บทที่ 3.จบตอน
“อ้าวพ่อกล้า นึกว่าหนุ่มที่ไหนมาแอบจีบหลานสาวลุงเสียอีก” คุณบดินทร์กับคุณเคียร่าหันมายิ้มและรับไหว้หนุ่มสาวที่เดินเข้ามาในห้องรับรองโอ่โถง
“ผมก็ว่าจะจีบอยู่หรอกนะครับคุณลุง แต่กลัวว่าจะโดนยักษ์ใหญ่จับกินตับเสียก่อน”
“ฮ่าๆ พ่อกล้านี่ตลกร้ายนะเรา” คุณบดินทร์หัวเราะชอบใจเมื่อคำเปรียบเปรยของกล้านั้นมันช่างตรงกับลักษณะของลูกชายตนและเหมือนลอกคำพูดของบุษกรไปไม่มีผิดเพี้ยน
“แล้วหนูผึ้งสบายดีหรือจ๊ะ ไม่ได้เจอกันแค่พักเดียวเป็นสาวสวยเชียว” คุณเคียร่าหันมาถามคนตัวอวบที่นั่งข้างหลานสาวอย่างเอ็นดู
“สบายดีค่ะคุณป้า แหม เล่นชมผึ้งซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็เขินแย่สิคะ”
“คุณป้าเห็นความสวยของน้องผึ้งตัวอวบด้วยเหรอครับ ผมเห็นแต่ไขมันบังไปหมดเลย”
“พี่กล้าค้า...” บุษกรค้อนหนุ่มรุ่นพี่ที่มักแกล้งเพื่อนรักบ่อยๆ แต่เธอรู้ดีว่าที่พี่กล้าทำเช่นนั้นเพราะอะไร จะมีแต่เพื่อนของตนนั่นล่ะที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงกล หนุ่มบ้านไร่หน้าโหด และฉายานี้ก็น้ำผึ้งเองที่ตั้งให้กับพี่กล้า
“หึหึ ขอโทษทีลืมตัวไปนึกว่าอยู่กันแค่เรา” กล้าหันมายักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนคนที่หน้าตึงมองเขาตาขึงขุ่น
“อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันสิพ่อกล้า”
“ขอบคุณครับคุณป้า แต่ผมทานมาแล้วกับสองสาวที่น่ารักนี่ล่ะครับ แล้วผมก็ต้องไปธุระต่อด้วย”
“เสียดายจังนานๆ จะได้เจอกันที”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วผมจะหาโอกาสมากราบคุณลุงคุณป้าบ่อยๆ” กล้าถือโอกาสกล่าวลา
“จ้าฝากความคิดถึงพ่อแม่เราด้วยนะ ไว้เราจะไปเยี่ยมอีก”
หลังจากที่กล่าวลาผู้อาวุโสทั้งสองแล้วกล้ากับน้ำผึ้งก็เดินกลับมาที่รถของชายหนุ่มโดยมีบุษกรเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน
“บูม ผึ้งกลับแล้วนะ เดี๋ยวจะไปเรียกแท็กซี่กลับเองไม่อยากร่วมทางกับพวกคนเถื่อน” น้ำผึ้งปรายตามองคนตัวสูงอย่างฉุนเฉียวไม่หาย
“อ้าวทำไมล่ะผึ้ง”
“คนขี้ขลาดก็จะเป็นแบบนี้ล่ะครับน้องบูม” กล้ายกยิ้มหยันๆ ทำให้น้ำผึ้งหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายและโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ ตั้งแต่เจอกับกล้าเธอก็ถูกเขาแขวะจิกกัดตลอด ตอนนี้ยังบังอาจมาดูถูกเธอด้วยน้ำผึ้งสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วสะบัดหน้าหนี
