บทที่ 5   1/    
已经是第一章了
บทที่ 5
วันหยุดนี้วนิษศาได้ไปร้านกาแฟเพื่อน ซึ่งกำลังจะเป็นของเธอในไม่ช้า แก้วตารักคาเฟ่ฟลามิงโกแห่งนี้มาก แต่จำเป็นต้องเซ้งเพื่อย้ายตามสามีไปอยู่สิงคโปร์ เลยต้องตัดใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง “พี่หนูแหวนมาแต่เช้าเลยนะคะ กินอะไรมาหรือยัง” เอ้ เด็กในร้านทักมาจากหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน ขณะเป๋อกำลังชงกาแฟมือเป็นระวิงให้ลูกค้าอีกสองราย “ยังจ้ะ พี่ซื้อปาท่องโก๋กับสังขยามาฝาก” เธอยกถุงอาหารเช้าขึ้นชู “กินอาหารเช้าแบบฝรั่งบ่อยคงจะเบื่อ เลยหามื้อเช้าแบบไทย ๆ ให้” สองหนุ่มสาวพนมมือไหว้ขอบคุณเธอกันใหญ่ “พี่แก้วบอกว่าจะเข้ามาสาย ๆ ค่ะ บ่นว่าปวดหัว วันนี้กั๊กมีเมคอัพคลาสตอนเช้า จะมาบ่าย ๆ” เอ้รายงานเสียงใส “เหมือนเดิมใช่ไหมคะ โกโก้ร้อนนมสด” “จ้า” ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่คนทำร้านกาแฟ ไม่ชอบดื่มกาแฟ ให้ทุก ๆ อย่างลงตัวกว่านี้ วนิษศาจะเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริง จะว่าไปก่อนท้องเธอก็เป็นนักดื่มกาแฟตัวยงคนหนึ่ง พอท้องเลยปรับเปลี่ยนไป คาเฟ่ฟลามิงโกมีทำเลที่ดี อยู่มุมถนน ในซอย มีคอนโดอยู่หลายแห่ง ถัดออกไปเป็นตึกออฟฟิศ เดินไปอีกหน่อยก็เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน เป็นย่านที่ผู้คนเดินกันตลอดทั้งวัน ผืนดินแผ่นนี้เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวแก้วตา เพื่อนไม่อยากขายจึงเซ้งให้เธอมาทำร้านต่อพร้อมคนงาน “ตกลงที่กลางซอยเขาประกาศขายกันแล้วนะพี่” เป๋อเอาโกโก้มาเสิร์ฟเธอถึงโต๊ะ ตรงกลางซอยเป็นที่ของตระกูลใหญ่ แต่มีข่าวขัดแย้งกันเรื่องมรดก ในที่สุดก็ยอมตกลงจะขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน “เห็นเขาว่าจะมีคนซื้อไปทำคอนโด” เอ้เล่าต่อ เอาปาท่องโก๋ใส่จานมาวางข้างโกโก้เธอ “ทีนี้เราก็จะมีลูกค้าเพิ่ม” สาวน้อยยิ้มแก้มปริ ทีแรกที่แก้วตาประกาศว่าจะเซ้ง ทุกคนกังวลกันไปหมด ด้วยไม่รู้ว่าเจ้าของใหม่จะเป็นคนเช่นไร จะเขี้ยวสักเพียงไหน แต่พอเจอสาวแว่นตัวเล็ก ท่าทางใจดี ทุกคนก็สบายใจขึ้น “เดี๋ยวลูกค้าเบาแล้ว พี่จะลองชงกาแฟให้ดื่ม ช่วยชิมแล้ววิจารณ์กันหน่อย” วนิษศาไม่ต้องการเป็นเพียงเจ้าของร้านเก็บเงินอย่างเดียว เธอต้องการเป็นบาริสต้าด้วย เพราะต่อไปหลังจากลาออกจาก SAK นี่จะเป็นอาชีพหลักของเธอ “ได้สิพี่” ลูกน้องพยักหน้า สักพักแก้วตาก็มาพร้อมก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย ร้านจึงครึกครื้น ด้วยเพื่อนคนนี้เป็นคนร่าเริง เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ตบท้ายด้วยการนินทาสามีชาวสิงคโปร์ที่รักให้ฟัง