2:กระบองเพชรจ๋า ข้าขอโทษ   1/    
已经是第一章了
2:กระบองเพชรจ๋า ข้าขอโทษ
2 กระบองเพชรจ๋า ข้าขอโทษ กำแพงตำหนักชินอ๋องฝั่งตะวันตก ซู่ซู่ถูกทหารลากตัวไปทิ้งไว้ให้ทำงานร่วมกับเชลยจากชนเผ่าต่างๆ ที่ถูกเกณฑ์ตัวมาใช้แรงงานสร้างกำแพง พร้อมกับยืนคุมอยู่ไม่ไกล ฝ่ามือเรียวที่ตั้งแต่เกิดมาไม่ได้จับต้องอะไรพรรค์นี้ค่อยๆ ยกอิฐก้อนใหญ่ไปวางไว้บนกำแพงทีละก้อนๆ ท่ามกลางแสงแดดอันแสนร้อนระอุที่สาดส่องลงมา ทำให้เหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มซึมออกมาตามใบหน้าหวาน กระนั้นนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีฮึดฮัดใดๆ ออกมา ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ เรื่องแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้!? ชินอ๋องนั่นอยากจะเห็นนางโวยวายร้องเต้นผางๆ ล่ะสิ แต่ฝันไปเถอะ... แรงบันดาลใจอะไรทำให้นางยกอิฐนี่ขึ้นน่ะหรือ!? หึ! มันจะไปยากอะไร คิดว่ากำลังเอาอิฐนี่วางแหมะลงไปบนหัวฉินซิ่นซื่อคนโง่งมนั่นก็จบ อีกอย่างแม้จะถูกเลี้ยงในวังหลวงแบบไข่ในหิน ใช่ว่าต้องเติบโตมาเป็นคนอ่อนแอเสียหน่อย! ความอ่อนแอมีไว้ใช้กับท่านพี่ชงเฉินคนเดียวก็พอแล้ว ที่เขาเรียกกันว่ามารยาหญิงยังไงล่ะ!! ขณะเดียวกันร่างบางก็สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ตัวเผื่อว่าจะเจอทางหนีทีไล่ ทว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่ทะเลทรายสีเหลืองที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและมีเพียงต้นไม้ประหลาดสีเขียวเข้มที่มีหนามแหลมๆ ทั่วลำต้นขึ้นอยู่ประปราย ถ้าจำมิผิด พวกมันน่าจะเรียกว่ากระบองเพชรกระมัง… แต่ก็ไม่มีอะไรที่พอจะบ่งบอกได้เลยว่าทิศไหนเป็นทิศไหน... อืม...เห็นทีคงต้องรอยามกลางคืนจะได้จับทิศเอาจากดวงดาว แต่ความคิดอันบรรเจิดของซู่ซู่เป็นอันต้องมลายหายไปเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของทะเลทรายอะไรก็ยังไม่รู้เลย... ดูดาวไปก็ไม่มีประโยชน์! นอกเสียจากต้องเข้าไปขโมยแผนที่จากตำหนักของชินอ๋อง…หมายถึงตำหนักที่เป็นเรือนนอนน่ะ ซึ่งทำไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน คงต้องอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ไปสักพัก ซู่ซู่คิดพลางได้แต่หวังอยู่ลึกๆ ในใจว่าฉินชงเฉินจะรู้และส่งคนมาช่วยนางโดยเร็ว หลังจากเวลาผ่านไปจนกระทั่งเงาของดวงตะวันทอดอยู่เหนือศีรษะ ก็ได้ยินเสียงทหารที่ยืนคุมอยู่เอ่ยว่า “พักได้!!” เหล่าเชลยต่างพากันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะเดินไปต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอรับอาหารกับน้ำด้วยความสงบ ไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าซู่ซู่ที่กำลังจะเดินไปเข้าแถวด้วยกลับถูกจับแยกออกมา ก่อนที่ทหารอีกนายจะเอาจานที่มีแต่เศษอาหารมายื่นให้นาง “นี่คืออาหารของเจ้า” เศษข้าวแห้งๆ กับผักเละๆ และเนื้อสัตว์เหี่ยวๆ มารดามันเถอะ...