4:ชนวนความแค้น
4
ชนวนความแค้น
ห้าปีก่อน
หลังจากที่ ‘ฉินห้าวไห่’ เสด็จพ่อของเขาสวรรคต ฉินชงเฉิน พี่ชายของเขาที่ดำรงตำแหน่งไท่จื่อก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ส่วนตัวฉินซิ่นซื่อที่เป็นองค์ชายสี่ ซึ่งมีฝีมือเก่งกาจด้านการรบก็ได้รับการสถาปนาเป็นชินอ๋อง และเตรียมตัวไปประจำการที่ชายแดนทิศอุดรตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
ส่วนโอรสร่วมบิดาที่เหลืออยู่ก็ถูกสถาปนาเป็นอ๋องตำแหน่งอื่นๆ ตามลำดับก่อนถูกส่งออกไปปกครองเมืองต่างๆ ที่ไกลจากวังหลวง (ไม่นานก็พากันทยอยสิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุที่ต่างกัน) คงเหลือแต่จ่างกงจู่[1]ไม่กี่คนที่เป็นพระเชษฐภคินี[2]และพระขนิษฐา[3]ซึ่งยังพำนักอยู่ที่นี่
ในตอนนั้นฉินซิ่นซื่อก็ได้ขอให้ท่านพี่พระราชทานสมรสระหว่างเขากับท่านหญิงซู่ซู่ สตรีที่เสด็จย่าอุปการะนางตั้งแต่ยังเยาว์วัย และเติบโตมาด้วยกันในวังหลวง ซึ่งเป็นคนที่เขาแอบรักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนางก็ดูมีท่าทีตอบเขาเช่นกัน หวังจะได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกันที่ชายแดน
แม้ใครต่อใครจะเอาแต่บอกว่าซู่ซู่นั้นรักมั่นในตัวของฉินชงเฉิน ทั้งยังชอบหาเรื่องไปพบปะเสด็จพี่อยู่เรื่อย แต่ฉินซิ่นซื่อเลือกที่จะไม่สนใจเพราะคิดว่าตนเองนั้นรู้จักนางดีกว่าใคร ตอนอยู่กับเขา ตัวของซู่ซู่ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของเสด็จพี่ออกมาสักคำ
ทว่า...
“หม่อมฉันไม่แต่งกับท่านอ๋องเพคะ!!” ซู่ซู่ประกาศกร้าว ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรงตกใจ
โดยเฉพาะชินอ๋องที่ถึงกับหน้าเสีย!
ที่ผ่านมาใช่ว่าเขากับนางใจตรงกันมาตลอดหรอกหรือ!?
ซ้ำตอนที่เขาบอกร่างบางว่าจะไปขอนางกับเสด็จพี่ ก็ไม่เห็นซู่ซู่จะคัดค้านอันใดด้วยซ้ำ
“ซู่ซู่ แล้วคำพูดก่อนหน้านั้นที่เจ้าบอกเปิ่นหวางล่ะ!? มันคืออะไร!?” ฉินซิ่นซื่อแย้งขึ้นมา
“ซู่ซู่...” เสด็จพี่ของเขาเรียกชื่อสตรีตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางปรายตามองมายังเขาด้วยสีหน้าสับสน
“เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่!? ทั้งสองคน...”
“หม่อมฉันไม่เคยพูดอะไรเกินเลยกับพระองค์เพคะ หากสิ่งใดพูดไปแล้วทำให้เข้าใจผิดก็ต้องขออภัยด้วย แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าบุรุษที่หม่อมฉันปักใจรักมาตั้งแต่หกหนาวก็คือฝ่าบาท”
ซู่ซู่ตอบฉินซิ่นซื่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของเสด็จพี่ ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาทางตน ทั้งคำพูดที่ไร้ซึ่งความสนิทสนมและเยื่อใยใดๆ ทำให้เขาชะงักไปทันที
เมื่อเห็นฉินชงเฉินยังคงนิ่งเงียบ ซู่ซู่จึงกระชากปิ่นหงส์จากมวยผมยาวสลวยออกมาจ่อที่ลำคอเรียวระหงของตน พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยต่อโอรสสวรรค์ด้วยน้ำตานองหน้า
“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ก็ทรงรู้ว่าในใจของหม่อมฉันมีแต่พระองค์ แม้จะทรงรับหม่อมฉันเป็นพระสนมไม่ได้ก็มิเป็นไร ขอเพียงได้อยู่ใกล้พระองค์ก็พอ แต่มาวันนี้กลับยัดเยียดหม่อมฉันให้คนอื่นได้ลงคอ หากยังยืนยันที่จะยกหม่อมฉันให้สมรสกับชินอ๋อง ผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ หม่อมฉันจะขอตายตรงนี้!!!”
