บทที่ 9 มาเฟียปลาร้า 1.1   1/    
已经是第一章了
บทที่ 9 มาเฟียปลาร้า 1.1
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถยนต์ของนลินธาราก็แล่นมาจอดภายในลานจอดรถของร้านอุบลแซบอีหลี ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาช่วงรอยต่อระหว่างเย็นกับค่ำ ลูกค้าจะเยอะเป็นพิเศษ รถยนต์จึงจอดเรียงกันเป็นตับ ด้านในร้านก็หนาแน่นไปด้วยลูกค้านับร้อยคน “วันนี้คนเยอะนะลิน คนแน่นเชียว” อทิตยาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจำนวนรถที่จอดเกือบเต็มลานจอดรถ “วันนี้วันเสาร์ด้วย คนเยอะอยู่แล้ว” นลินธาราคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นจนชินตา “แล้วจะมีที่นั่งเหรอเนี่ย” วนาธรพูดขณะที่ชะเง้อคอมองเข้าไปในร้าน “มีสิ ลินส่งข้อความบอกแม่ไว้แล้วว่าให้จองโต๊ะไว้ให้” ลูกสาวเจ้าของร้านเดินนำทั้งหมดเข้าไปภายในร้าน พอเข้าไปถึงอุบลที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็เดินมาหาบุตรสาว “แม่จ๋า ยุงคิดถึงแม่ที่สุดเลย” อทิตยารีบเดินไปกอดร่างของอุบลที่เธอรักไม่ต่างกับแม่แท้ๆ เนื่องจากหลายครั้งที่นางจ่ายค่าเล่าเรียนให้เธอก่อน แล้วอทิตยาค่อยผ่อนชำระให้ทีหลัง เธอจึงรักและซาบซึ้งในบุญคุณของอุบลเป็นอย่างมาก “แม่ก็คิดถึงยุง ว่าแต่มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมวันนี้เพิ่งมาหาแม่ล่ะ” “เมื่อวานมาถึงนี่ก็เย็นแล้วค่ะ พอไปส่งโตที่โรงแรมและอยู่กินข้าวด้วยกันก็มืดแล้ว ยุงเลยให้ลินไปส่งที่บ้านก่อน ไม่อยากมารบกวนแม่ดึกๆ แม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วจะได้พักผ่อน” อทิตยาตอบ “แล้วจะมาอยู่กี่วันล่ะ” อุบลถามต่อ “พรุ่งนี้ก็กลับแล้วค่ะแม่” การสนทนาของทั้งคู่ยุติลงชั่วคราว เมื่อบุตรสาวเดินมาถึงตรงจุดที่นางกับอทิตยายืนอยู่ วนาธรที่รู้จักอุบลเป็นอย่างดีพนมมือไหว้นางอย่างนอบน้อม ส่งผลให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกันยกมือไหว้ตาม อุบลนึกเอ็นดูการไหว้ของชายหนุ่มต่างชาติที่มองดูแล้วน่ารักไปอีกแบบ “แม่คะ คุณอาริโกค่ะ เป็นคุณอาของโตค่ะ” นลินธาราแนะนำตัวเอ็นริโกให้มารดารู้จัก ก่อนจะแนะนำอีกหนึ่งหนุ่มให้ผู้เป็นแม่รู้จัก “คุณอาเบสค่ะ เป็นเพื่อนสนิทคุณอาริโก” “สวัสดีครับ” เอ็นริโกกล่าวคำทักทายพร้อมกับยกมือไหว้อีกรอบ “พูดไทยได้เหรอคะ น่าทึ่งจริงเชียว” อุบลทำหน้าทำตาแปลกใจ ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะพูดภาษาไทยได้ อีกทั้งสำเนียงก็ดี ไม่ลิ้นแข็งเหมือนกับชาวต่างชาติรายอื่นที่หัดพูดภาษานี้ “พูดได้ครับ ผมฝึกไว้เจรจากับตาของเร็นโซครับ” “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” นางยิ้มกับความจำเป็นในการฝึกพูดภาษาไทยของเอ็นริโก “เดี๋ยวแม่จะพาไปนั่งที่โต๊ะนะคะ จัดไว้ให้แล้วค่ะ” อุบลทำหน้าที่เจ้าของร้านที่ดี นำพาลูกค้ารายพิเศษไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้ โต๊ะที่ว่านี้อยู่ในห้องวีไอพีของร้านที่มีเพียงห้าห้อง มีความเป็นส่วนตัวเหมาะกับการสังสรรค์หรือมากันเป็นหมู่คณะ โต๊ะในห้องนี้เป็นโต๊ะขนาดหกที่นั่ง ฝั่งละสามที่ นลินธารานั่งเก้าอี้ฝั่งขวาซึ่งแน่นอนว่า เอ็นริโกจะรีบไปทรุดนั่งเก้าอี้ข้างเธอ เหลืออีกสองหนุ่มกับหนึ่งสาวที่กำลังจะนั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง แต่คราวนี้วนาธรจับแขนของอทิตยาให้มานั่งบนเก้าตัวริมสุดที่ติดกับหัวโต๊ะ ส่วนตัวเองก็รีบนั่งเก้าอี้ตัวกลาง ทำตัวราวกับว่าตนเองกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีอยู่ แต่นฤเบศร์ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาลากเก้าอี้อีกตัวไปหัวโต๊ะ ก่อนจะทรุดนั่งหน้าตาเฉย และนั่นทำให้นฤเบศร์นั่งใกล้อทิตยาโดยปริยาย วนาธรจึงไม่พอใจขึ้นทันที “พอดีอาชอบนั่งหัวโต๊ะน่ะ อานั่งที่อื่นมันกินไม่ถนัด” คนชอบแกล้งเอ่ยขึ้น “จะทานอะไรก็สั่งได้นะคะ ที่นี่อร่อยทุกอย่างค่ะ” นลินธาราทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ร้าน ยื่นเมนูส่งให้ทุกคนยกเว้นเอ็นริโก เพราะเขาบอกกับเธอว่า “คุณอาให้ลินสั่งให้คุณอาดีกว่า ลินว่าอะไรอร่อยก็สั่งมาได้เลย เพราะตอนนี้คุณอาหิวจนไส้แทบขาด ถ้าเกิดคุณอาทนหิวไม่ไหวขึ้นมา กินลินแทนอาหารมันจะยุ่งนะ” หัวใจของนลินธาราสั่นขึ้นมาทันใดกับประโยคทีเล่นทีจริงของคุณอาสุดหล่อ มือที่ถือเมนูอาหารก็สั่นตามไปด้วย หน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวมากขึ้น “ถ้านายหิวขนาดนั้น กินฉันดีกว่าไหม ฉันตัวใหญ่รับรองนายกินอิ่มไปทั้งวัน” นฤเบศร์แซวเพื่อนกลับ มองตาเพื่อนอย่างรู้ใจ “ฉันไม่กินนายหรอก ตัวนายเหม็นเขียว กินลินดีกว่า ตัวห๊อมหอม” เอาอีกแล้ว หัวใจของนลินธาราเต้นถี่แรงอีกครั้ง ความเขินอายที่มีอยู่ก่อนหน้าก็เพิ่มตามไปด้วย ยิ่งหันมาเห็นสายตาของเขาด้วยแล้ว หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ “ว่าแต่ลินจะแนะนำอาหารอะไรให้คุณอากินครับ คุณอาหิวมากแล้วนะ” “ฉันว่านะ ให้ลินสั่งให้พวกเรากินดีกว่า เพราะลินเป็นเจ้าของร้าน น่าจะสั่งอาหารถูกปากให้เราได้” นฤเบศร์ออกความคิดเห็น นลินธาราจึงลุกเดินออกไปจากห้องเพื่อสั่งอาหารตรงเคาน์เตอร์ของร้าน ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเมื่อสั่งอาหารเรียบร้อย ไม่นานเกินรออาหารราวสิบอย่างก็ถูกลำเลียงมาเสิร์ฟบนโต๊ะ นฤเบศร์ อทิตยาและวนาธรมองอาหารอีกสานหน้าตาน่าทานน้ำลายสอ ส่วนเอ็นริโกมองอาหารที่ตนไม่เคยเห็นและรับประทานด้วยสายตาอยากลิ้มลอง ก่อนที่เขาจะลงมือทานเป็นคนแรก แล้วอาหารบนโต๊ะที่เอ็นริโกลิ้มลองเป็นจานแรกคือ ส้มตำปลาร้า แต่ก่อนที่จะนำใส่ปาก เขาได้กลิ่นฉุนโชยมาจากอาหารที่กำลังทาน จะว่าเหม็นก็ไม่เชิง จะว่าหอมก็ไม่ใช่ เขาจึงนำส้มตำปลาร้าในช้อนจ่อตรงปลายจมูกและสูดดมในระยะใกล้ เอ...