บทที่ 8
“สวัสดีค่ะคุณหนึ่ง ฉันชื่อช่อทิพย์ค่ะ คุณมาหาป้าน้อมนั่นเอง เดี๋ยวฉันพาไปนะคะ”
ศรัณย์สงสัยอีกอย่างว่าเธอจะพาเขาไปได้อย่างไรในเมื่อตาทั้งสองข้างของเธอมองไม่เห็น แต่เขาก็ดูถูกความสามารถพิเศษของคนตาบอดไม่ได้เด็ดขาด บางทีเธอคนนี้อาจจะใช้ความชำนาญของสถานที่พาเขาไปพบน้อมจิตก็ได้
แล้วเป็นจริงตามคาด ช่อทิพย์ก้มลงควานหาไวโอลินที่วางไว้ ก่อนจะควานหาไม้เท้าคู่กายอันเล็กแบบพับเก็บได้ คลี่มันออกมากลายเป็นไม้เท้าอันยาว จากนั้นเธอคลำหาบางอย่างจนกระทั่งถึงหัวมุมโต๊ะที่มีปุ่มเล็กๆ สามปุ่มติดอยู่เหมือนบอกทิศทางให้เธอก้าวเดิน ช่อทิพย์เดินตรงไปข้างหน้า โดยมีไม้เท้าคอยนำทาง พอเดินมาถึงขอบปูนสูงประมาณสามนิ้ว ศรัณย์ทำท่าจะเข้าไปประคองร่างเล็ก เพราะกลัวว่าเธอจะสะดุดล้ม หากแต่ไม้เท้าที่อยู่ในมือของช่อทิพย์ ทำหน้าที่ให้หญิงสาวตาบอดรู้ว่าตรงหน้าเป็นขอบปูน ทำให้เธอก้าวข้ามผ่านขอบปูนราวกับตาเห็น มือเล็กทำหน้าที่คลำหาทางอีกครั้ง จนกระทั่งมือของเธอสัมผัสกับเสาปูน เธอคลำบางสิ่งบางอย่างที่ติดเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปทางด้านซ้ายมือ เธอเดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงห้อง ห้องหนึ่งมือเล็กคลำไปตามฝาผนัง เพื่อหาอะไรบางอย่าง
“ถึงแล้วค่ะ ป้าน้อมอยู่ในห้องค่ะ”
เธอเอ่ยบอกเมื่อคลำตัวอักษรเบรลล์ที่อยู่ข้างขอบประตูไม้ ที่เขียนเอาไว้ว่าห้องผู้ดูแลบ้านพัก ศรัณย์ทึ่งกับความสามารถของช่อทิพย์ยิ่งนัก แม้ว่าตัวเองจะตาบอดหากแต่ช่วยเหลือคนตาดีเช่นเขาได้
“ขอบคุณนะครับ คุณเข้าไปเป็นเพื่อนกับผมหน่อยสิ”
ไม่พูดเปล่าเขาคว้าไม้เท้าของเธอมาไว้ในมือ มือใหญ่อีกข้างเอื้อมมากุมมือเล็ก ก่อนทั้งสองจะก้าวเดินไปข้างใน โดยมีเขาเป็นคนนำทาง ศรัณย์เคาะผนังห้องด้านหน้าสามครั้งตามมารยาทก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่ไม่มีประตู
“สวัสดีครับคุณน้อมจิต ผมหม่อมหลวงศรัณย์ บดินทร์บริภัทร ลูกชายคุณหญิงศรีประภาครับ”
ศรัณย์แนะนำตัวกับน้อมจิตที่เงยหน้ามองผู้มาเยือนทั้งสองคน ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าบุคคลที่เข้ามาคือใคร ช่อทิพย์ตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคนที่เธอพามานั้นมียศศักดิ์
“สวัสดีค่ะคุณศรัณย์ เชิญนั่งค่ะ” ศรัณย์เลื่อนเก้าอี้ก่อนจะพาร่างเล็กมานั่งบนเก้าอี้ ส่วนเขานั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“ฉันออกไปรอข้างนอกดีกว่าค่ะ เผื่อคุณจะคุยธุระสำคัญกับป้าน้อม”
“อยู่ที่นี่แหละช่อ เรื่องที่จะคุยกันมันเกี่ยวกับหนูช่อด้วยนะ”
น้อมจิตพูดรั้งไม่ให้ช่อทิพย์ออกไปจากห้อง เพราะเรื่องที่หม่อมหลวงชายคนนี้มาก็เกี่ยวกับหญิงสาวจริงๆ และดูท่าทางแล้วสองคนนี้จะทำความรู้จักกันมาก่อนแล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวให้รู้จักกันอีก
