในช่วงค่ำ ในค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเขาเฝ้าติดตามเธอไปจนรู้ว่าเธอมาเที่ยวโฮสบาร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
“อารมณ์เปลี่ยวถึงขนาดมาเที่ยวโฮสบาร์เลยเหรอ”
อัทธวีร์รู้สึกโกรธเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินออกมารับศิศิรา เขาโอบไหล่เธอพร้อมกับพากันเดินเข้าไปในสถานเริงรมย์แห่งนั้น ซึ่งเป็นคลับสำหรับผู้หญิงที่มาหาความสุขกับพวกโฮสหนุ่มๆ หน้าตาดี
“ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว คงต้องจัดการอะไรบางอย่าง”
เท้าไวเท่าความคิด เขาเดินเข้าไปในคลับแห่งนั้นโดยไม่ลังเลด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทันทีที่เขาปรากฏตัวก็ตกเป็นเป้าสายตาทันที พวกสาวๆ ต่างก็หันมาจ้องมองเขาด้วยความสนใจ แต่อัทธวีร์ไม่ใส่ใจเขากวาดสายตามองหาเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อหันไปพบก็รีบเดินตรงไปที่นั่นด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ เขาฉุดมือศิศิราที่นั่งอยู่ในวงล้อมของพวกหนุ่มๆ ให้ลุกตามเขาออกไปด้านนอก
“ตามผมมานี่”
“ฉันไม่ไป ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อย คุณไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้กับฉันนะ”
“ใครว่าไม่มีสิทธิ ผมมีสิทธิมากกว่าใครทั้งนั้น เพราะอีกไม่นานเราสองคนก็จะต้องแต่งงานกัน”
หนุ่มๆ วัยละอ่อนที่นั่งอยู่ด้วยต่างก็พูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“แต่งงาน!”
“ใช่ มีปัญหาอะไร”
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบมีเพียงคิมหันต์เท่านั้นที่พูดโพล่งขึ้นมา
“ในเมื่อผู้หญิงเขาไม่เต็มใจที่จะไปกับคุณ คุณก็ไม่ควรที่จะไปบังคับเขานะครับ”
“มันเป็นเรื่องของเราสองคน คุณไม่เกี่ยว ฉะนั้นอย่ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า”
เขาประกาศเสียงกร้าวกลับไปพร้อมกับตวัดสายตาคมกล้าจ้องมองไปที่ศิศิรา
ถ้าสายตาของเขาฆ่าคนได้เธอคงมอดไหม้เป็นจุล
“ส่วนคุณก็มากับผม”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ปล่อยนะ มาจับฉันไว้ทำไม ฉันบอกให้ปล่อย”
ศิศิราพยายามดิ้นรนขัดขืนให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดพ้น เขาออกแรงฉุดเธอให้ก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ปล่อยเธอ!” คิมหันต์เอ่ยพร้อมกับฉุดมืออีกข้างของหญิงสาวเอาไว้
“แส่ไม่เข้าเรื่อง อยากเจ็บตัวนักใช่ไหม” อัทธวีร์เอ่ยพร้อมกับตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่าย
“เปล่าเลย แต่ผมทำเพื่อปกป้องซิน”
ศิศิราเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าทั้งคู่จะเปิดศึกใส่กันโดยมีตนเองเป็นต้นเหตุ เธอจึงตรงเข้าไปขวางทั้งคู่เอาไว้
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะคิมเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ซินจะไปกับเขาเองฝากทางนี้ด้วยนะ”
“ร่ำลากันจบหรือยังจะได้ไปกันซะที”
“ก็ไปสิ”
หญิงสาวกระชากเสียงตอบพร้อมกับเดินนำเขาออกไปนอกผับ อัทธวีร์เดินตามไปติดๆ โดยมีสายตาทีมงานวิจัยของศิศิราและคิมหันต์มองตามไปด้วย
“พี่คิมดูจะไม่แปลกใจเรื่องที่ด็อกเตอร์ซินกำลังจะแต่งงาน พี่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมครับ” หนึ่งในทีมวิจัยของหญิงสาวเอ่ยถาม
คิมหันต์พยักหน้าแทนคำตอบ
“แฟนด็อกเตอร์ขี้หึงเหมือนกันนะครับ”
“หวงก้างมากกว่า”
“ทำไมพี่คิมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ”
คิมหันต์มิได้ตอบเขาเพียงแต่ยิ้มก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา
“เรามาเริ่มลงมือทำงานกันดีกว่าเสร็จแล้วจะได้รีบกลับ”