ตอนที่24 ใครก็ห้ามแตะต้องเจ้า   1/    
已经是第一章了
ตอนที่24 ใครก็ห้ามแตะต้องเจ้า
ต๭นที่24 ใครก็ห้ามแตะต้องเจ้า โม่จื่อฟงที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ตรงสุดขั้นบันไดไม้ชั้นสอง ตอนที่เขามาถึง เซียวฉางเยว่ได้เห็นเขาแล้ว นางจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้ววิ่งเข้าไปหาเซียวอวิ๋นฉิน“น้องรอง หยุดเถิด เป็นกุลสตรี เหตุใดต้องลงไม้ลงมือด้วย?” เซียวอวิ๋นฉินรู้ดีว่าไม่ควรลงมือหนักต่อหน้าผู้คนมากมาย นางคิดว่าหากได้เตะครั้งนี้แล้วจะหยุด เช่นนั้น นางจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีเตะไปที่ขาของหลินซีนเยียน เหล่าทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ สำหรับพวกเขาแล้วการทะเลาะวิวาทถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนที่เซียวอวิ๋นฉินจะออกแรงเตะ หลายคนเลยส่งเสียงห้ามออกมาอย่างทนดูไม่ไหว เพราะพวกเขารู้ว่าหากคุณหนูรองเซียวเตะไป อาจทำให้ขาของหลินซีนเยียนหักได้ เซียวฉางเยว่วิ่งเข้ามาแต่ไม่ได้ดึงตัวของเซียวอวิ๋นฉินเอาไว้ กลับกลายเป็นถูกผลักออกไป นางมองเซียวอวิ๋น เสียงหัวเราะเบาๆ หากเป็นคนอื่นอาจไม่ได้ยิน แต่เสียงหัวเราะเบาๆ นี้กลับดังมาถึงหูของอ๋องอู่เสวียนโม่จื่อฟง!เขาก็ส่งเสียง‘หึ’ออกมาเบาๆ แต่แสดงถึงความไม่พอใจ เขาไม่พอใจเพราะโดยปกติแล้วมีแต่คนทำให้เขาพอใจ จินมู่ติดตามโม่จื่อฟงมานานที่สุด ตอนที่โม่จื่อฟงส่งเสียงออกมา ทำให้เขาสะดุ้งตัวแล้วรีบเข้าไปหาหลินซีนเยียน จากนั้นก็ใช้ขายันเพื่อหยุดการเตะของเซียวอวิ๋นฉิน สตรีไม่สามารถสู้แรงบุรุษได้ จินมู่เป็นทหารเคยฆ่าฟัดคนมานักต่อนักแล้ว เช่นนั้นขาของเขาจึงแข็งแรงมาก พอเซียวอวิ๋นฉินเตะก็ถูกขาของเขายัน ทำให้นางเจ็บจนยืนทรงตัวไม่ได้ “เช้าขนาดนี้ พวกเจ้าส่งเสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน รบกวนการนอนฝันหวานของเปิ่นหวาง ”โม่จื่อฟงอ้าปากหาว และก้าวลงบันไดมาอย่างช้าๆ วันนี้หิมะไม่ตก มีแสงแดดอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า แสงแดดที่ส่องมากระทบใบหน้าของเขาจนเปล่งแสงสีเหลือง แม้หลินซีนเยียนจะเห็นหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่า บุรุษผู้นี้ช่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก เมื่อโม่จื่อฟงปรากฏตัว เหล่าทหารที่ยืนมุงดูอยู่ต่างก็รีบแยกย้าย ผ่านไปไม่นาน ในลานบ้านก็เหลือเพียงคู่กรณีอยู่ไม่กี่คน “ขอประทานอภัยที่ไปรบกวนท่านอ๋องเพคะ น้องรองเป็นคนบุ่มบ่าม ใครพูดก็ไม่เชื่อฟัง ควรพากลับไปสั่งสอนใหม่ ส่วนเรื่องที่นางก่อขึ้นที่นี่ ท่านอ๋องโปรดประทานอภัยให้น้องรองที่ยังอายุน้อยด้วย อย่าถือสานางเลยเพคะ” เซียวฉางเยว่ทำความเคารพโม่จื่อฟงอย่างน้อมนอบ ส่งสายตาหวานให้ ใครก็ดูออกว่านางชื่นชอบเขา แต่ตัวนางเองรู้สึกราวกับว่า ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เซียวฉางเยว่ฉลาดเป็นกรด เรื่องงานแต่งของสตรียุคโบราณ บิดามารดาเป็นผู้กำหนด แม่สื่อเป็นผู้ชักนำ พวกนางจึงไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆ แต่เซียวฉางเยว่ใช้ความชื่นชอบของตนเองแสดงออกมาอย่างชัดเจน การตัดสินใจเพื่อเอาตัวรอด ผู้คนต่างรู้ว่านางชื่นชอบโม่จื่อฟง หากบิดามารดาไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีคนกล้ามาทาบทาม “ในเมื่อรู้ว่าเป็นคนบุ่มบ่ามก็ควรอยู่แต่ในบ้าน ไม่ควรออกมาข้างนอก ที่นี่ไม่ใช่บ้านตระกูลเซียว เปิ่นหวางก็ไม่ได้เป็นญาติหรือเพื่อนกับพวกเจ้า คงอดทนกับเรื่องที่พวกเจ้าก่อขึ้นไม่ได้หรอก”โม่จื่อฟงเอ่ยอย่างไม่รู้สึกเกรงใจ สายตามองไปที่เสื้อผ้าขาดของหลินซีนเยียน เขาขมวดคิ้วและทำสายตาเคร่งขรึม เซียวฉางเยว่อยากให้โม่จื่อฟงเปิดปากพูด แต่คำพูดที่ออกมากลับไร้เยื่อใย สีหน้าของนางจึงขาวซีด ไม่ได้เป็นญาติหรือเพื่อน ความหมายของเขาคือ เขากับนางไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว กลับไปข้าต้องอบรมสั่งสอนน้องรองให้เป็นอย่างดี”เซียวฉางเยว่ฝืนพูด “อืม”โม่จื่อฟงส่งเสียงตอบกลับ มือข้างหนึ่งถอนเสื้อคลุมขนสัตว์และโยนไปบนร่างของหลินซีนเยียน “สวมซะ เจ้าเป็นของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางไม่อนุญาต ใครก็ไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ ต่อไปหากมีคนทำร้ายเจ้า เจ้าบอกให้จินมู่หักขามันได้เลย!ได้ยินหรือไม่?” เจ้าต่างหากที่เป็นสิ่งของ ทั้งครอบครัวของเจ้าล้วนเป็นสิ่งของ! หลินซีนเยียนกัดฟัน เพียงส่งเสียงตอบกลับเบาๆ โม่จื่อฟงคล้านที่มองนาง จึงอ้าปากหาวแล้วเตรียมกลับขึ้นห้องไป เดินไป 2 ก้าวก็หยุด เขาไม่ได้หันหน้ามา แต่เอ่ยกับเซียวฉางเยว่อย่างเย็นชา“คุณหนูใหญ่เซียว ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ คนในจวนอ๋องอู่เสวียน สุนัขในจวนอ๋องอู่เสวียน เจ้าก่อปัญหาได้เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น หากมีครั้งต่อไป เปิ่นหวางคงต้องไปหารือกับหัวหน้าราชเลขาธิการ คุณหนูตระกูลเซียวมาเข้าสอดแทรกเรื่องของอ๋องอู่เสวียน หรือเป็นเพราะว่าหัวหน้าราชเลขาธิการสั่งสอนยังไม่พอ? ” โม่จื่อฟงเดินขึ้นบันไดไป เมื่อเซียวฉางเยว่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น หน้าเลยซีดขาว