ก่อนหน้าที่ศรัณย์จะมาที่นี่ นางได้รับโทรศัพท์จากคุณหญิงศรีประภามารดาของศรัณย์ ศรีประภาโทรมาบอกว่าไม่สามารถนำเงินมามอบให้ได้ด้วยตัวเองได้ เนื่องจากกำลังติดพันเรื่องตัวแทนที่จะร่วมเล่นดนตรีการกุศลในวันงาน ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ไม่สามารถปลีกตัวมาได้ จึงส่งลูกชายมาทำหน้าที่แทน
“ผมเป็นตัวแทนของคุณแม่นำเงินบริจาคมาให้คุณน้อมจิตครับ” ศรัณย์ยื่นซองที่ใส่เช็คเงินสดจำนวนสี่แสนบาทให้กับน้อมจิต ก่อนที่เขาจะพูดเรื่องต่อไป
“ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ทางคุณน้อมจิตจะส่งตัวแทนไปร่วมเล่นดนตรีการกุศล คุณแม่บอกว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณแม่จะส่งรถมารับไปฝึกซ้อมที่สมาคมครับ จนกว่าจะถึงวันงาน”
ศรัณย์พูดในเรื่องที่มารดาฝากฝังมา เขาคิดว่าตัวแทนนักดนตรีของที่นี่น่าจะเป็นช่อทิพย์ เจ้าของเสียงไวโอลินอันไพเราะ
“หนูช่อทิพย์คือตัวแทนของบ้านพักผู้พิการทางสายตาค่ะ เรื่องที่จะให้คนไปรับไปส่งหนูช่อ เรื่องนี้ต้องถามหนูช่อเองนะคะว่าจะไปเองหรือว่าให้คนที่สมาคมมารับ”
ศรัณย์ดีใจลึกๆ ที่ช่อทิพย์คือตัวแทนของบ้านพักแห่งนี้ คำพูดของน้อมจิตทำให้ศรัณย์เกิดความงงงันเล็กน้อย น้อมจิตพูดอย่างกับว่าช่อทิพย์ สามารถเดินทางไปที่สมาคมได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น หรือว่าช่อทิพย์ไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของใคร
“เอาอย่างที่คุณหนึ่งพูดมาก็ได้ค่ะ ให้คนที่สมาคมมารับฉันที่นี่”
หญิงสาวเห็นพ้องกับคำพูดของศรัณย์ ทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับยิ้มเมื่อ ได้ยินคำพูดของเธอ โดยเฉพาะศรัณย์ที่ยิ้มแก้มแทบฉีก ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องยิ้มด้วย แต่ที่แน่ๆ ดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้าคนรถจะมารับคุณช่อที่นี่นะครับ” ศรัณย์สรุปอีกครั้ง
“ค่ะ/ค่ะ” น้อมจิตกับช่อทิพย์รับคำพร้อมกัน
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับคุณน้อมจิต”
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับเงินบริจาค ฝากบอกคุณหญิงด้วยนะคะว่า ใบเสร็จรับเงินกับใบขอบคุณจะส่งตามไปให้ที่หลัง”
“ครับ ผมจะบอกคุณแม่ให้ครับ” ศรัณย์รับคำ ก่อนจะพนมมือไหว้น้อมจิต
“หนูช่อออกไปส่งคุณศรัณย์แทนป้าทีสิลูก”
“ค่ะ ป้าน้อม” ช่อทิพย์รับคำด้วยความยินดี เพราะอย่างไรนี่ก็ได้เวลาที่เธอต้องกลับบ้านแล้ว ก่อนจะพูดบางอย่างกับศรัณย์เมื่อนึกขึ้นได้
“ฉันขอไม้เท้าคืนด้วยค่ะคุณหนึ่ง ถ้าไม่มีไม้เท้าฉันเดินไปเองไม่ได้นะคะ” ประโยคนี้ที่เธออยากจะพูดกับเขา
“คุณไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรอก ผมจะเป็นตาให้คุณเอง”