นี่หรือคืออาหาร... "ข้าทำงานเท่ากับคนอื่น ก็ต้องได้กินเหมือนคนอื่นสิ!" ซู่ซู่แย้งด้วยความไม่พอใจ พลางปรายตามองไปยังเหล่าแรงงานที่นั่งกินข้าวแดงแข็งๆ กับอะไรสักอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย นี่มันไม่ยุติธรรม! เชลยพวกนั้นยังได้กินข้าว แต่ข้ากลับได้สิ่งที่ดูแย่เกินกว่าจะเป็นอาหารสัตว์ด้วยซ้ำ!! “นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพ!” ทหารนายนั้นกล่าว แม้ลึกๆ จะรู้สึกเห็นใจสตรีตรงหน้าไม่น้อย "ข้าไม่กิน!" ซู่ซู่พูดพลางปัดจานทิ้งแล้วเดินกลับไปก่อกำแพงต่ออย่างไม่ยี่หระ แม้รู้ว่าต้องทนหิวจนท้องกิ่วก็ตาม โดยมีเหล่าเชลยมองตามตาปริบๆ ซึ่งคนที่เอาเศษอาหารมาให้ก็ไม่ได้ว่ากระไร นอกจากไปรายงานท่านอ๋อง... ให้มันรู้ไปสิ! ว่าคนอย่างท่านหญิงซู่ซู่ไม่ใช่พวกที่จะมายอมอะไรง่ายๆ ยิ่งกับคนโง่งมเช่นชินอ๋อง ไม่มีวัน! หมับ! สักพักก็มีทหารสองนายเข้ามาจับแขนของนางแล้วเตรียมจะลากไปที่อื่น “จะพาข้าไปไหนอีก!?” “ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้นำตัวเจ้าไปตักน้ำมาใส่ถังรวม” หนึ่งในนั้นทวนคำสั่งของฉินซิ่นซื่อให้ซู่ซู่ฟัง พร้อมกับยัดถังไม้ใบเล็กๆ ใส่มือของนาง ตักน้ำก็ดี ข้าจะได้รู้ว่ามีแหล่งน้ำอยู่ตรงไหน ก่อนที่พวกมันจะพาตัวนางเดินฝ่าแสงแดดกับผืนทรายแสนร้อนระอุ ทั้งยังขรุขระไปที่ไหนสักแห่ง ซู่ซู่จึงแอบเหลียวหลังไปมองตำหนักของชินอ๋อง ก็พบว่ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าที่คิด เช่นนั้นต้องค่อยๆ สืบแล้วล่ะว่าส่วนไหนมีไว้ทำอะไร เมื่อมาถึงแอ่งน้ำใหญ่กลางทะเลทรายที่มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่รอบๆ ทว่าไม่มีลูกสักต้น! ทหารทั้งสองนายก็พยักพเยิดให้ซู่ซู่เดินไปตักน้ำตรงนั้น จังหวะที่ก้มลงตักน้ำ ซู่ซู่ก็ใช้มือวักน้ำใสๆ ขึ้นมาชำระใบหน้าตนเองเพื่อคลายร้อนและดื่มดับกระหาย ก่อนจะตักน้ำใส่ถังไม้เล็กๆ เพื่อเอาไปเทใส่ถังใหญ่สามใบที่เป็นถังรวมสำหรับใช้ในตำหนัก …หลังจากเทียวไปเทียวมาตามเส้นทางเดิมอยู่หลายสิบรอบ โดยที่แม้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด มือก็แตก ซ้ำยังถูกรองเท้ากัดจนเป็นแผล แต่ซู่ซู่นั้นก็เลือกที่จะข่มอารมณ์ไว้ จึงไม่ปริปากบ่นสักคำ กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามซู่ซู่ก็ตักน้ำจากถังใบเล็กมาใส่ถังใบใหญ่จนเต็มทุกใบ ยังไม่ทันจะได้พักหายใจ นางกลับโดนลากไปที่อื่นอีกแล้ว! อ๋องบ้านั่นจะไม่ยอมให้ข้าพักเลยหรืออย่างไร!? “จะต้องไปไหนอีก?” “โรงซักผ้า” เข้าใจคิดวิธีลงโทษดีนี่นา...