บทที่ 2
บ้านไม้ชั้นเดียวกลางสวนคือสถานที่เปิดพินัยกรรม บุตรธิดาทั้งสามของจำเนียรเดินทางมาพร้อมครอบครัว ทุกคนที่ก้าวขึ้นไปบนบ้านต่างเคลือบแคลงสงสัยเรื่องพินัยกรรม แต่ละครอบครัวพูดคุยกันมาตลอดทางเรื่องนี้ เท่าที่พวกเขารู้จำเนียรมีทรัพย์สินเพียงบ้านสวน และสวนผลไม้เนื้อที่เจ็ดไร่ ซึ่งลูกทั้งสามมีความเห็นตรงกันว่าจะขายทั้งหมดเพราะไม่มีลูกคนไหนอยากอยู่ที่นี่ แล้วนำเงินที่ได้จากการขายบ้านและที่ดินมาแบ่งเท่าๆ กัน ถึงแม้ว่าในพินัยกรรมจะระบุให้ใครคนหนึ่งก็ตาม
“อย่าลืมที่เราคุยกันไว้นะ ถ้าแม่ให้บ้านและที่ดินกับใคร ก็ต้องขายเอาเงินมาแบ่งเท่าๆ กัน” เกรียงศักดิ์ลูกชายคนโตของจำเนียรบอกจำรูญและชาติชาย น้องสาวและน้องชายเมื่อมาถึงบ้าน
“รู้แล้วน่า” จำรูญตอบกลับ “พี่ก็อย่าลืมก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าได้แล้วไม่แบ่งฉันกับชายล่ะ”
ความที่รู้นิสัยพี่ชายดีว่า ขี้เหนียว ขี้งกและเห็นแก่ตัว ทำให้หล่อนไม่มั่นใจว่าหากมารดายกสมบัติให้เกรียงศักดิ์ ข้อตกลงยังคงเหมือนเดิมหรือไม่
“ฉันไม่ลืมหรอก ตกลงกันยังไงก็อย่างนั้น”
เกรียงศักดิ์คิดทำตรงข้ามกับปากพูด หากพินัยกรรมระบุว่าเขาได้ครอบครองที่ดินผืนนี้ นั่นเท่ากับว่าชอบด้วยกฎหมาย มีหรือที่เขาจะแบ่งเงินให้น้องทั้งสองคน
จบคำพูดของเกรียงศักดิ์ ทนายจักรกฤตญ์ที่เดินทางมาถึงบ้านสวนของจำเนียรหลังสุดก็ก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับตามี เขาประนมมือไหว้ลูกทั้งสามของจำเนียร ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวายตัวเดียวกันกับที่ลุงมีนั่ง เปิดกระเป๋าที่ตนถือมา หยิบซองสีน้ำตาลที่ปิดผนึกออกมาโชว์ให้ลูกหลานจำเนียรดู
“นี่คือพินัยกรรมของยายจำเนียรครับ ผมในฐานะทนาย และตามีในฐานะพยาน ทำตามคำสั่งของยายเนียรว่าวันเผาศพของยายเนียรคือวันเปิดพินัยกรรม ผมจึงบอกให้พวกคุณมาที่นี่ครับ” ทนายหนุ่มเกริ่น ก่อนจะเปิดซองที่ปิดผนึกออก หยิบพินัยกรรมออกมา “เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ผมขอเปิดพินัยกรรมนะครับ”
ลูกหลานของจำเนียรต่างพากันตื่นเต้นที่จะได้รู้ว่าบ้านสวนพร้อมที่ดินแห่งนี้จะตกอยู่ในมือใคร หรือถูกแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูกทั้งสามเท่ากัน จักรกฤตญ์อ่านข้อความในพินัยกรรมจนถึงแก่นสำคัญ ที่ทุกคนพากันตั้งใจฟัง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดขัดจังหวะ
“บ้านสวนและที่ดินจังหวัดนครปฐม เงินสดในบัญชีธนาคารสามแห่งรวมทั้งสิ้นเจ็ดล้านแปดแสนเก้าหมื่นสามพันสี่ร้อยบาท และที่ดินในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 70 ไร่ จังหวัดอยุธยา 80 ไร่ จังหวัดราชบุรี 35 ไร่ จังหวัดเชียงใหม่ 62 ไร่ และอุบลราชธานี 55 ไร่ ยกให้เป็นสมบัติของ นางสาวสิรินยา นาควลัยแต่เพียงผู้เดียว พินัยกรรมของคุณยายเนียรมีแค่นี้ครับ”
จำเนียรมีมรดกเป็นร้อยล้าน!
หลังกจากเสียงจักรกฤตญ์เงียบลง ทุกคนที่อยู่ในอาการตกใจต่างหันมามองสิรินยาเป็นตาเดียว ด้วยความคาดไม่ถึงว่าจำเนียรจะมีสมบัติมากขนาดนี้ มูลค่าของทรัพย์สินที่จักกฤตญ์กล่าวมามีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว แค่ที่ดินในจังหวัดภูเก็ตก็ปาเข้าไปหนึ่งร้อยล้านกว่าบาทแล้ว ยังไม่นับรวมกับส่วนอื่นๆ อีก มูลค่าที่มากมายมหาศาลทำให้ความโลภเข้าครอบงำจิตใจพวกเขาทันที
อีกความสงสัยหนึ่งคือจำเนียรแอบซื้อที่ดินเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งเงินสดในบัญชีธนาคารก็มีจำนวนมาก ขัดกับรายได้ประจำเดือนอย่างเงินบำนาญหลายเท่า เหตุใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้แม้แต่น้อย ผู้เป็นแม่เก็บงำความลับนี้ได้มิดชิดเหลือเกิน
คนที่ได้รับสมบัตินั่งตัวแข็ง อยู่ในอาการตกใจเมื่อรู้ว่าตนได้สมบัติจำนวนมากจากย่าอันเป็นที่รัก ย่าเพียงคนเดียวที่ให้ความรักและเมตตา ใจหนึ่งก็ดีใจเป็นล้นพ้นที่จำเนียรเมตตาตนมากขนาดนี้ แต่อีกใจก็รู้สึกกลังวลเป็นอย่างมากกับทรัพย์สินที่ได้ เพราะมันต้องมีปัญหาตามมาเป็นแน่
“เป็นไปได้ยังไงที่แม่จะยกสมบัติให้นังยา ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นตัวซวยที่ไม่มีใครต้องการ แม่ต้องเพี้ยนแน่ๆ ตอนเขียนพินัยกรรม” เกรียงศักดิ์โพล่งออกมาเป็นคนแรก
“ใช่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแม่จะยกสมบัติให้มัน” จำรูญพูดเสียงเข้ม “หรือว่าเป็นแผนของแก แกต้องยุยงให้แม่ยกสมบัติให้นังยาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันไม่ออกมารูปแบบนี้หรอก”