“เช่นนั้น...เรา...”
ฉินชงเฉินจึงไม่ลังเลที่จะรีบถอนรับสั่งทันที และเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉินซิ่นซื่อได้แต่นั่งถามตัวเองซ้ำๆ ว่า
แล้วที่ผ่านมา...คือสิ่งใด?
“องค์ชายสี่เพคะ วันนี้ดูพระองค์ดูเหนื่อยๆ พักกินขนมที่ตำหนักหม่อมฉันก่อนดีหรือไม่!?”
“องค์ชายสี่เพคะ หม่อมฉันอยากเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ เผื่อวันหนึ่งจะได้ออกรบเคียงข้างพระองค์”
“องค์ชายสี่เพคะ พูดให้หม่อมฉันสบายใจทีว่าพระองค์ยังคงรักมั่นในตัวของหม่อมฉัน”
และอีกสารพัดองค์ชายสี่...ทั้งยังบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วยามก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเกิดขึ้น…
“หากเปิ่นหวางจะไปขอเสด็จพี่ให้พระราชทานงานสมรสให้เรา เจ้าจะขัดข้องใจอันใดหรือไม่!?”
“ไม่เพคะ แล้วหม่อมฉันจะรอ...” ซู่ซู่ตอบด้วยรอยยิ้ม
จริงของซู่ซู่...ที่ผ่านมา นางไม่เคยพูดสักคำว่านางรักเขา...
มีแต่ตัวของฉินซิ่นซื่อที่คิดไปเอง
ในขณะที่เขาทุ่มเทมอบความจริงใจทั้งหมดที่มีให้ สิ่งที่ได้รับคืนก็แค่การเสแสร้งดีๆ นี่เอง และเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งวังหลวงว่าพระอนุชาผู้สง่างามของฮ่องเต้ มีความสามารถรอบด้านนั้น...
กลับโง่งมในเรื่องของมารยาสตรี!
ตกหลุมพรางเสน่ห์ของท่านหญิงที่ผู้ใดก็รู้ถึงกิตติศัพท์ความร่านรักของนาง และโดนหักหน้ากลางท้องพระโรง!!
เพียงข้ามวัน ฉินซิ่นซื่อก็ได้กลายเป็นตัวตลกของวังหลวง ยังดีที่เสด็จพี่ทรงสั่งว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปข้างนอก ใครฝ่าฝืนมีโทษสถานหนัก! เพราะสงสารพระอนุชาของตน
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฉินซิ่นซื่อเลื่อนกำหนดการเดินทางไปด่านชายแดนอุดรเข้ามาเร็วขึ้นถึงสองอาทิตย์ ด้วยคิดว่าอยากจะรีบไปให้พ้นจากซู่ซู่ที่ระหว่างนั้นก็ชอบมาขอเข้าเฝ้าเสด็จพี่ตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่ ราวกับต้องการแสดงถึงการมีตัวตนของนาง
แน่นอนว่าฉินชงเฉินรีบอนุมัติทันที เพราะเข้าใจความรู้สึกของพระอนุชาและลึกๆ ก็รู้สึกผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันได้ที่ไหนกัน...
แม้ตัวของฉินชงเฉินจะคิดว่าซู่ซู่เป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งก็เถอะ
ฉินซิ่นซื่อจึงหอบหัวใจที่ยับเยินออกจากเมืองหลวงไปรักษาที่ด่านภูเขาทางเหนือ ปล่อยให้ความอ้างว้างเหน็บหนาวกัดกินหัวใจจนด้านชา...
ความคับแค้นใจทั้งหมดถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังในการทำสงคราม เฝ้าชายแดนสู้รบกับพวกซงหนูอย่างดุเดือดจนได้ชัย ทั้งยังขยายอาณาเขตของแคว้นขึ้นไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว ในที่สุดทางซงหนูต้องยอมทำสัญญาและส่งเครื่องบรรณาการมาให้เพื่อขอสงบศึก
จนเป็นที่รู้กันไปทั่วถึงกิตติศัพท์ความเหี้ยมโหดและเกรียงไกรของเขา ไม่มีสมรภูมิใดที่ฉินซิ่นซื่อลงไปทำศึกแล้วไม่มีการหลั่งเลือด...
ชื่อเสียงของแม่ทัพแคว้นฉินและกองทัพอาภรณ์สีกากีของเขาก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ...
พอครบสามปี เมื่อสถานการณ์ทางภาคเหนือไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฉินซิ่นซื่อจึงได้ขอย้ายตัวเองมาประจำการที่ด่านทะเลทรายแสนร้อนระอุทางทิศบูรพา ซึ่งเป็นพื้นที่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นเจียง โดยมีเผ่าหุย เผ่าเหล่า เผ่าตันคั่นอยู่ตรงกลาง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แล้วส่ง ‘หู่เกาจง’ ไปประจำการด่านทางเหนือแทนตน
กระทั่งเมื่อปีกลายตอนที่รบกับพวกเผ่าหุยชนะและทำสัญญากับอีกสองเผ่า ฉินซิ่นซื่อก็ได้กลับเข้ามาฉลองชัยชนะในเมืองหลวง พร้อมกับนำตัว ‘หุยน่าฮวาเหยียน’ องค์หญิงของเผ่าหุยและ ‘ตันเหลียนจ้าวเสี่ยวเอี้ยน’ องค์หญิงของเผ่าตันรวมถึงเครื่องบรรณาการอื่นๆ ของทั้งสามเผ่าเข้ามาส่งให้เสด็จพี่
เขาก็ได้เจอกับ ‘ม่านชิงเซียน’ องค์หญิงแคว้นหลาง แคว้นเล็กๆ ทางใต้ที่ถูกนำมาถวายเป็นบรรณาการให้แคว้นฉิน วินาทีที่สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ฉินซิ่นซื่อก็รู้สึกว่าหัวใจที่ตายด้านของตนได้กลับมาเต้นอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อเห็นดังนั้น เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดที่ติดค้างในใจมาตลอดห้าปี ฉินชงเฉินจึงไม่ลังเลที่จะยกม่านชิงเซียนให้น้องชายของตน เมื่อเห็นดังนั้น ฉินซิ่นซื่อจึงทูลขอสมรสพระราชทานทันที ซึ่งฉินชงเฉินก็ให้ตามคำขอ โดยมีกำหนดการคืออีกสองเดือนข้างหน้า ระหว่างนี้ก็ให้คนทั้งคู่อยู่ด้วยกันในเมืองหลวงไปก่อน ส่วนด่านทะเลทรายนั้นได้ให้แม่ทัพคนอื่นไปประจำการแทน
ความสัมพันธ์ของฉินซิ่นซื่อกับม่านชิงเซียนดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะนางก็มีใจให้เขาเช่นกัน...จนวันหนึ่งนางได้มาสารภาพอะไรบางอย่างกับเขา
“ความจริงแล้ว...” ม่านชิงเซียนนิ่งไปสักพักก่อนพูดต่อ
“หม่อมฉันเป็นไส้ศึกที่แคว้นหลางส่งมาเพื่อให้ลอบปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์และสืบข่าวส่งให้แคว้นหลางเพคะ…”
“ชิงเซียน...” ฉินซิ่นซื่อชะงักไป ม่านชิงเซียนจึงกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาอย่างมีความหมาย
“แต่ตอนนี้หม่อมฉันล้มเลิกความตั้งใจนั้นแล้ว เพราะหม่อมฉันได้มาพบท่านอ๋อง ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้...หม่อมฉันอยากใช้มันร่วมกับพระองค์”
“แต่อยู่กับข้า อาจไม่ได้สบายนัก...”
“แม้ลำบากกาย ขอเพียงสุขใจที่ได้มีพระองค์เคียงกายก็ไม่เป็นไร” ม่านชิงเซียนเอ่ย เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าการเป็นพระชายาของบุรุษตรงหน้าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
“ขอบคุณมากชิงเซียน” ฉินซิ่นซื่อกล่าวด้วยความตื้นตันใจ และตัดสินใจปิดเรื่องที่ม่านชิงเซียนเคยสารภาพกับเขาเป็นความลับ เพราะในเมื่อตอนนี้นางได้ล้มเลิกความตั้งใจเดิมแล้ว ดังนั้นถือว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น
แต่สุดท้าย…เพียงสองอาทิตย์ก่อนวันแต่งงานของเขากับชิงเซียน...
ซู่ซู่ก็มาพรากความสุขของเขาไป...
ฉึก!! เพียงลูกธนูลูกเดียวเท่านั้นที่พุ่งปักเข้ามายังอกของม่านชิงเซียน…
“ท่านอ๋อง…” เอ่ยได้เพียงเท่านี้ ร่างบางที่เขาปราดเข้าไปประคองก็ล้มลงคอพับสิ้นใจคาอกแกร่งของเขาทันที ทำให้ฉินซิ่นซื่อตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ชิงเซียน!!!” แม้อยู่ในสนามรบจะโหดร้ายเก่งกาจเพียงไหน ทว่าการที่สตรีในดวงใจต้องมาตายต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เป็นผู้ใดก็ยากจะทานทน
เมื่อเงยหน้ามองไปยังทิศทางของลูกธนู ก็เห็นซู่ซู่มองมายังเขาด้วยสีหน้าเย็นชา ในมือถือคันศรขนาดใหญ่ไว้ ก่อนจะสะบัดกายจากไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฉินซิ่นซื่อมัวพะวงอยู่แต่กับร่างของม่านชิงเซียน ทำให้ไม่ได้รีบออกติดตาม
หลังจากนั้น เขาก็ได้ตามไปเอาเรื่องที่ตำหนักซูฟาง แต่เสด็จพี่ก็ออกหน้าปกป้องเพราะไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของนาง
ทั้งยังบอกว่าซู่ซู่ไม่มีแรงยกธนูไปยิงผู้ใดหรอก วันที่เกิดเรื่องก็นอนป่วยอยู่ในตำหนักตัวเอง!
ส่วนตัวนาง ต่อหน้าท่านพี่ก็เสแสร้งร้องห่มร้องไห้ดีโพยดีพายว่าไม่ได้ทำ ทั้งไม่มีพยานหลักฐาน เรื่องนี้ฉินชงเฉินจึงปล่อยผ่านไป และบอกว่าม่านชิงเซียนตายเพราะถูกลอบสังหารโดยพวกที่คิดกบฏ!!
ทำให้ฉินซิ่นซื่อได้แต่กำหมัดจากไปและเตรียมกลับไปประจำการที่ด่าน พร้อมกับแผนการในใจที่จะต้องเอาตัวคนผิดมาทำการพิพากษาและลงทัณฑ์ด้วยตนเองให้ได้!!!
เขายังจำได้ดีว่าเหตุผลที่นางยกมาเถียงเขาพร้อมสีหน้ากวนประสาทคืออะไร...
“หรือทรงยอมรับความจริงไม่ได้...ความจริงที่ว่าองค์หญิงแคว้นหลางผู้นั้นเป็นไส้ศึกที่เข้ามาเพื่อล้วงความลับแคว้นฉินและหาโอกาสลอบปลงพระชนม์เสด็จพี่ ท่านอ๋องเพคะ... แม้ปากของพระองค์จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ในพระทัยกำลังนึกขอบคุณหม่อมฉันต่างหากที่ช่วยกำจัดสตรีผู้นั้นออกไป เพราะพระองค์ใจไม่แข็งพอที่จะทำมันด้วยตัวเอง สิ่งที่หม่อมฉันควรจะได้รับคือการสรรเสริญที่ทำทุกอย่างเพื่อแคว้นฉินของเรา เพื่อฝ่าบาท มิใช่การปฏิบัติเช่นนี้”
อ้างว่าทำเพื่อแคว้นงั้นหรือ!? เหอะ! จงใจทำลายความสุขของเขามากกว่า
เพราะหากทำเพื่อแคว้นจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนที่ม่านชิงเซียนบอกว่าจะกลับตัวกลับใจแล้วหรอก!!
ซู่ซู่ สตรีน่าชัง...
ทั้งที่นางไม่ได้รักเขา...แต่กลับทนเห็นเขามีความสุขไม่ได้!!
“ทั้งที่วันนั้นเจ้าเลือกหันหลังให้ข้าอย่างเลือดเย็น แต่เมื่อเห็นข้าตัดใจได้และกำลังจะสมหวังในความรักครั้งใหม่ก็อดรนทนไม่ได้ต้องมาทำลายความสุขของข้า...” ร่างสูงพึมพำเสียงเบา ก่อนจะประกาศก้อง
“เช่นนั้นทุกสิ่งที่เจ้าได้รับก็ถือว่าสมควรแล้ว!!!”
จากนั้นฉินซิ่นซื่อก็สะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกจากหัว พลางหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาอ่าน...
[1] จ่างกงจู่ = ตำแหน่งองค์หญิงขั้น 1
[2] พระเชษฐภคินี = พี่สาว
[3] พระขนิษฐา = น้องสาว