มือของข้าที่เต็มไปด้วยรอยแตกของผิวหนังเช่นนี้ ยามถูกกับน้ำซักผ้านั่นก็คงแสบสันไม่น้อย “จริงๆ แล้ว ใกล้ๆ ค่ายใหญ่ก็มีแม่น้ำนะ...” “นั่นสิ...มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องให้คุมตัวนางไปตักกลางทะเลทรายด้วย...” เสียงทหารสองนายซุบซิบกันขณะพานางไปโรงซักผ้า สำหรับพวกเขาตำหนักอ๋องก็คือค่ายใหญ่ แต่นั่นก็ดังพอที่จะให้ซู่ซู่ได้ยิน ฝากไว้ก่อนเถิด!!! ฉินซิ่นซื่อ!! งานที่โรงซักผ้าไม่ได้ถือว่าหนักหนาสาหัสอะไรมาก นอกจากความแสบที่ซู่ซู่เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องพบเจอกับมัน จะมีก็แต่กลิ่นเหงื่อที่ติดมากับชุดของเหล่าทหารเท่านั้น ซึ่งกลิ่นของพวกมันเกินบรรยายจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้ว่ากระไร นั่งซักผ้าเพียงลำพังอย่างสบายอารมณ์ เพราะอย่างน้อยโรงซักผ้าก็เป็นที่ร่ม มีเก้าอี้ให้พักก้น พลันสายตาของนางได้เหลือบไปเห็นแปรงขนอันเล็กๆ ที่มีด้ามจับเป็นไม้ ซึ่งเอาไว้ขัดเสื้อผ้าวางอยู่ใกล้ๆ จึงแอบหยิบมาใส่ในอกเสื้อของตน ด้วยหวังจะนำมันไปใช้ทำอะไรบางอย่าง สักพักก็มีทหารนำเศษอาหารแบบเดิมมายื่นให้ “นี่คือข้าวเย็นของเจ้า!” “ข้าไม่กิน!!” ซู่ซู่ยังคงยืนกรานปฏิเสธที่จะยอมกินมัน ถึงจะรู้สึกหิวมากก็ตาม...ซ้ำยังเอ่ยทิ้งท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไปบอกท่านอ๋องของพวกเจ้าด้วยว่าถ้ายังจะทรงพระเมตตากรุณาประทานเศษขยะพรรค์นี้มาให้ข้าอีกล่ะก็...ไม่ต้องให้ทหารลำบากเอามาหรอก เพราะ...ข้า! ไม่! กิน!” หลังจากทหารผู้นั้นจากไป ร่างบางจึงหันกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าต่อ แม้ภายนอกนางจะดูนิ่งสงบ ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยโทสะที่อัดอั้นไว้ แต่ก็ต้องอดทนไม่แสดงมันออกมา ฟึ่บๆๆๆ ซู่ซู่ออกแรงขยี้ผ้าด้วยความโมโหโดยคิดว่าเป็นใบหน้าของชินอ๋อง ไอ้ชินอ๋อง ไอ้ฉินซิ่นซื่อผู้โง่งมและสมควรตาย เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำกับข้าเช่นนี้ ไอ้คนป่าเถื่อน…ตายเสียเถิด!!!! จนไม่กี่อึดใจผ้าก็กลับมาสะอาด ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารที่นั่งเฝ้า กระทั่งเมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า อาภรณ์ทั้งหมดก็ถูกซักและตากเรียบร้อย ด้วยฝีมือของท่านหญิงซู่ซู่ที่ดูเหมือนคนทำอะไรไม่เป็น แต่งานของนางยังไม่หมดแค่นั้น แทนที่จะได้นอนพักก็ยังถูกลากมาคอกม้า ที่มีอาชาพันธุ์ดีสีน้ำตาลของชินอ๋องอยู่ในนั้นสามตัว แม้แต่งานยิบย่อยพวกนี้ก็... จำไว้เลยนะชินอ๋อง! ทุกอย่างที่ท่านกับข้า...ข้าจดไว้ในหัวหมดแล้ว!! เมื่อถึงเวลาข้าจะตอบแทนท่านอย่างสาสมแน่นอน!! ซู่ซู่คิดด้วยความหมั่นไส้และรำคาญ “เอาหญ้าใส่ในรางให้หมด” ทหารในเครื่องแบบสีกากีกล่าวตามที่ชินอ๋องสั่ง ซึ่งซู่ซู่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย พร้อมกับเกิดความคิดขึ้นมาว่าหากนางสามารถผูกมิตรกับอาชาของอ๋องหน้าโง่ผู้นี้ได้คงดีไม่น้อย จะได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันได้... “ฮี้~~” ซู่ซู่พยายามเลียนแบบเสียงม้า ทำให้ทหารสองนายที่ยืนคุมอยู่หลุดขำออกมา ส่วนเหล่าม้าหาได้สนใจนางไม่ ทำให้ซู่ซู่ออกอาการเซ็งเล็กน้อย... หลังจากให้หญ้าม้าเสร็จ นางก็ถูกลากมายังคอกม้าข้างๆ ที่ยังว่างอยู่และมีเศษฟางอยู่ในนั้นเต็มไปหมด ก่อนที่ทหารคนเดิมจะเอ่ยว่า “นี่คือที่นอนของเจ้า!” จากนั้นมันกับเพื่อนอีกคนก็พากันนั่งเฝ้าอยู่หน้าคอก ซู่ซู่จึงแสร้งทำเป็นว่าหลับแล้ว ทั้งที่มีแผนอยู่ในใจว่าจะไปทำสิ่งใด ในเมื่อยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง...นางก็ยังนอนไม่ได้!!!! ตกดึกคืนนั้น ซู่ซู่ได้แอบลุกขึ้นมาพลางกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว นอกจากอาชาสามตัวที่กำลังหลับอยู่ ร่างบางจึงค่อยๆ ย่องออกจากคอกม้าท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของทะเลทรายที่ผิดกับตอนกลางวันซึ่งร้อนจนแทบจะย่างสดคนทั้งเป็น!! อาภรณ์ยาวที่สวมใส่อยู่ถูกกระชับให้แน่นขึ้น ก่อนที่นางจะเดินออกไปนอกเขตตำหนักของชินอ๋องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถือหินแหลมคมก้อนหนึ่งที่เจอปะปนอยู่กับเศษฟางติดมือไปด้วย เพราะเริ่มจะชินกับโซ่ตรวนที่ถูกสวมอยู่ ทุกย่างก้าวของนางจึงไม่มีปัญหา อย่างที่บอกว่าถึงจะถูกเลี้ยงดูทะนุถนอม ใช่ว่าจะต้องเติบโตมาเป็นคนเปราะบาง ปรับตัวยากเสียหน่อย! แม้จะถูกทหารที่กำลังลาดตระเวนเห็นแต่ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่งกับนาง เพราะเป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพที่บอกให้ทำเพียงจับตาดูนักโทษผู้นี้เอาไว้ ซู่ซู่จึงเดินออกไปได้อย่างสบายใจ ก่อนจะตรงไปหาต้นไม้หน้าตาประหลาดสีเขียวที่มีหนามแหลมเต็มไปหมด หรือกระบองเพชรซึ่งนางได้หมายตาเอาไว้ตั้งแต่คราแรก เมื่อซู่ซู่เข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าหนามนั้นก็ไม่ได้ยาวและแข็งอะไรมากมาย ทั้งลำต้นเขียวแก่ของมันก็ดูอวบทั้งยังฉ่ำน้ำ น่าจะเอามาเป็นอาหารประทังชีวิตได้ ฟึ่บๆๆ แปรงที่ร่างบางลงทุนขโมยออกมาจากโรงซักผ้าถูกนำมาขัดลงไปที่ลำต้นของกระบองเพชรเพื่อลดทอนความคมของหนาม ก่อนที่นางจะดึงแขนเสื้อขึ้นมาปิดฝ่ามือเรียวเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการที่ถูกหนามตำ แล้วคว้าไปยังกิ่งของต้นกระบองเพชรที่ยื่นออกมาพร้อมกับออกแรงหักเต็มที่ แต่มันช่างแข็งเหลือเกิน... ปึก! หลังจากออกแรงโยกไปมาหลายสิบที ในที่สุดก็หักออกมาได้ “เฮ้อ...” ซู่ซู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อย แล้วทรุดตัวนั่งบนพื้นทราย พร้อมกับตั้งก้อนกิ่งอวบๆ ลงที่พื้น พลางพยายามเพ่งดูหน้าตาของมันท่ามกลางแสงจันทร์ก็เห็นว่าตรงใจกลางนั้นมีลักษณะเป็นสีเขียวอ่อนๆ และดูเหมือนเนื้อแตงกวา แสดงว่าต้องกินได้แน่นอน! จากนั้นจึงควักหินที่เตรียมไว้ออกมากรีดใส่เปลือกหนาๆ ของมัน "เหนียวชะมัด" ร่างบางบ่นอุบอิบ ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกดปลายหินลงไปอีก ในที่สุดเปลือกหนาก็เริ่มแยกออกจากกันเล็กน้อย เพราะความโมโหหิว ซู่ซู่จึงโยนหินในมือทิ้งแล้วใช้สองมือจับเปลือกไม้แล้วฉีกพวกมันให้แยกออกจากกันโดยไม่สนใจหนามเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้าไปในนิ้วและฝ่ามือของนางแม้แต่น้อย ด้วยวันนี้มือของนางผ่านทั้งความเจ็บความแสบมาจนทำให้ตอนนี้เหลือเพียงความด้านชา เลยไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด ตรงข้ามกับผิวหนังที่แตกและตอนนี้มีเลือดไหลออกมาซิบๆ เมื่อแหกเปลือกกระบองเพชรออกจากกันได้แล้ว นางก็ยกก้อนเนื้อสีเขียวเนียนฉ่ำน้ำขึ้นมากัดกินด้วยความกระหาย... สัมผัสกรุบกรอบจากเนื้อฉ่ำน้ำและรสชาติจืดชืด เหมือนแตงกวาปนกับกลิ่นคาวปะแล่มๆ จากของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาจากมือของนาง ทำให้ซู่ซู่รู้สึกว่า อืม...ก็ไม่เลว... กระบองเพชรเคลือบเลือดก็อร่อยดี... อย่างน้อยตอนนี้นางก็มีทางเลือกมากกว่าการที่จะต้องอดอยากเพราะไม่ยอมกินเศษอาหารบ้านั่นแล้ว!! พอกินเนื้อกระบองเพชรที่อยู่ตรงหน้าหมด ร่างบางก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือหักกิ่งต้นกระบองเพชรที่เหลือออกมา แล้วลงมือปอกเปลือกก่อนจะซุกเนื้อไว้ในอกเสื้อเพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับวันอื่นๆ ด้วยความเพลิดเพลิน ทว่าในขณะเดียวกัน… ปัง! "ไอ้พวกต้นกระบองเพชรนั่นมีอะไรดี!?" ฉินซิ่นซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห วันนี้พอได้รับรายงานจากฉางกง ทหารคนสนิทว่านางอวดดีไม่ยอมกินอาหารที่เขาจัดไว้ให้ แล้วยังทำงานต่อได้ตามปกติโดยที่ไม่บ่นหรือแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา มีเพียงความเรียบเฉย ฉินซิ่นซื่อก็โมโหแล้วที่ทุกอย่างผิดแผนไปหมด ด้วยเขาคิดว่านางจะต้องโวยวายดิ้นทุรนทุราย สุดท้ายต้องบากหน้ามาขอร้องเขาไม่ก็น้ำตาไหลออกมาอย่างท้อแท้ แต่นี่แค่บอกว่าไม่กินแล้วยังไปทำนั่นทำนี่ได้ตามปกติราวกับว่าไม่รู้สึกอะไร... ตกตอนกลางคืน เขาจึงปล่อยให้นางเดินออกไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ เพราะนึกว่าซู่ซู่จะไปร้องขออาหารที่โรงครัวแต่ที่ไหนได้...กลับได้รับรายงานจากทหารว่านักโทษของเขาไปดันทุรังแกะกระบองเพชรกินอยู่นอกกำแพงตำหนักจนตอนนี้เลือดไหลเต็มมือไปหมด!! นั่นทำให้โทสะที่มียิ่งพลุ่งพล่านมากขึ้นกว่าเดิม!!!! สตรีผู้นี้บ้าไปแล้ว!! “อวดดียิ่ง...นางคิดจะเล่นสงครามประสาทกับข้างั้นหรือ!?” ร่างสูงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ทหาร!!! เอาตัวนักโทษกลับไปขังที่คอกม้า แล้วตัดต้นกระบองเพชรแถวนี้ทิ้งให้หมด!! เผาด้วยอย่าให้เหลือแม้แต่ซาก!!!” “ขอรับ!” ทหารที่มารายงานรับคำแล้วรีบออกไป ทิ้งให้ท่านแม่ทัพของตนนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว แค่ยอมลดตัวกินๆ ของพวกนั้นเข้าไปมันจะอะไรนักหนา หรือว่าวิธีลงโทษของข้ายังเบาเกินไป... เช่นนั้น อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ ว่าคนอย่างข้าทำอะไรได้มากกว่าที่เจ้าคิด! ไม่กี่อึดใจต่อมา ซู่ซู่ที่กำลังสนุกสนานกับการปอกกระบองเพชรก็ถูกลากกลับไปขังในคอกม้า พร้อมกับมองดูแหล่งอาหารของนางถูกตัดและใช้คบเพลิงเผาทิ้งต่อหน้าต่อตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย... ทั้งที่ในใจกรีดร้องจะเป็นจะตายจนอยากร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมาให้รู้แล้วรู้รอด มารดามันเถอะ!! แม้แต่กระบองเพชรท่านก็ยังทำกับมันได้ลงคอ!! ข้าขอสาปแช่งให้ห้องนอนท่านโดนไฟเผาแล้วตัวท่านโดนไฟคลอก!! จะได้รู้ว่าความรู้สึกตอนถูกเผาเป็นอย่างไร!! ฮือ...กระบองเพชรจ๋า ข้าขอโทษ พวกเจ้าไม่น่าต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าเลย *มีหนังสือทำมือขาย 285 หน้า ตอนพิเศษ 3 ตอนแถมที่คั่นกับโปสการ์ด ไม่มีอัปลงในนี้ราคา 370฿ สนใจติดต่อสอบถามได้ที่เพจ หานยวี่ Han Yu ค่ะ ของมีจำนวนจำกัดนะคะ ^^*
已经是最新一章了
加载中