ตอนที่ 3
เงาดำวูบวาบเหมือนจะหลบลี้ออกไปจากบริเวณนั้นก่อนที่รถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลจะสตาร์ทขึ้นและตรงไปในทิศทางที่รถญี่ปุ่นคันเก๋ของเธอทะยานแล่นไปทันที แต่ยังไม่วายที่ดวงตาคมเข้มทรงอำนาจจะชำเลืองมองป้ายชี้บอกทางตรงไปยังศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นไปตามคำที่บริกรหนุ่มนั้นบอกทุกประการ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเก๋เมื่อนึกถึงคนร่างเล็กที่ทำท่าทางเปิ่นๆ หวาดผวานั้น ก็เพราะความเปิ่นนี่แหล่ะที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่..เมืองไทย
“น้ำตาล..เป็นอะไรหรือเปล่าสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”
น้ำตาลเงยหน้าขึ้นจากภาพสเกตตรงหน้าก่อนจะยิ้มให้กับคนที่ก้าวเข้ามาใหม่อย่างแจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับกางแขนจนสุดกว้างรอรับคนตรงหน้าเข้ามาสวมกอด
“ฮาน่า.. มาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วพี่เอล่ะ”
“อืม.. มาได้สักพักแล้ว และก็นานพอที่จะเห็นใครไม่รู้นั่งเหม่อถึง.. เอริทเอาของเก็บในครัวแหน่ะ”
ฮาน่าคลายอ้อมกอดก่อนจะพูดหยอกเย้าเพราะคิดว่าน้ำตาลคงกำลังนั่งคิดถึงคนไกลๆ ของเธออยู่แน่ๆ
“บ้าน่า! ฉันจะไปคิดถึงใครได้ แค่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย”
“หือ! ใครทำอะไรให้น้ำตาลไม่สบายใจ เดี๋ยวจะให้พี่เอไปจัดการให้ ไหน..ที่ไหนบอกมาเลยน้ำตาล บอกมา”
ฮาน่าที่ทำท่าทางขึงขังเรียกรอยยิ้มได้จากคนหน้าอมทุกข์ในทันที
“ไม่ใช่อะไรอย่างน้าน.. โธ่! แม่คุณ กำลังท้องกำลังไส้ เดี๋ยวลูกก็ได้เล็ดออกมาพอดี”
เสียงอ่อนเสียงหวานของน้ำตาลกับคำเปรียบเปรยทำให้ฮาน่ายิ้มออกมาอย่างทะเล้นๆ ก่อนสีหน้าจะกระตุบวาบด้วยความเจ็บปนเสียวของตัวเองที่เจ้าตัวน้อยในท้องออกฤทธิ์อีกแล้ว
“โธ่! ลูกจ๋า แม่แค่ล้อคุณอาเล่นเท่านั้น อะไรกันยังไม่ได้มาเป็นคุณป้าเลยก็หวงแทนเสียแล้ว หึหึหึ..”
คำพูดแซวของฮาน่าไม่ได้ทำให้สีหน้าหมองๆ นั้นดีขึ้นเลย คนที่เคยร่างบางแต่กลับกลายเป็นร่างอุ้ยอ้ายเพราะน้ำหนักที่เพิ่มมากกว่า 10 กิโลกรัมในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้เข้ามาสวมกอดเพื่อนรักพร้อมกับน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลงเพราะรู้แล้วว่าน้ำตาลนั้นกังวลใจมากมายเพียงใด
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ ฮึ! น้ำตาลเป็นอะไร ใครทำ..”
เรื่องราวที่น้ำตาลรู้สึกเหมือนจะโดนใครหรืออะไรบางอย่างติดตามอยู่ตลอดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ถูกถ่ายทอดให้ฮาน่ารับรู้ ซึ่งทำให้เธออยู่ในช่วงหวาดระแวงอย่างสุดๆ กลางคืนก็นอนไม่เต็มอิ่มกลางวันก็หลับไม่เต็มตื่น
“แล้วจะทำไงต่อ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อน้องสาวแสนซนเล่าจบ อารัทธาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวมาทันได้ยินบทสนทนานั้นด้วยเช่นกัน
“ทำไงล่ะคะพี่เอ พี่เอช่วยน้ำตาลด้วยสิ น้ำตาลรู้สึกจะกลายเป็นโรควิตกจริตไปแล้วนะ มันต้องมีใครตามน้ำตาลแน่ๆ น้ำตาลแน่ใจ ไอ้โรคจิต!”
“แคร๊ก..”
อารัทธาสำลักน้ำส้มที่กำลังดื่มทำให้ฮาน่ามองมาอย่างแปลกใจแต่แล้วก็หันไปสนใจกับสิ่งที่น้ำตาลเล่าต่อ
“ถ้าน้ำตาลรู้ว่ามันเป็นใครนะ น้ำตาลจะแจ้งความจับมันเข้าคุกให้เข็ดไปเลย แล้วน้ำตาลนะจะเอามันใส่ไปในห้องกระจกที่มันมองคนข้างนอกไม่เห็นแต่เราเห็นมัน จะเอาไปตั้งกลางห้างให้คนเขาดูกันเป็นของแปลกไปเลย ว่าไอ้คนโรคจิตมันหน้าตาเป็นยังไง ดูซิ! มันจะบ้าเหมือนที่น้ำตาลเป็นมั้ย”
คนหน้าจิ้มลิ้มเอ่ยออกมาอย่างแค้นๆ แต่คนฟังเหมือนจะยิ่งขำมากขึ้นแต่ก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมาเพราะสายตาพิฆาตหวานๆ นั้นส่งมาเหมือนจะบอกเป็นกลายๆ ว่ามีเรื่องที่ต้องเคลียกัน
“เอาน่า อย่าเก็บมาใส่ใจเลย เดี๋ยวคืนนี้ก็พาลนอนไม่หลับไปอีก พรุ่งนี้พี่ว่างไม่ได้เข้าออฟฟิศเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเองที่ร้านนะ และจะลองเดินสำรวจดูทั่วๆ ด้วย บางทีอาจจะเจอชายหนุ่มที่มาแอบดูน้ำตาลก็ได้นะ แล้วพี่จะพิจารณาเองว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน โอมั้ย..”
“ค่ะ.. แล้วพี่เอรู้ได้ไงคะ ว่าเป็นผู้ชาย”
“เอ่อ.. ก็เราบอกพี่เองว่าไอ้โรคจิต ก็ต้องเป็นผู้ชายดิ จริงมั้ย จริงมั้ยจ๊ะเมียจ๋า”
เสียงทุ้มตอบก่อนจะหันไปออดอ้อนฮาน่าให้สนับสนุน
“คงงั้นมั้งคะ พี่เอของน้ำตาลน่ะรู้ไปหมดอยู่แล้ว เดี๋ยวจะดูซิ ว่าพรุ่งนี้จะได้เรื่องมั้ย ถ้าไม่ก็อด..”
คำสุดท้ายที่เป็นเพียงเสียงกระซิบทำให้อารัทธาถึงกับทำสีหน้าหวาดๆ ก่อนจะเข้าไปกอดร่างอวบอิ่มนั้นอย่างแสนรักและก็อดไม่ได้ที่จะจุมพิตที่แก้มอิ่มอวบนั้นอีกหลายๆ ครั้งอย่างหมั่นเขี้ยว
น้ำตาลมองภาพความรักระหว่างพี่ชายและเพื่อนรักที่กลายมาเป็นพี่สะใภ้ได้กว่า 4 เดือนแล้วนับตั้งแต่ทั้งสองแต่งงานกัน และก็เป็น 4 เดือนแล้วที่เธอจากมา โดยที่ไม่เคยได้รับข่าวคราวจากคนทางนั้นเลยสักนิด ดวงตากลมโตมีแววหมองเจือปนก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นแจ่มใสดังเดิม เมื่อเห็นว่าดวงตาคมเข้มที่เจือไปด้วยความห่วงใยนั้นมองสบมาเช่นกัน