กลิ่นแปลกๆ แต่ทำไมดมแล้วน้ำลายสอ ความรู้สึกของเอ็นริโกบอกเช่นนั้น แต่เขาก็ตักอาหารที่ยังไม่รู้จักนั้นลองชิมทันที “โอ้ววว...ซี้ดดด...อูวว์...อา” เสียงสูดปากสูดคอดังมาจากปากของเอ็นริโก เมื่อได้ชิมส้มตำปลาร้ารสแซบถึงใจเป็นคำแรก “คุณอาดื่มน้ำก่อนค่ะ” นลินธารารีบหยิบแก้วน้ำดื่มส่งให้เอ็นริโก หวังจะให้เขาใช้น้ำเย็นดับความเผ็ดร้อนในปาก แต่เขาโบกมือไม่รับน้ำดื่มแก้วนั้น กลับใช้ช้อนตักส้มตำรสจัดจ้านใส่ปากต่อไป ราวกับว่าไม่คณนากับความเผ็ดของอาหารจานนี้ “อูวว์...อา...อูวว์” เอ็นริโกยังคงระบายความเผ็ดออกจากปากไม่หยุด รู้ทั้งรู้ว่าส้มตำปลาร้านั้นเผ็ดแสนเผ็ด แต่ก็ยังทานต่อไป “คุณอาเผ็ดมากเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นลินจะให้น้าลำดวนตำให้ใหม่นะคะ สงสัยน้าลำดวนจะหยิบพริกใส่หนักมือไปหน่อย ทั้งที่ลินสั่งแล้วว่าให้เผ็ดกลาง” นลินธาราเอ่ยบอกเอ็นริโก ที่เวลานี้หน้าแดงก่ำราวกับไปยืนตากแดด “ไม่...ไม่ต้อง...อร่อย...อร่อยมาก” เอ็นริโกอ้าปาก ผ่อนลมออกจากปาก ก่อนจะห้ามไม่ให้เธอทำตามที่พูด เนื่องจากอาหารจานนี้แม้ว่าจะเผ็ดแต่รสชาติอร่อยถูกลิ้น “แหมเว้ย...เพิ่งเคยเห็นฝรั่งกินส้มตำปลาร้า ยิ่งฝรั่งคนนี้เป็นมาเฟียดังของอิตาลีด้วยแล้ว น่าถ่ายรูปลงเน็ตชิบเป๋ง” นฤเบศร์มองเพื่อนรักอย่างแปลกใจ ขนาดเขาเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ยังทานอาหารพวกนี้นับครั้งได้ และทุกครั้งที่ทานรสชาติก็ไม่เผ็ดดุเดือดชนิดที่ว่าแค่มองเห็นพริกในจานส้มตำก็โบกมือลา “อร่อยจะตายไปค่ะบอส บอสลองทานสิคะ นี่เลย ส้มตำปูม้ารสชาติจานนี้ไม่เผ็ดเท่าไหร่ บอสทานได้อยู่แล้ว” อทิตยาตักส้มตำปูม้าใส่จานของนฤเบศร์ที่มองอยู่อึดใจหนึ่งก็ใช้ช้อนตักส้มตำใส่ปาก “เป็นไงคะบอส อร่อยไหมคะ” เลขาสาวถามเจ้านายสุดเนี้ยบที่พยักหน้าแทนคำพูด เนื่องจากเวลานี้ส้มตำรสอร่อยอยู่ในปากของนฤเบศร์ เขาจึงไม่สามารถตอบเธอได้ด้วยคำพูด “ถ้าอย่างนั้นลองทานตำมั่วดูนะคะ ถึงจะมั่วสมชื่อแต่ก็อร่อย” ตำมั่วที่อทิตยาแนะนำให้นฤเบศร์ทานก็คล้ายกับส้มตำทั่วไป ในแต่ละร้านก็ทำไม่เหมือนกัน สูตรตำมั่วร้านอุบลแซบอีหลีใส่มะละกอ ขนมจีน หมูยอ แคบหมู ปูม้ามีเส้นหมี่ลวกโรยด้วยกระเทียมเจียวไว้ข้างจาน “อืม อร่อยดีนะ” นฤเบศร์ชมอาหารเมื่อได้ลิ้มลองตำมั่ว “ลินตักให้คุณอาเหมือนกับที่โรสตักให้เบสบ้างสิ คุณอางอนลินแล้วนะที่ไม่เอาใจคุณอา” เอ็นริโกมองเห็นอทิตยาตักอาหารให้เพื่อนสนิทก็อยากให้นลินธาราทำแบบนั้นกับตนบ้าง ชายหนุ่มร่างโตจึงกลายร่างเป็นเด็กขี้อ้อน ที่มองยังไงก็พาลให้หมั่นไส้มากกว่าน่ารัก “นายไม่มีมือหรือไง ถึงได้ให้ลินมาเอาใจ” นฤเบศร์แซวเพื่อนทันที “มี แต่อยากให้ลินทำให้” เอ็นริโกพูดโต้กลับ “ได้ค่ะคุณอา คุณอาทานลาบหมูนะคะ รับรองจะต้องติดใจ” นลินธารารีบทำตามที่เอ็นริโกต้องการ ตักลาบหมูใส่จานคุณอาสุดหล่อ แล้วหันมาหยิบผักสดไปวางลงบนจาน “ทานกับผักเครื่องเคียงนะคะ นี่คะ” เอ็นริโกยิ้มอย่างสมใจ ตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะพบเจออะไรบางอย่างที่อยู่ในจานส้มตำปลาร้า เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นมันมาก่อน อาจเป็นเพราะเส้นมะละกอมันบดบัง “นี่ตัวอะไรน่ะลิน มันเหมือนปลาเลยนะ” เอ็นริโกถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย “เขาเรียกว่า ปลาร้าค่ะ เป็นปลากระดี่ที่เอามาหมักตามสูตรของร้านลิน ทานได้นะคะ” จบคำตอบของนลินธารา เอ็นริโกได้ตักปลาร้าที่มีรูปร่างเล็กและแบนจากจานส้มตำ มองดูอยู่อึดใจเดียวก็นำปลาร้าใส่ปาก บุคคลที่นั่งทานร่วมกันกับเขาต่างมองเอ็นริโกเป็นตาเดียว เพราะไม่คิดว่ามาเฟียหนุ่มจะกล้าทานปลาร้าแล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข “ไอ้ปลาตัวนี้รสชาติแปลกๆ มีกลิ่นนิดๆ แต่อร่อยดีแฮะ” พูดจบ เอ็นริโกก็รีบตักปลาร้าอีกตัวใส่ปาก ทานอย่างเอร็ดอร่อย “นายลองกินสิเบส อร่อยนะ ฉันชอบ” “ไม่เอาหรอก จานนั้นฉันขอบาย ฉันกินอย่างอื่นดีกว่า” นฤเบศร์ปฏิเสธทันควัน ส่ายหัวดิก ก่อนจะรีบตักส้มตำปูม้าใส่ปาก อทิตยามองเห็นท่าทางของนฤเบศร์แล้วขำ น่าแปลกที่ว่า เอ็นริโกเป็นคนต่างชาติกลับถูกอกถูกใจรสชาติของปลาร้า แต่เจ้านายเธอเป็นคนไทยเต็มร้อยกลับหลีกเลี่ยงที่จะทาน ทว่าเธอก็เข้าใจเนื่องจากอาหารชนิดนี้ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่โปรดปราน ซึ่งบางคนถึงขนาดเพียงแค่ได้กลิ่นก็ปิดจมูกเดินหนีไปเลย การรับประทานอาหารอีสานมื้อแรกของเอ็นริโกผ่านพ้นไปด้วยดี เขาทานอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นต้มแซบซี่โครงหมูอ่อน น้ำตกคอหมูย่าง ซุปหน่อไม้ ไก่ย่าง ข้าวเหนียวและอีกหลายอย่างจนครบทุกจาน ซึ่งแต่ละจานก็ถูกใจ ถูกปากเอ็นริโกยิ่งนัก โดยเฉพาะส้มตำปลาร้ารสจัดที่เขาสั่งเพิ่มมาอีกหนึ่งจาน แถมยังทานคนเดียวไม่แบ่งใครอีกด้วย และระหว่างที่ทานอาหาร เอ็นริโกไม่ได้สนใจแต่อาหารบนโต๊ะเท่านั้น เอ็นริโกเอาอกเอาใจนลินธารา ตักอาหารจานนั้นจานนี้ให้เธอบ่อยครั้ง มิหนำซ้ำยังส่งสายตาหวาน ที่เปี่ยมไปด้วยความหมายให้เธอต่อเนื่อง แล้วยังจะพูดจาหวานใส่อีกด้วย แน่นอนที่หัวใจสาวจะเต้นถี่แรง เต้นไม่เป็นจังหวะ ความเขินอายไหลเวียนไม่ขาดสาย ส่วนนฤเบศร์ก็ไม่ได้แกล้งวนาธรนอกเหนือจากที่ลากเก้าอี้มานั่งหัวโต๊ะ เนื่องจากเขาเริ่มจะถูกใจอาหารอีสานขึ้นมา นั่งทานอาหารบนโต๊ะครบทุกจาน ยกเว้นส้มตำปลาร้าที่เอ็นริโกเหมาทานคนเดียว ส่งผลให้อาหารมื้อนี้มีความอร่อยมากยิ่งขึ้น
已经是最新一章了
加载中