“ฉันจะไปรอในรถก็แล้วกัน..” พูดแล้วก็กระแทกเท้าเดินไปนั่งรอเขาบนรถซ้ำยังแกล้งปิดประตูรถของเขาเสียเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนกล้าแอบย่นคออย่างหวาดเสียวว่าประตูจะหลุดออกมาจากตัวรถ
“อิอิ.. เสียวสันหลังวาบเลยไหมคะพี่กล้า” บุษกรหัวเราะอย่างอดไม่ไหว
“เราก็เหมือนกันยายตัวแสบ”
กล้าไม่ตอบแต่หันมาขยี้เรือนผมสลวยของเธออย่างเอ็นดูแกมหมั่นไส้สาวน้อยตรงหน้าที่วันนี้เป็นสาวเต็มตัวแล้วด้วยความชื่นชม บุษกรสวยน่ารักและเก่งที่สามารถทำให้ใครบางคนแทบแดดิ้นตายเพียงเพราะเธอปรายตามอง และคนที่กำลังจะดิ้นตายก็เดินมายังพวกเขาด้วยใบหน้าถมึงทึง
“ทำอะไรกัน แล้วแกมาทำไมวะไอ้กล้า” ถามเสียงขุ่นแววตากร้าวจัดแต่ไม่ได้ทำให้กล้าหวาดหวั่นแต่แอบขันเสียมากกว่า
“ก็มาส่งน้องบูมและกำลังจะกลับ พี่ไปแล้วนะครับน้องบูมแล้วจะมาหาใหม่ ไปนะเว้ยไอ้หน้ายักษ์” กล้าบอกเพื่อนยิ้มๆ แล้วหันกลับมาส่งสายตาหวานฉ่ำให้บุษกรด้วยเพราะอยากแกล้งคนบางคน
“น้องบูมฝันดีนะครับแล้วพี่จะโทร. หานะ”
ไม่ทันที่บุษกรจะคาดคิดกล้าก็จับมือน้อยของเธอขึ้นมาจุมพิตเบาๆ ก่อนจะแอบขยิบตาให้อย่างมีนัยที่รู้กัน แต่อีกคนที่ไม่รู้ว่าที่กล้าทำไปนั้นเพราะอะไรถึงกับหน้าแดงจัดด้วยความหึงหวงไม่รู้ตัว
“แกรีบไปเลยไอ้กล้าแล้วไม่ต้องมาบ้านฉันอีกไม่อยากเห็นหน้า ส่วนเธอก็อย่ามัวมาอ่อยเพื่อนไสหัวไปไกลๆ เลย”
ด้วยความโมโหหึงทำให้นาวีตวาดใส่หน้าบุษกรอย่างฉุนเฉียวซึ่งก็ทำให้เธอรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันทีและหากหนุ่มทั้งสองไม่ได้ตาฝาดก็คงจะเห็นน้ำตาใสๆ นองใบหนานวลนั้น
“แกทำเกินไปนะวี” กล้าต่อว่าเพื่อนรักน้ำเสียงจริงจังนึกสงสารบุษกร เขาไม่น่ายั่วโมโหนาวีเลยแต่ตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
“แกสิทำเกินไป รีบไปเลยไปไม่อยากเห็นหน้าตอนนี้ว่ะ”
“เออ.. ไปก็จะไปนี่ล่ะ แต่แกก็อย่าโมโหหึงจนหน้ามืดตามัวล่ะ”
“ฉันไม่ได้หึง” นาวีถียงหน้าแดง
“เออ...” ผู้เป็นเพื่อนไม่พูดอะไรต่อเดินกลับที่รถยนต์ของตนแล้วขับออกไปทันที
นาวีหันไปมองยังเรือนเล็กด้วยความขุ่นเคืองไม่หาย ในใจก็คิดหาวิธีสั่งสอนคนที่ทำตัวไม่เหมาะสมในบ้านของเขา โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ากำลังจะติดกับดักหัวใจของตนเอง...
เมื่อกลับมาที่ห้องของตนได้บุษกรก็โถมตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วร่ำไห้อย่างเจ็บปวดใจกับน้ำคำของนาวี ใจดวงน้อยปวดร้าวทั้งน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน
พ่อแม่ก็ตายจาก ถูกหมิ่นหยามทั้งร่างกายและจิตใจ เธอเสมือนคนที่ไร้ค่า...
ไม่มีแม้แต่บ้านเป็นของตัวเอง หากไม่ได้รับความเมตตาจากป้าเคียร่ากับลุงบดินทร์ก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตของเธอจะไร้ค่าเพียงใด และชีวิตทีเหลืออยู่จะเป็นอย่างไร
บุษกรนอนน้ำตานองหน้าฟังเสียงฝนที่เริ่มตกลงมาปรอยๆ ก่อนที่จะเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกเลยแม้แต่น้อย ดูเอาเถิดแม้แต่ฟ้าฝนก็ยังร่ำไห้เป็นเพื่อนเธอ... เธออยากไปจากที่นี่เหลือเกิน บุษกรนอนคิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเองอย่างเดียวดาย...
ก๊อกๆๆ เสียงประตูดังระรัวแข่งกับเสียงฝนกระหน่ำทำให้บุษกรรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินไปเปิดตูคิดว่าพี่ส้มคงจะมาเรียกเธอเพราะมีธุระอะไรสักอยากให้ช่วย แต่เมื่อประตูเปิดออกไปเท่านั้นเธอก็แทบอยากจะปิดประตูใส่หน้าคนที่มาเคาะประตูเสียเหลือเกิน
“ถ้าเธอปิดประตูใส่หน้าฉันล่ะก็เจอดีแน่บุษกร...”
นาวีขบฟันพูดเสียงเย็นดวงตากร้าวกระด้างบุษกรกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวั่นหวาด และก้าวถอยหลังแทบไม่ทันเมื่อร่างสูงของยักษ์ใหญ่ที่เธอเคยว่าเขาลับหลังก้าวเข้ามาในห้องนอนเล็กๆ ของตน
“คุ คุณวี มะ มีอะไรกับฉันคะ” ถามเสียงแผ่วตะกุกตะกักแขนขารู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมาทันที และมันก็เป็นเช่นนี้เสียทุกครั้งที่เจอเขา
“มีน่ะมีแน่...”
เสียงล็อกลูกบิดดังก้องอยู่ในหูจนฟังไม่ชัดว่าเขาพูดว่าอะไรแต่บุษกรหน้าซีดเผือดรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน บุษกรรู้สึกเหมือนหายใจไม่คล่องแข้งขาไม่มีแรงยืนและเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเธอเซถลาเสียหลักจะล้มทันทีที่จะก้าวหนีเขาอีกก้าว
“อุ๊ย...” อุทานได้เพียงเท่านั้นร่างเล็กก็ตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงทันที วงแขนของเขากระหวัดรัดเอวบางแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“จะ จะทำอะไรคะ...”
ถามเสียงเบามองเขาตาโตแต่คนถูกถามกลับยิ้มเย็นดวงตาขุ่นเข้มลึกล้ำอ่านไม่ออกแต่บุษกรรู้สึกได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่น่าหวาดหวั่นมากทีเดียว ใจสาวเต้นระส่ำระทึกอยู่ในอกจนกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้น
“ถามเหมือนไม่เคยเลยนะ..”
คำตอบที่ได้ทำให้บุษกรหน้าม้านเลยทีเดียว นาวีอ่อนโยนพูดจาไพระเราะอ่อนหวานกับใครต่อใคร ทำไมถึงได้ใจร้ายและพูดเสียดสีหมิ่นหยามเพียงแต่เธอเช่นนี้หนอ
“ปละ ปล่อยนะคะ เดี๋ยวพี่ส้มกลับมาจะเห็นเข้าอีกอย่างฉันก็ไม่คิดจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเราอีก”
เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยพูดกับเขามานับตั้งแต่ได้รู้จักกับนาวีอย่างเป็นทางการเมื่อสี่ปีที่แล้ว และเท่าที่จำได้เธอกับเขาแทบจะไม่ได้คุยกันเลยก็ว่าได้อาจจะเป็นเพราะนาวีเป็นหนุ่มรูปหล่อแสนจะสมบูรณ์แบบและสาวๆ ก็ห้อมล้อมเขาดั่งเป็นดาราดังจนเธอซึ่งเป็นเครือญาติผู้น้องไม่อาจจะเข้าถึง ซึ่งบุษกรก็ไม่เคยคิดอยากจะเข้าถึงเขาสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เธอกับเขานั้นเลยเถิดกันมากเกินธรรมดาและเกินความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ
“เก่งขึ้นเยอะเลยนะตั้งแต่มีผู้ชายมาส่งถึงบ้าน จะบอกอะไรให้นะ ไอ้กล้ามันไม่โง่เอาผู้หญิงที่มีแต่ตัวอย่างเธอมาเป็นเมียหรอก แล้วก็สึกหรอแล้วแบบนี้มันยิ่งไม่เอา”
“หยาบคาย... ปล่อยฉันนะคนถ่อย ทุเรศที่สุด”
เหมือนถูกตบหน้ากลางสี่แยกบุษกรดิ้นรนอย่างฉุนเฉียว อารมณ์ที่น้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้วยิ่งมาถูกเขาดูถูกเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยเหมือนถูกบีบอัดจนแตกระเบิด เธอจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว นั่นคือสิ่งที่บุษกรคิด แต่นาวีกลับคิดไปอีกทาง
“หึ.. คิดจะดิ้นเพื่อยั่วฉันเหรอ ไม่สำเร็จหรอกสาวน้อย หรือหากฉันจะนอนกับเธออีกครั้งนั่นก็เพื่อสั่งสอนให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเธอได้จำไว้ว่ารสสวาทของฉันมันเป็นยังไง และหากยังอยากจะอ่อยเพื่อนฉันหรือผู้ชายคนไหนอีกฉันจะสั่งสอนเธอให้หลาบจำกว่านี้”
“ทำไมต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย ฉันไปทำอะไรให้คุณวีนักหนา ทำไม...”
ถามเขาทั้งน้ำตานองหน้าทั้งผลักทั้งทุบอกกว้างให้ถอยห่างก็ดูจะไม่เป็นผลและสรรพนามที่พูดกับเขาไม่เหมือนกับที่พูดกับคนอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้คนที่ขุ่นเคืองอยู่แล้วยิ่งฉุนจัดมากขึ้นคิดพาลอย่างคนเอาแต่ใจ
“ทีหลังพูดกับผัวให้พูดเพราะๆ กว่านี้หน่อยนะบุษกร ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้พูดกับฉันเพราะๆ”
“ฉันไม่ได้เป็นเมียใคร คนต่ำต้อยอย่างฉันไม่เสนอหน้าไปเป็นเมียใครทั้งนั้น ปล่อยนะคนบ้า ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมคุณอีกแล้ว ปล่อยยย...”
บุษกรรวบรวมกำลังที่มีแล้วผลักเขาออกห่างแต่แรงที่คิดว่ามันมีมากกว่าทุกครั้งนั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์หินตรงหน้าขยับเลยแม้แต่น้อยมีแต่จะรัดวงแขนแน่นขึ้นจนตอนนี้อกอวบเบียดชิดกับอกกว้างใบหน้าของเธอกับเขาห่างกันเพียงแค่เส้นด้ายกั้นและเท้าของเธอก็ไม่แตะพื้นด้วยซ้ำ บุษกรพยายามเตะคนตัวโตแต่ก็ไม่เป็นเพราะผลเท้าเธอแทบไม่ขยับเสียด้วยซ้ำ
“เธอจะต้องโดนทำโทษเสียบ้างจะได้ไม่คิดไปอ่อยใครอีก...”
พูดจบนาวีก็กระแทกปากลงมาหาริมฝีปากนุ่มที่จะเผยอคัดค้านอย่างร้อนแรงเหมือนลงทัณฑ์ บุษกรหัวใจหล่นวูบภาพความทรงจำเก่าๆ เมื่อครั้งนั้นก็ผุดเข้ามาในหัวทำให้ใจสาวหวามไหวอย่างไม่อาจจะห้ามได้ มือไม้ที่พยายามผลักเขาออกไปก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ ใจสาวสั่นหวิวคล้ายจะเป็นลม
“อื้มมม...” เสียงหวานที่จะเอ่ยคัดค้านหายไปในลำคอเมื่อเรียวปากนุ่มถูกปิดแน่นด้วยริมฝีปากหยักกระด้างที่ทาบลงมาอย่างไม่นุ่มนวลนักและอาศัยช่วงที่เธอเผยอปากด้วยความตระหนกสอดลิ้นเข้าไปกวาดไล้ดื่มชิมความหวานละมุนจากอุ้งปากสาวอย่างเร่าร้อน
นาวีตะโบมจูบอย่างร้อนแรงเหมือนว่าเขาไม่ได้จูบหญิงใดมาสักสิบปีอย่างไรอย่างนั้นซึ่งมันก็ทำให้บุษกรถึงกับเข่าอ่อนไร้แรงต่อต้านจุมพิตร้อนแรงของนาวีไปได้ และไม่รู้เลยว่าเขาพาเธอมาที่เตียงเล็กสีหวานของตนตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้อีกทีแผ่นหลังเนียนเปล่าเปลือยก็เอนลงบนที่นอนนุ่มเสียแล้ว
เขาถอดเสื้อผ้าของเธอออกตอนไหนกันนะ.. บุษกรมึนงงกับคลื่นสวาทเร่าร้อนที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
“พะ พี่วี อย่า หยุด...”
เมื่ออยู่ในอารมณ์เคลิบเคลิ้มเพริดไปเพราะแรงเสน่หาบุษกรก็เผลอเรียกเขาด้วยสรรพนามที่สนิทสนมทำให้คนฟังลอบยิ้มพอใจ แม้จะเป็นคำห้ามปรามแต่น้ำเสียงกลับฟังดูออดอ้อนนักจนชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าบอกให้ หยุด หรือ อย่าหยุด กันแน่ แต่ที่แน่ๆ นาวีไม่มีทางหยุดที่จะทำตามใจปรารถนาอย่างแน่นอนซึ่งบุษกรก็ไม่สามารถจะต้านทานความต้องการเขาได้เลย
“บูมจ๋า สวยเหลือเกิน น้องบูมของพี่วี...”
มือร้อนผ่าวปลดบราสีหวานออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเขาก็ถอดเสื้อผ้าของตนเองออกพร้อมๆ กับที่เปลื้องกระโปรงผ้าเนื้อดีของเธอออกไปให้พ้นทางของตน
และเมื่อร่างอรชรเปล่าเปลือยนาวีถึงกับลำคอแห้งผาก ดวงตาคู่คมมองความงามชนิดหนึ่งไม่มีสองตรงหน้านิ่งเหมือนคนละเมอ มือร้อนผ่าวลูบไล้ผิวเนื้อเนียนอะไรเอียดอย่างหลงใหล ความเนียนนุ่มละมุมมือของผิวสาวเปล่งปลั่งระเรื่อด้วยเลือดฝาด ยิ่งทำให้นาวีแทบอยากจะโจนจ้วงเข้าหาความอ่อนนุ่มของจุดอ่อนไหวของอิสตรีที่เขาเคยได้สัมผัสมาแล้วเมื่อสี่ปีก่อนเสียเดี๋ยวนี้เลย ความคับแน่นอ่อนหวานยังคงฝังติดตรึงอยู่ในห้วงอารมณ์หนุ่มไม่เสื่อมคลายและเขาก็เฝ้ารอเวลาที่จะได้เข้าไปอยู่ในนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง...