บทที่ 7   1/    
已经是第一章了
บทที่ 7
ศรัณย์ขับรถมาตามท้องถนนที่จราจรแออัด รถติดยาวเหยียด ทั้งๆ ที่ถนนเส้นนี้ทำการก่อสร้างขยายช่องทางการจราจรแล้วก็ยังไม่วายติดขัดอยู่เหมือนเดิม ควันสีดำจากไอเสียรถคละคลุ้งอยู่ในชั้นบรรยากาศ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาสูดดมมลพิษเข้าไปในปอดโดยไม่รู้ตัว ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากจะอยู่ใจกลางเมืองหลวงแบบนี้ เขาจากบ้านเกิดเมืองนอนไปหลายปี ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน บางครั้งเขาอยากหนีไปอยู่ต่างจังหวัด ไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรไร้มลพิษ สูดอากาศแสนบริสุทธิ์ให้เต็มปอด แต่ตอนนี้ศรัณย์ยังทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่ได้ เพราะมีความรับผิดชอบหลายอย่างอยู่ในกำมือ ทว่าบั้นปลายชีวิตของเขาไม่พลาดที่จะทำตามความฝันแน่นอน หากมีใครสักคนอยู่กับเขาด้วยก็จะดีไม่น้อย ถ้าคนคนนั้นคือวิมลวรรณ หญิงสาวที่เขาแอบปลื้มมานานสองปี แต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปชิดใกล้ เนื่องจากเธอกำลังจะแต่งงานในอีกไม่ช้านี้ เขาคงจะมีความสุขมากที่สุดในโลก รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาในบ้านพักผู้พิการทางสายตา ชื่อว่าโรงเรียนสอนคนตาบอดบ้านครูน้อมหลังจากที่ติดอยู่บนถนนร่วมสองชั่วโมง วันนี้มารดาได้ไว้วานให้เขานำเงินจากสมาคมที่ท่านเป็นประธานมามอบให้กับบ้านพักแห่งนี้ พร้อมกับนำข้อความที่มารดาฝากมาให้หัวหน้าผู้ดูแลบ้านพักหลังนี้ด้วย เมื่อก้าวลงจากรถเสียงไวโอลินก็แว่วเข้ามาในหู เสียงสีไวโอลินที่ได้ยินนั้นแสนเศร้า แต่ก็ไพเราะจนต้องหยุดยืนฟังอยู่นานและอดใจไม่ไหวก้าวเดินตามเสียงเพลงไป จนในที่สุดศรัณย์ก็เดินมาหยุดด้านหลังของหญิงสาวคนหนึ่ง เขามองภาพที่เธอกำลังสีไวโอลินอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งจบเพลง “เพราะจังเลยครับ” น้ำเสียงทุ้มทว่านุ่มนวลพูดออกมาจากใจจริง เสียงเพลงที่เธอกำลังบรรเลงอยู่ไพเราะไม่ต่างกับมืออาชีพที่เขาได้ฟังตามคลับ เขาเคยฟังเสียงเพลงที่บรรเลงจากไวโอลินมามาก แต่ไม่มีนักสีไวโอลินคนไหนทำให้เขาตะลึงและดึงดูดได้เช่นเธอคนนี้เลย หญิงสาวที่ถูกทักหันมาตามเสียง แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น แต่ประสาทหูของเธอทำงานอย่างดีเยี่ยม จึงรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นยืนอยู่ที่ใด หน้าหรือหลัง ซ้ายหรือขวา จังหวะที่เธอหันมาทางเขา เท้าของเธอได้เหยียบก้อนหินก้อนหนึ่ง ทำให้ร่างของช่อทิพย์เซคล้ายจะล้ม ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ศรัณย์รีบเข้าไปคว้าจับร่างของเธอก่อนจะล้มลงไปนั่งบนพื้น “ขอบคุณค่ะ” ช่อทิพย์กล่าวขอบคุณชายหนุ่มใจดี วินาทีนี้เขาเพิ่งรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ตาบอดมองไม่เห็น เนื่องจากเธอหันไปขอบคุณอีกทางหนึ่งที่เขายืนอยู่ “ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคุณมองไม่เห็น” เขาปล่อยมือจากร่างบาง ก้าวถอยหลังมาสองก้าว “คุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณไม่ต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ” ช่อทิพย์หันใบหน้ามาทางผู้พูดได้อย่างถูกต้อง เพราะเมื่อกี้ตอนที่เธอกำลังล้ม ทำให้ทิศทางการยืนของตัวเองเปลี่ยนไป การจับทิศทางน้ำเสียงพูดของชายหนุ่มที่ทักเธอเมื่อครู่เลยคลาดเคลื่อนตามไปด้วย ช่อทิพย์พูดให้เขาสบายใจ ก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสให้เขา รอยยิ้มของหญิงสาวตาบอดทำให้หัวใจของศรัณย์ที่หมองเศร้าเรื่องวิมลวรรณคลายลงได้อย่างน่าประหลาด “คุณสีไวโอลินเพราะมากเลยนะครับ” เขาชื่นชมเธอจากใจ “ขอบคุณค่ะ ฉันเล่นมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วค่ะ” “ตั้งแต่เล็กๆ เหรอครับ มิน่าล่ะถึงได้เล่นเพราะอย่างนี้” เขามองใบหน้าของสาวตาบอดตรงหน้าเต็มตา แม้จะมีแว่นสีชาอันใหญ่ปกปิดดวงตา แต่ความงดงามของเธอไม่ได้จืดจางไปเลย หากเธอถอดแว่นตาออก เธอคงเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง “ชมแบบนี้ฉันตัวลอยกันพอดี ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ หรือว่ามาติดต่อพบใคร” ช่อทิพย์เอ่ยถาม เนื่องจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่คุ้นหูของเธอ ทำให้หญิงสาวพิการทางสายตารู้ทันทีว่าเขาคือบุคคลภายนอก ศรัณย์อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินคำถามนี้ เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขามาที่นี่เพื่อติดต่อธุระ เนื่องจากตาทั้งสองข้างของเธอบอดสนิท ไม่มีทางมองเห็นหน้าตาเขาได้แน่นอน “ผมไม่ได้มาติดต่ออะไรทั้งนั้นแหละครับ ผมทำงานอยู่ที่นี่ครับ” เขาพูดออกไปเพราะอยากรู้ว่าเธอจะทำอย่างไร ช่อทิพย์ทำหน้าฉงน เมื่อได้ยินคำตอบ เขาทำงานอยู่ที่นี่...เป็นไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดแห่งนี้ ช่อทิพย์รู้จักทุกคน คุ้นทั้งน้ำเสียงและกลิ่นกาย แต่เขาคนนี้ช่อทิพย์ไม่คุ้นเอาเสียเลย อีกทั้งบ้านพักแห่งนี้ไม่มีพนักงานใหม่มานานสามปีแล้ว และไม่มีโครงการว่าจะเปิดรับสมัครพนักงานด้วย ช่อทิพย์ใช้มืออีกข้างควานหาโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะวางไวโอลินไว้ตรงโต๊ะตัวนั้น ยื่นลำแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า คลำหาร่างกายของเขา ไปมาทั้งซ้ายขวา ศรัณย์เหมือนจะรู้ความคิดของเธอ เขาเลยก้าวเข้ามาหาร่างสาวหนึ่งก้าวเพื่อที่จะให้เธอสัมผัสตัวของเขา ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างป่ายไปตามลำตัวท่อนบน เรื่อยสูงไปยังแผงอก จนกระทั่งถึงใบหน้า เธอลูบคลำอยู่บนใบหน้าของเขาชั่วครู่ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ร่างหนา สูดดมกลิ่นกายของเขาเข้าไปในปอด ศรัณย์มองดูเธอพิสูจน์ตัวเขาอย่างงงๆ แม้ว่าจะงงแต่เขาก็ยิ้มเต็มใบหน้า “คุณไม่ได้ทำงานที่นี่ คุณโกหกฉัน” ช่อทิพย์พูดเมื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง แล้วมั่นใจในคำตอบนั้นด้วย “คุณรู้ได้ยังไง แค่ลูบๆ คลำๆ ดมกลิ่นตัวผมแค่นี้คุณก็รู้แล้วเหรอ” เขาถามอย่างสงสัย “คนตาบอดส่วนใหญ่ประสาทสัมผัสกลิ่นเสียงจะดีมากค่ะ แล้วเราจะใช้สิ่งนั้นจดจำลักษณะเฉพาะของบุคคล อาจมีบางครั้งต้องใช้มือสัมผัสด้วย คุณบอกว่าคุณทำงานที่นี่ ทำให้ฉันสงสัย เพราะเจ้าหน้าที่ที่นี่ทุกคน ฉันรู้จักหมด คุ้นทั้งเสียงและกลิ่น แค่คนคนนั้นเดินผ่าน ฉันก็รู้แล้วว่าคือใคร น้ำเสียงของคุณไม่คุ้นหู กลิ่นกายของคุณไม่คุ้นจมูกของฉัน ฉันก็เลยต้องพิสูจน์ว่าคุณใช่เจ้าหน้าที่หรือเปล่า” ช่อทิพย์ไขข้อข้องใจที่ชายหนุ่มสงสัยให้ได้รับความกระจ่าง ศรัณย์ถึงบางอ้อ เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนที่พิการทางสายตา มักมีโสตประสาทหูและจมูกที่ดีกว่าคนปกติ เขาเพิ่งเห็นกับตาตอนนี้เอง “คุณทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักทุกคนเลยเหรอ” “ไม่ทุกคนหรอกค่ะ คุณเป็นคนแรก ก็คุณบอกว่าคุณทำงานที่นี่ ฉันก็เลยสงสัยก็เลยต้องพิสูจน์ค่ะว่ามันจริงหรือเปล่า” “แล้วถ้าผู้ชายคนอื่นเขาพูดแบบนี้กับคุณบ้าง คุณจะทำเหมือนกับที่ทำกับผมหรือเปล่า” ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ถามหญิงสาวตรงหน้าไปอย่างนี้ แต่ที่รู้ๆ เขาอยากได้คำตอบมากที่สุด “แล้วแต่สถานการณ์ค่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะทำแบบนี้กับผู้ชายทุกคน คุณเป็นคนแรกค่ะ ว่าแต่คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณมาที่นี่ทำไม มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” ช่อทิพย์ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร หากไม่แน่ใจเธอเลือกที่จะสอบถามคนอื่นมากกว่า ศรัณย์เป็นผู้ชายคนแรกที่เธอพิสูจน์ด้วยมือและจมูกของตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างในหัวใจของสาวน้อยบอกกับเธอว่า เขาเป็นคนดี แต่กระนั้นเธอก็ไม่ลืมที่จะป้องกันตนเอง เธอมีสเปย์พริกไทยอยู่ในกระเป๋า หากเขาคิดไม่ซื่อเธอจะใช้มันป้องกันตัว “ผมมาหาคุณน้อมจิตครับ” เขาตอบและถามในเวลาต่อมา “คุยตั้งนานผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย คุณชื่ออะไรครับ ผมชื่อศรัณย์เรียกว่าหนึ่งก็ได้ครับ” เมื่อได้ยินชื่อเขาความกังวลในใจก็พลันสลายลง เพราะน้อมจิตบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะมีคนชื่อนี้มาหา ช่อทิพย์จึงแนะนำตัวเองกลับอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
已经是最新一章了
加载中