คนที่มีชีวิตครอบครัวกับคนที่รักเป็นอย่างนี้นี่เอง แววตาสุกใส เสียงหัวเราะเบิกบาน ทำอะไรก็รื่นเริงไปหมด คิดแล้วสมเพชตัวเองนัก ต้องอุ้มท้องผู้ชายที่ตัวเองไม่รักอย่างเดียวดาย แต่วนิษศาจะไม่ร้องไห้ ในเมื่อเธอเลือกแล้วว่าจะเก็บลูกไว้ เธอต้องเข้มแข็งและสู้ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงไหว” หญิงสาวบอกเจ้าตัวเล็กในใจ ราวกับลูกรับรู้ เพราะเธอเหมือนได้ยินเสียงหัวใจอีกดวงเต้นตอบรับ...ตุบตับ สะท้อนก้องอยู่ในห้วงคำนึง ฝ่ายบุคคลส่งผู้สมัครเลขาสามคนมาให้วนิษศาสัมภาษณ์ แต่ด้วยวัยและทัศนคติบางอย่างไม่เข้าตาเชษฐ์ ชายหนุ่มจึงตอบปัดไป “คนนี้อายุน้อยเกินไป” เขาว่า “นี่อายุมากเกินไป” มือใหญ่ขาวจัดแบบลูกเชื้อจีนชี้ไปที่ใบสมัครอีกคน “ดูแอตติจูดในโซเซียลเขาด้วย ผมไม่อยากให้มีปัญหากระทบชื่อเสียงบริษัท” ตอนรับเธอเข้ามาทำงานเขาเลือกมากขนาดนี้หรือเปล่านะ ดูเหมือนจะไม่มีผู้สมัครคนใดเข้าตาถูกใจเจ้านายเลยสักคน เขาปัดตกไปเสียทั้งหมด ยังความปวดศีรษะให้ฝ่ายบุคคลและบริษัทเฮดอันเตอร์ แต่แล้วก็มีม้ามืดตีแรงแซงโค้งปรากฏตัวขึ้น ชื่อน้องโอปอล์ เธอทำให้เชษฐ์อยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก มาแบบเส้นกวยจั๊บ ใหญ่เป็นพิเศษเพราะเป็นหลานสาวเพื่อนบิดา “น้องเพิ่งเรียนจบเลยอยากให้มาทำงานหาประสบการณ์ก่อน” ผู้สูงวัยมากด้วยบารมีขับรถมาส่งหลานสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง “ได้ยินว่าเลขาเชษฐ์เก่ง คงจะสอนงานน้องได้” เมื่อพูดขนาดนี้เชษฐ์จำต้องรับเข้าทำงาน สาวเพิ่งพ้นวัยนักศึกษาหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย ผมตรงยาว ขาว สูงเท่า ๆ วนิษศา หญิงสาวไม่ใช่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เรียนรู้เร็วและช่างซักถาม สู้งาน ไม่ทำตัวเป็นลูกคุณหนูเหมือนภาพลักษณ์ เลยทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว “หนูทำงานมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้วยังไม่เห็นคุณวินเลย” คนที่เธอสอนงานให้ตั้งข้อสังเกต “เขาออกไปคุมงาน ถ้าไม่มีธุระหรือประชุมสำคัญจะไม่เข้าออฟฟิศ” เธอบอกขณะสอนเรื่องปูมหลังของตระกูลเศวตอัครเดชกุญชร เพื่อจะได้ลำดับความสำคัญของญาติเจ้านายได้ ในใจเธอยังแปลบปลาบ เมื่อได้ยินและต้องเอ่ยพ่อของลูกที่เขาไม่ต้องการจะเป็น “คุณวินหล่อเหมือนในไอจีไหมคะ หนูฟอลโลว์เขาอยู่” สาวน้อยตาเป็นประกาย “เดี๋ยวเห็นก็รู้เอง” แล้วเธอก็สอนงานเรื่องอื่น ให้ดูตารางงานแต่ละวันของเจ้านาย ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
已经是最新一章了
加载中