บทที่ 9
เป๋อยื่นแก้วที่อัดแน่นด้วยน้ำแข็งให้ เธอเทชาลง สีส้มนมอวดโฉมอยู่ในแก้วใส เติมฟองนมที่ขาวนุ่มราวก้อนเมฆ ปิดฝา พันทิชชูโอบแก้วเป็นรูปสามเหลี่ยม หยิบหลอดที่อยู่ในซอง ยื่นให้เป๋อเป็นคนนำไปเสิร์ฟ
ใจเต้นระส่ำเมื่อลูกค้ารายแรกสอดหลอดลงในแก้ว ดูดชาไทยช้า ๆ คิ้วเขียนอย่างดีนิ่วลงเล็กน้อยแล้วกลับปรกติ มุ่งสนใจที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ
“สำเร็จ” เธอกับเอ้ตีมือกัน
“ต่อไปชาไทยให้พี่แหวนชงล่ะกัน ค่อยทำวันละสูตร เจ็ดวัน พี่ก็ชงเครื่องดื่มครบเจ็ดสูตรพอดี” เป๋อวางแผน แล้ววันนั้นเธอก็ได้ชงชาไทยไปอีกหกแก้ว รวมกันเป็นเจ็ด อีกห้าวันที่เหลือเธอก็ชงเครื่องดื่มอีกวันละสูตร ลูกค้าที่มาซื้อไม่มีใครบ่นสักราย
“ต้องขอบคุณครูดีนะเนี่ย”
เป๋อยิ้มแก้มปริ เอ้หมั่นไส้จนต้องเอาศอกกระทุ้งสีข้าง
“อย่าชมมากพี่แหวน เดี๋ยวมันเหลิง”
แล้วทั้งหมดก็หัวเราะให้แก่กัน ถือเป็นเรื่องราวน่ายินดีในการเริ่มงานใหม่
พอถึงวันที่หมอนัด วนิษศาก็ไปตามนัด เจ้าตัวเล็กในท้องเธอเจริญเติบโตได้ดี ทำปากเคี้ยวหยับ ๆ โชว์ตลอด จนเธอขำว่าลูกห่วงแต่กิน
“หนูแหวน” พนมชัยทักที่บริเวณเก้าอี้รอเรียกจ่ายเงิน
“เจอกันอีกแล้วนะ” เขาไม่ได้สวมเสื้อกาวน์ แต่สวมเสื้อโปโลสีเลือดหมูกับกางเกงยีน
“ค่ะ” เธอยิ้มเจื่อน กำลังคิดว่าจะอ้างสาเหตุที่มาโรงพยาบาลครั้งนี้อย่างไรดี
“หลังจากนี้ว่างไหม พี่จะเลี้ยงไอศกรีม” ร่างสูงโปร่งก้าวมานั่งข้างเธอ “ร้านเดิมที่เคยกินกันเขามาเปิดแถว ๆ นี้ หนูแหวนชอบรสมะม่วงกะทิ พี่จำได้”
แต่เธอจำไม่ได้เสียแล้วว่าพนมชัยชอบรสอะไร เพราะตอนเลิกกัน เธอบังคับสมองให้ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับเขา และทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย
“พี่ธูปไม่ต้องทำงานเหรอคะวันนี้”
“พี่มาคอนซัลท์เคสนิดหน่อยน่ะ” เขาจึงแต่งตัวสบาย ๆ มีเวลามารอดูเธอ “มีเรื่องเยอะเลยที่จะคุยกับหนูแหวน เพราะเราไม่เจอกันนาน”
พนมชัยระบายยิ้มอบอุ่น เขาให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอเสมอ
“ถ้าหนูแหวนไม่รังเกียจที่จะไปกับพี่”
พูดด้วยสายตาเศร้าขนาดนี้ มีหรือที่เธอจะกล้าปฏิเสธ คิดว่าอย่างน้อยก็เป็นการไถ่โทษที่ตนเป็นฝ่ายบอกเลิก และเป็นการพิสูจน์ว่าเธอเข้มแข็งพอที่จะไปกินของหวานกับแฟนเก่า...พิสูจน์ว่าเธอไม่ได้มีเขาในหัวใจแล้ว
ร้านที่พนมชัยพาไปเป็นร้านขนาดหนึ่งคูหา วนิษศาไม่ได้เอารถมา ด้วยโรงพยาบาลอยู่ใกล้รถไฟใต้ดิน จึงใช้ขนส่งสาธารณะสะดวกกว่า ครั้งนี้เธอจึงต้องนั่งรถไปกับคนชวน
รถยุโรปยี่ห้อดาวสามแฉกของพนมชัยจอดซอยถัดไป ต้องออกแรงเดินมาร้านอีกนิด แต่รสของไอศกรีมก็เลิศล้ำสมกับที่ต้องเสียเหงื่อ
“คิดถึงสมัยเรียนเนอะ สาขาแถวมหาวิทยาลัยคนเยอะจะตาย กว่าจะได้กินก็ดึกแล้ว”
เธอพยักหน้าเห็นด้วย
“ชีวิตคนเราก็แปลกนะ ตอนไม่มีเงินอยากกินโน่นนี่ แต่พอมีเงินแล้วก็ไม่มีเวลากิน”
พยักหน้าคำรบสอง
“แม่พี่เสียแล้วนะ”
วนิษศาเลิกคิ้ว ช้อนในมือที่ตักไอศกรีมชะงัก
“เสียเมื่อสองปีก่อน” เสียงชายหนุ่มเศร้า
“เสียใจด้วยค่ะ”
“ท่านจากไปอย่างสงบ” มารดาพนมชัยเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่หนึ่งปีแล้วก็จากไป “ทั้งบ้านเลยเหลือพี่อยู่คนเดียว”
เขาตักไอศกรีมลอดช่องกะทิเข้าปาก ส่งสายตามีความนัยมาให้เธอ
“พี่ธูปออกจะหล่อ รวย เดี๋ยวก็มีคนดี ๆ เข้ามาหาค่ะ” วนิษศาหลุบตาลง สนใจของหวานตรงหน้าต่อ
“พี่พูดแต่เรื่องตัวเอง ลืมถามเลยว่า ตอนนี้หนูแหวนสบายดีไหม”
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ”
พนมชัยไม่เชื่อ เธอมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์สองครั้งเพียงลำพัง วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ปรกติสามีคนไข้ฝากครรภ์ต้องมาด้วย หรืออย่างน้อยก็ผิดนัดไม่เกินหนึ่ง แต่สองครั้งมันแปลกไป นิ้วนางข้างซ้ายวนิษศาก็ไม่มีแหวน เขาจึงคิดว่าการตั้งครรภ์ของเธอมีเงื่อนงำ
“คุณยายสบายดีไหม” แพทย์หนุ่มตะล่อมถาม
“ท่านเสียแล้วเหมือนกันค่ะ ประมาณสามปีแล้ว”
เป็นเวลาหลังจากแม่เธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจประมาณครึ่งปี ญาติ ๆ ซุบซิบกันเสียด้วยซ้ำว่าท่านตรอมใจเพราะเสียลูกสาว
“พี่เสียใจด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
มือเล็กบางตักของหวานต่อ การสนทนาเปลี่ยนหัวข้อเกี่ยวกับเพื่อนของพนมชัยที่เธอเคยรู้จัก แต่ละคนเป็นใหญ่เป็นโต มีตำแหน่งในโรงพยาบาลชุมชนบ้าง ในแวดวงวิชาการบ้าง ส่วนเขาสมัครใจที่จะเป็นอายุรแพทย์ธรรมดา ๆ แบบนี้
“ขอบคุณพี่ธูปมากค่ะ ที่เลี้ยงไอศกรีม แหวนต้องกลับแล้ว”
เธอลาเมื่อไอศกรีมในถ้วยหมด เขาอาสาขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน