1:ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรัก
1/
1:ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรัก
หัวเราะทีหลังดังกว่า!!
(
)
已经是第一章了
1:ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรัก
1 ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรัก ร่างบางที่นอนอยู่บนพื้นไม้แข็งๆ ขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่นัยน์ตากลมโตคู่สวยเห็นก็คือเพดานสีทะมึนและผนังแคบๆ ส่วนตรงหน้านางคือประตูลูกกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่มองออกไปเห็นแต่ท้องฟ้ากับผืนทรายสีเหลืองอร่ามกว้างสุดลูกหูลูกตา ที่นี่...คือที่ใดกัน!? ไม่ใช่ตำหนักซูฟางของข้านี่! ‘ซู่ซู่’ คิดก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อสำรวจร่างกายตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง กริ๊ก~~ ตึง! ทว่าบางอย่างที่รั้งอยู่ตรงข้อเท้าทั้งสองข้างกลับฉุดให้ร่างบอบบางล้มลงอีกครั้ง เมื่อมองไปยังต้นตอก็พบว่า... ตอนนี้ข้อเท้าขาวผ่องทั้งสองข้างของตนเองถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนสีดำ! โซ่!? เกิดอะไรขึ้นกับข้า!? นางจำได้ว่าตัวเองกำลังนอนหลับสบายอยู่ในตำหนักซูฟาง แล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? “ส่งคนไปบอกท่านแม่ทัพด้วย ว่านักโทษฟื้นแล้ว” บุรุษในเครื่องแบบสีกากีที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องขังแคบๆ เอ่ยกับบุรุษอีกคนที่สวมใส่อาภรณ์แบบเดียวกัน นักโทษอย่างนั้นหรือ!? หือ…ชุดสีเช่นนี้มัน... ป...เป็นไปไม่ได้! หรือว่า... แกร๊ก! สักพักประตูลูกกรงเหล็กที่กั้นขวางระหว่างนางกับโลกภายนอกก็ถูกเปิดออก ก่อนที่บุรุษในเครื่องแบบสีกากีสองคนจะตรงเข้ามาจับแขนของนางไว้แน่น “พวกเจ้าเป็นใครกัน!? จะพาข้าไปไหน!?” เมื่อเห็นทั้งคู่ไม่ตอบ ซู่ซู่จึงพยายามขืนตัวไว้สุดแรง แต่ก็สู้ไม่ได้ “ข้าไม่ไปๆ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!” ร่างบางร้องโวยวายตลอดทาง แต่ทั้งคู่ก็หาได้ยี่หระไม่ กระทั่งพานางเข้ามาถึงที่หมาย ซู่ซู่ก็ถูกจับให้คุกเข่าลงตรงหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนี้ ตุบ!! “นำตัวมาแล้วขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารทั้งสองนายเอ่ยกับผู้เป็นนายของตน “ชินอ๋อง...” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ่งกว่าคุ้นตา ร่างบางก็เอ่ยเสียงเบา พลางแค่นยิ้มแล้วพูดต่อ “ที่ที่หม่อมฉันอยู่ก็คือตำหนักชายแดนกลางทะเลทรายของพระองค์สินะเพคะ” “เช่นนั้นเจ้าก็คงรู้แล้วสินะ ว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไร” บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ถูกยกระดับให้สูงขึ้นและตกแต่งด้วยสัญลักษณ์รูปนกอินทรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา "หม่อมฉันก็แค่ทำในสิ่งที่สมควร ผิดอะไรหรือเพคะ!?" "สิ่งที่สมควรงั้นหรือ!?" เจ้าของใบหน้าขาวมนดั่งหยกเนื้อดี รับกับเรือนผมสีดำขลับดุจน้ำหมึก รวมถึงรูปร่างล่ำสันในอาภรณ์งามสง่าสีกรมท่ากล่าว ดวงตาเรียวสีน้ำตาลเข้มที่ในยามปกติดูเรียบเฉยไร้อารมณ์ จ้องเขม็งไปยังใบหน้างามซึ่งยังคงเชิดรั้นขึ้นอย่างอวดดี พลางฉายแววเกลียดชังออกมาชัดเจน "เพคะ นางสมควรตายแล้ว" ซู่ซู่เอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตากลมโตสีนิลมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนหน้านั้นนางได้ทำสิ่งใดลงไปงั้นหรือ! ก็ลงมือสังหารสตรีผู้หนึ่งที่เป็นไส้ศึกของแคว้นซึ่งแฝงตัวเข้ามาอย่างไรเล่า! เพราะบุรุษโง่เขลาตรงหน้าหลงรักอีกฝ่ายหัวปักหัวปำจนไม่ยอมทำเอง นางถึงต้องเป็นคนทำเพื่อแคว้น! นี่สินะ...ที่เรียกว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กลับต้องเอากระดูกมาแขวนคอ... เพียะ! ฝ่ามือหนาตวัดลงไปยังแก้มขาวเนียนของนางจนร่างบางหน้าหันไปตามแรงตบ ก่อนที่สักพักจะมีรอยสีแดงจางๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเนียน "คนที่สมควรตายที่สุดก็คือเจ้า!! ไม่ใช่นาง!!" ชินอ๋อง นามจริงคือ ‘ฉินซิ่นซื่อ’ หรือที่ทุกคนเรียกว่าท่านแม่ทัพตวาดใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธแค้น พลางนึกถึงใบหน้างามของ ‘ม่านชิงเซียน’ สตรีที่เขากำลังจะแต่งงานด้วย วันก่อนเขากับนางกำลังเดินชมเมืองหลวงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่อยู่ๆ ก็มีธนูพุ่งเข้ามาปักศีรษะของนางตายคาที่ ด้วยน้ำมือของ ‘ท่านหญิงซู่ซู่’ ดรุณีน้อยที่กำพร้าบิดา เพราะมารดาเป็นเพียงนางคณิกาที่พลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมา กระนั้นก็เป็นคนในสกุลสายรองของ ‘ม่ายไทเฮา’ หรือเสด็จย่าของเขา เสด็จย่าจึงอุปการะเข้ามาเลี้ยงดูในวัง พร้อมทั้งขอพระราชทานยศท่านหญิงจากเสด็จพ่อให้นาง… พอนางเติบใหญ่ขึ้นมา เสด็จพ่อของเขาสวรรคตและเสด็จพี่ขึ้นครองราชย์ต่อ สตรีตรงหน้าก็เริ่มทำตัววางอำนาจไปทั่วจนแม้แต่บรรดาพระสนมของเสด็จพี่ยังต้องเกรงใจ! ตอนที่เขาตามไปเอาเรื่องทวงความยุติธรรมให้คนรัก นอกจากนางจะไม่ยอมรับแล้ว ยังหันไปขอความช่วยเหลือจากเสด็จพี่อีก ซึ่งแน่นอนว่าท่านพี่ฉินชงเฉินไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของซู่ซู่ ด้วยเหตุผลที่ว่านางดูอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นได้ ทั้งตอนเกิดเหตุซู่ซู่ก็นอนป่วยอยู่ที่ตำหนักของตัวเอง …และสำหรับการตายของม่านชิงเซียนนั้น หลังจากมีการสืบความอยู่หลายวันก็ให้ประกาศออกไปว่าเป็นการลอบโจมตีของกลุ่มกบฏ ทั้งที่ฉินซิ่นซื่อเห็นกับตาว่าเป็นฝีมือของซู่ซู่ ทำให้ร่างสูงได้แต่เก็บความแค้นเหล่านี้ไว้ในใจรอวันที่จะชำระสะสาง รวมกับดอกเบี้ยในกาลก่อนที่คราแรกเขาคิดว่าจะปล่อยผ่าน แต่เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว! หลังฝังศพสตรีในดวงใจเสร็จ ชินอ๋องก็ขอยกทัพกลับมาประจำการยังตำหนักที่ชายแดนทะเลทรายทางทิศบูรพาของแคว้นทันที แต่คิดหรือว่าเขาจะยอมกลับมามือเปล่า ปล่อยให้ผู้ที่ลงมือก่อเหตุนั้นอยู่อย่างสุขสบาย ในเมื่อเสด็จพี่ไม่มีความยุติธรรมให้แก่เขา ตัวเขาก็จะขอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง! ด้วยเหตุนี้ ฉินซิ่นซื่อจึงลอบเข้าตำหนักซูฟางแล้วลักพาตัวซู่ซู่กลับมาด้วย กระนั้นบนใบหน้าหวานของซู่ซู่ก็ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ “หรือทรงยอมรับความจริงไม่ได้เพคะ...ความจริงที่ว่าองค์หญิงแคว้นหลางผู้นั้นเป็นไส้ศึกที่เข้ามาเพื่อล้วงความลับแคว้นฉินและหาโอกาสลอบปลงพระชนม์เสด็จพี่ ท่านอ๋องเพคะ...แม้ปากของพระองค์จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในพระทัยกำลังนึกขอบคุณหม่อมฉันต่างหากที่ช่วยกำจัดสตรีผู้นั้นออกไป เพราะพระองค์ใจไม่แข็งพอที่จะทำมันด้วยตัวเอง สิ่งที่หม่อมฉันควรจะได้รับคือการสรรเสริญที่ทำทุกอย่างเพื่อแคว้นฉินของเรา เพื่อฝ่าบาท มิใช่การปฏิบัติเช่นนี้!!” “เจ้าอย่ามากล่าววาจาเหลวไหลว่าร้ายผู้ที่ตายไปแล้ว เจ้าก็แค่ไม่พอใจที่เห็นข้าตัดใจจากเจ้าได้ ทนเห็นข้ามีความสุขมิได้” ยิ่งมองใบหน้าของสตรีตรงหน้าที่เชิดขึ้นอย่างอวดดี โทสะในใจของฉินซิ่นซื่อก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ในขณะที่ซู่ซู่นึกสมเพชอีกฝ่ายในใจ เสียแรงที่คนตรงหน้าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ หลักฐานก็มีอยู่ทนโท่ ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถูกความรักบังตาเห็นผิดเป็นถูก แต่จะเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า!? เพิ่งพบหน้ากันเพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์ก็ขอสมรสพระราชทาน...นี่มันใช่หรือ!? นางคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ได้ตอบรับความรักของเขาในตอนนั้น มิเช่นนั้นคงต้องแต่งงานกับบุรุษสติปัญญาต่ำผู้นี้ อา... แต่จะว่าไปในเมื่อเขาเป็นคนเริ่มต้นจุดประกาย หากนางจะเติมเชื้อไฟสักหน่อยคงไม่เป็นไร “ไม่เกี่ยวเลยเพคะ จะทรงรักกับผู้ใดก็เป็นเรื่องของพระองค์ แม้อยากจะคว้านางคณิกาในหอโคมเขียวมาแต่งเป็นพระชายา หม่อมฉันก็ไม่สนใจ หากมิติดว่ามันเกี่ยวพันกับแคว้นของเรา...และตัวของท่านพี่ชงเฉิน” แล้วซู่ซู่ก็พูดต่อพร้อมกับส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มที่มีเจตนากวนประสาทให้ชินอ๋อง “ปากดีนัก ต่อหน้าเสด็จพี่เหตุใดไม่พูดเช่นนี้บ้าง!?” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉินซิ่นซื่อไม่นึกโกรธเคืองเสด็จพี่ของตน เพราะต่อหน้าฉินชงเฉิน สตรีตรงหน้ามักจะทำตัวบอบบางอ่อนแอน่าสงสารเสมอ เสด็จพี่เองวันทั้งวันก็ยุ่งกับราชกิจแทบตาย ไม่มีเวลามาจับผิดนางหรอก “ก็เพราะท่านพี่ชงเฉินมีค่าให้หม่อมฉันทำตัวเรียบร้อยใส่อย่างไรเล่าเพคะ” แล้วซู่ซู่ก็พูดต่อ “ทรงยอมรับเถอะเพคะ ว่าพระองค์ยังรักหม่อมฉันอยู่ แต่เสียใจด้วยที่ในใจของหม่อมฉันมีเพียงฝ่าบาทคนเดียว แม้ฝ่าบาทจะรับหม่อมฉันเป็นพระสนมไม่ได้ก็ตาม และพระองค์ก็ทรงใช้เรื่องม่านชิงเซียนมาเป็นข้ออ้างสำหรับตัวเองในการลักพาตัวหม่อมฉันมา..." "เห็นทีเจ้าจะหลงตัวเองมากเกินไปแล้วกระมัง" เมื่อเห็นสายตาโกรธแค้นที่มองมายังตนเอง นางก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ "พระองค์บอกหม่อมฉันสมควรตาย...เช่นนั้นก็ฆ่าหม่อมฉันเลยเพคะ หากทำมิได้ก็ยอมรับเถิด..." "หึ..." มุมปากของผู้ที่ถูกท้าทายกระตุกขึ้นเบาๆ ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมมาจับปลายคางของนางให้เงยขึ้นมาแล้วออกแรงบีบแน่น "ผิดแล้วล่ะ ที่ข้าเอาตัวเจ้ามาเพราะข้าจะทำให้เจ้าได้รู้...ว่าสิ่งที่ทรมานกว่าความตายเป็นเช่นไร" ฉินซิ่นซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ถึงจะรู้สึกเจ็บแค่ไหน แต่ซู่ซู่ก็ยังสงวนท่าทีเรียบเฉยไว้ได้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่แววตาเรียวสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยวาจาโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัว "น่าสนใจนะเพคะ หม่อมฉันก็อยากรู้เหมือนกัน!" ฉินซิ่นซื่อไม่พูดอะไรนอกจากสะบัดมือกลับอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กของซู่ซู่สะบัดไปตามแรง ทว่าก็ไม่มีแม้แต่เสียงร้องหลุดออกมาจากลำคอของนาง ก่อนจะหันไปสั่งคนของตนด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า "ทหาร!! มาเอาตัวนักโทษผู้นี้ไปก่อกำแพงอิฐฝั่งตะวันตก!!!!" ขืนให้สตรีผู้นี้ลอยหน้าลอยตากวนประสาทเขาต่อไป มีหวังคงได้ฆ่านางตายคามือก่อนได้รับบทลงโทษเป็นแน่แท้ คำสั่งของฉินซิ่นซื่อทำให้ซู่ซู่ตกใจจนเผลออุทานออกมา “ก่อกำแพง!?” “ขอรับ!” คนของฉินซิ่นซื่อรับคำอย่างแข็งขัน พลางรีบตรงเข้ามาคุมตัวซู่ซู่ "กล้าดีอย่างไรมาแตะต้องตัวข้า? ข้าเป็นท่านหญิงนะลืมไปแล้วหรือ!!? " ร่างบางตวาดพร้อมกับพยายามสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากฝ่ามือสากๆ ของทหารสองนายที่จับลงมาบนข้อมือขาวเนียนของนาง "ท่านหญิงตัวจริงตอนนี้อยู่ในวัง...ส่วนเจ้าเป็นเพียงนักโทษ..." ร่างสูงพูดพลางยิ้มเยาะ เมื่อนึกถึงคนที่เขาจัดหาให้ไปทำหน้าที่แทนสตรีที่เขาจับตัวมา มันจะไปยากอะไร เพียงแค่หาคนมาเลียนแบบหน้าตาท่าทางกิริยาก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ!? “ทหารที่นี่ฟังแต่คำสั่งของแม่ทัพเช่นข้าเพียงผู้เดียว แม้ฝ่าบาทของเจ้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้!!" "อีกไม่นาน...ฝ่าบาทจะต้องรู้เรื่องนี้!! และพระองค์จะต้องส่งคนมาช่วยหม่อมฉันแน่!!!” ซู่ซู่ตะโกนใส่ฉินซิ่นซื่อด้วยความมั่นใจ ขณะที่พยายามขืนตัวไว้ แม้รู้ว่าสุดท้ายจะสู้แรงของบุรุษสองคนไม่ได้ แต่เรื่องอะไรนางต้องยอมจำนนให้ถูกลากไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ เล่า เมื่อได้ยินคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของนาง ฉินซิ่นซื่อก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น พลางโต้กลับ “ฝันหวานไปเถิด! คนอย่างเสด็จพี่มีราชกิจต้องทำมากมาย เขาไม่เสียเวลามาสนใจสตรีไร้ยางอายที่ตามเกี้ยวพานขอความรักแต่เขาไม่เอาเช่นเจ้าหรอก!” แม้จะมิมีผู้ใดพูดออกมาตามตรง แต่ทุกคนทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ว่าท่านหญิงซู่ซู่แอบชอบฮ่องเต้ฉินชงเฉิน ถึงขนาดที่ว่าต้องหาข้ออ้างขอเข้าเฝ้าทุกวันเพื่อให้ได้พูดคุยกันตามลำพังมาตลอด ตั้งแต่ฉินชงเฉินยังเป็นไท่จื่อ[1]ด้วยซ้ำ! เสด็จพี่ของเขาคงจะอึดอัดน่าดู... กระนั้นคราหนึ่งเขาก็เคยพลาดท่าไปรู้สึกดีกับนาง...จนตัวเองต้องเจ็บเจียนตาย! “ชินอ๋อง! จำคำของหม่อมฉันไว้นะเพคะ!! สิ่งที่ทรงต้องการพระองค์จะไม่มีวันได้สมใจ...ไม่มีวัน!!” ซู่ซู่ตะโกนทิ้งท้าย ก่อนจะโดนลากตัวออกไปจนพ้นประตู “เดี๋ยวเราก็ได้รู้กัน ข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากข้า!” ฉินซิ่นซื่อตะโกนไล่หลัง ไม่ต้องห่วง นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น... ยังมีบทลงโทษอื่นอีกมากมายที่ข้าได้เตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ข้าอยากจะเห็นเหลือเกิน ว่ายามที่ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรักและหยิ่งผยองแห่งวังหลวง ต้องก้มหัวร้องขอความเมตตากรุณาจากผู้อื่นนั้นเป็นเยี่ยงไร! [1] ไท่จื่อ = ตำแหน่งรัชทายาท เรียกเต็มยศว่า ‘หวงไท่จื่อ’ *มีหนังสือทำมือขาย 285 หน้า ตอนพิเศษ 3 ตอนแถมที่คั่นกับโปสการ์ด ไม่มีอัปลงในนี้ราคา 370฿ สนใจติดต่อสอบถามได้ที่เพจ หานยวี่ Han Yu ค่ะ ของมีจำนวนจำกัดนะคะ ^^*
已经是最新一章了
加载中
下载 LoveNovel
海量小说享免费阅读
立即下載
需支付:
0.00
1:ท่านหญิงซู่ซู่ผู้ร่านรัก
去登录
APP免费观看
自动购买下一章
余额:
0
充值
0
领星星
取消
发布
A
A
A
A
A