หารือกับท่านพ่อของนาง หากอ๋องอู่เสวียนไปหารือกับท่านพ่อเรื่องความประพฤติของนาง คงเป็นเรื่องน่าขันไปทั่วเมืองเฟิ่งซี พอถึงตอนนั้นคงไม่ต้องให้อ๋องอู่เสวียนออกมาปฏิเสธด้วยตนเอง เกรงว่าท่านพ่อของนางคงไม่ยอมให้นางได้มีโอกาสแต่งเข้าจวนอ๋องอู่เสวียนเป็นอย่างแน่ เมื่อก่อน นางเคยลงมือกับผู้หญิงที่ปรนนิบัติให้เขา แต่เขาไม่เคยเอ่ยอะไร แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่สนใจ แต่พอมาครั้งนี้ เพื่อผู้หญิงคนนี้ เขาถึงกับออกหน้าด้วยตนอง เซียวฉางเยว่กัดฟัน ถลึงตาไปที่หลินซีนเยียน แต่หลินซีนเยียนกลับไม่ได้สนใจนาง เพียงคลุมเสื้อขนสัตว์ของอ๋องอู่เสวียนแล้วเดินจูงมือหลินอี้เซิงเดินจากไปอย่างเร่งรีบ เสื้อคลุมขนสัตว์ของอ๋องอู่เสวียนตัวนั้น นอกจากคนใกล้ชิดอ๋องอู่เสวียนแล้ว ไม่ว่าใครก็มิอาจแตะต้องของของเขาได้ หลินซีนเยียนไม่สนใจสายตาที่มองมาจากข้างหลัง เพียงพาหลินอี้เซิงเดินกลับไปที่ห้อง พอประตูห้องปิดลง ลมหนาวก็ไม่สามารถพัดเข้ามาได้ หลินซีนเยียนรีบสำรวจบาดแผลบนร่างกายของหลินอี้เซิง ยังดีที่นางปกป้องเขาไว้ หลินอี้เซิงมีเพียงรอยฟกช้ำเล็กๆ ที่หลัง นางจึงโล่งอกไปที “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ครั้งต่อไปเจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก เจ้ายังเด็กอยู่ ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก ซึ่งยังหลบไม่ได้อีก โดนตีคนเดียวดีกว่าโดนสองคน ต่อไปพวกเราต้องรู้ทันคนให้มาก ”หลินซีนเยียนนวดรอยฟกช้ำที่หลังให้เขาอย่างเบามือ ผ่านไปสักพัก เด็กชายก็กระพริบตา นัยน์ตาเปล่งแสงวับวาว เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงยกมือขึ้นแล้วนวดที่หลังของหลินซีนเยียนเบาๆ ราวกับเรียนรู้จากสิ่งที่นางกำลังอยู่ เขานวดอย่างเบามือคล้ายกับกลัวว่านางจะเจ็บ ท่าทางของเขาดูตั้งใจอย่างมาก ทุกครั้งที่เขานวด เขาคิดดีแล้วว่าจะลงแรงที่ส่วนไหน ไม่รู้เพราะเหตุใด ในช่วงขณะนั้น หลินซีนเยียนคล้ายจะมีน้ำในตา นางลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู แล้วกอดเขาอย่างเบาๆ “อี้เซิง จากนี้ไป พวกเราเป็นญาติที่ต้องมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้ไป” ในขณะนั้น หลินซีนเยียนไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดสวยหรูอะไร แต่ภายในใจจองเด็กคนหนึ่งกลับรู้สึกหวาดกลัว ในช่วงหลายปีให้หลัง เด็กชายที่เคยขี้ขลาด ต่อไปเขาจะกลายเป็นบุรุษที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เขาพูดกับนาง“ซีนเยียน จากนี้ไป เปลี่ยนให้ข้าเป็นคนปกป้องเจ้าแทน” 
已经是最新一章了
加载中