คำพูดของเขาทำให้หัวใจของหญิงสาวมีความรู้สึกตื้นตันใจในฉับพลัน หัวใจสาวเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่เคยได้ยินวาจาเช่นนี้จากใครมาก่อนเลย มันจึงเป็นคำพูดที่กินใจเธอยิ่งนัก ไม่เพียงแต่คำพูดของเขาเท่านั้น มือใหญ่ของศรัณย์เอื้อมมาจับมือเล็กของเธอวางไว้บนลำแขนแกร่ง ก่อนจะพาเดินออกไปจากห้องของน้อมจิต ตรงไปยังรถของเขา ตลอดทางที่เขาพาช่อทิพย์เดินไป ศรัณย์จะบอกทางข้างหน้าให้กับช่อทิพย์ตลอดเวลา ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นตาให้เธอจริงๆ
“ถึงรถของผมแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาส่งผม ตอนนี้ผมจะไปส่งคุณบ้าง”
คำพูดของเขาทำให้ช่อทิพย์ไม่เข้าใจในคราแรก ก่อนจะร้อง อ๋อ ในใจเมื่อเข้าใจความหมายของศรัณย์ที่พูดออกมา
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเดินที่นี่จนคล่องแล้ว แค่คุณหนึ่งคืนไม้เท้าให้ฉันก็พอค่ะ ถ้าขืนเดินไปส่งกันไปส่งกันมาแบบนี้ ทั้งคุณหนึ่งแล้วก็ฉันไม่ต้องได้กลับบ้านกันพอดี”
หญิงสาวกลั้วหัวเราะในลำคอ ยิ้มละไมออกมาอย่างสวยงาม ภาพที่ศรัณย์เห็นนั้นทำให้ใจชายหนุ่มเต้นโครมครามเหมือนวัยรุ่นที่ริหัดรักครั้งแรก เผลอจ้องใบหน้าช่อทิพย์ไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อไขความสงสัยในคำพูดของเธอเมื่อสักครู่
“คุณช่อไม่ได้พักที่นี่เหมือนคนอื่นเหรอครับ”
“ไม่ค่ะ แต่ฉันมาที่นี่ทุกวัน มาช่วยงานป้าน้อมกับเจ้าหน้าที่ที่นี่ค่ะ”
“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง นี่ครับไม้เท้าของคุณช่อ พรุ่งนี้สิบโมงเช้านะครับ จะมีคนขับรถจากสมาคมมารับ” เขาบอกย้ำเวลากับช่อทิพย์อีกครั้ง
“ค่ะ สิบโมงเช้าค่ะ”
“ผมไปก่อนนะครับ”
“คุณหนึ่งขับรถดีๆ นะคะ”
“ขอบคุณครับ ผมไปแล้วนะ”
เขายิ้มให้หญิงสาวที่มองไม่เห็น รู้สึกดีใจกับความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ จากเธอ ศรัณย์มองหน้าหญิงสาวชั่วครู่ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนรถและขับเคลื่อนออกไป
ยังไม่ทันที่ท้ายรถของศรัณย์จะออกไปจากรั้ว รถจากัวร์รุ่นใหม่ล่าสุดแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างช่อทิพย์ ชายวัยห้าสิบเจ็ดปีก้าวลงมาจากรถ เดินตรงมาหาสาวตาบอด
“คุณหนูครับ ผมมารับแล้วครับ”
ประเสริฐคนขับรถประจำบ้านโสภาพรรณเอ่ยบอกลูกสาวเจ้าสัวเชิงชาย โสภาพรรณ เจ้าของห้างทองชื่อดังและเป็นร้านทองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของร้านอาหารจีนชื่อดังอีกด้วย
“ลุงเสริฐไปหยิบกระเป๋าของช่อในห้องทำงานของป้าน้อมให้ช่อด้วยนะคะ”
“ได้ครับคุณหนู”
ประเสริฐทำตามที่เจ้านายสาวสั่ง เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าของช่อทิพย์ ส่วนคนสั่งใช้มือคลำไปตามตัวรถ ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงประตูรถตอนหลัง เธอเปิดประตูรถออกกว้าง ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านใน เมื่อประเสริฐกลับมาพร้อมกับกระเป๋า เขานั่งประจำที่พลขับก่อนจะขับรถออกไปจากบ้านพักผู้พิการทางสายตาทันที